top of page

Garden plants

พืชสวนครัว

เพื่อโครงการ ดวงใจหทัยราษฏร์ ปราชญ์แห่งน้ำ และ ขอเป็นส่วนหนึ่งของการให้ไทยเป็นครัว ของโลก                                                                                    

ซึ่งเรื่องพืชสวนครัว  55 เรื่อง ขอมอบให้เป็นความรู้แก่เกษตรกร และผู้สนใจ  โดยโครงการ เกษตรอินทรีย์ M3 จะทดลองปลูกพืชบางตัว ในแบบของ พืชเกษตรอินทรีย์  ตามที่ตลาดในไทยและต่างประเทศต้องการ  และความพร้อมของฟาร์ม                                  

1.png

ข้อมูลทั้งหมดได้รวบรวมจาก AI                                                                

1.) ได้รวบรวม ในความรู้ ประสบประการณ์ ความสำเร็จ ข้อแนะนำ จากคนไทย และ ต่างประเทศ ที่ยินดีแบ่งปันบน YouTube โดย VG จะนำมารวบรวม และ ดัดแปลงในการใช้ การปกป้องกัน และ เป็นข้อแนะนำในการดำเนินการ https://www.youtube.com/@DulyawatPhuttakaya-ys9bf/playlists                                                                                      

2.) ราคาการจำหน่ายในไทยจะถือตามราคาจำหน่าย ของตลาดไท https://talaadthai.com/ ส่วนในต่างประเทศจะถือตาม กรมการค้าต่างประเทศ                                                                                                                                                                                                                                              

Shortcut

พืชสวนครัว

พืชไร่

เทคนิค

 1.) พืชผักบางชนิดจะปลูกในเข่งพลาสติก ดังแสดงในคลิปรวม 22 คลิป  ในโครงการ นอกจากปลูกพืชผักในดิน จากเมล็ด จากต่อกิ่ง ติดตา เสียบยอด เราจะปลูกไว้ในเข่ง เพื่อสะดวกแก่การเคลื่อนย้าย ยังเพื่อการจำหน่าย และ แจกจ่ายให้ผู้มีอุปการะคุณ และ ผู้พักอาศัยในโครงการ MIT

3.)เทคนิคปลูกในถุง รวม 1 คลิป  

4.)เทคนิคปลูกในท่อ PVC  ในแนวราบ รวม 4 คลิป  

5.)เทคนิคปลูกในท่อ PVC  ในแนวดิ่ง รวม 4 คลิป  

Market

การส่งเสริมการขายผักสวนครัว  ซึ่งเป็นพืชผักที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย สามารถดำเนินการผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้:

1. การตลาดทางออนไลน์

  • สร้างโปรไฟล์ธุรกิจบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย: เช่น Facebook และ LINE เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงลูกค้า

  • เข้าร่วมกลุ่มออนไลน์ที่เกี่ยวข้อง: เช่น กลุ่ม "รวมตลาดออนไลน์ ขายอาหารไทยในเมกา" บน Facebook เพื่อขยายเครือข่ายและเพิ่มโอกาสในการขาย

    facebook.com

2. การขายหน้าฟาร์ม

  • จัดกิจกรรมฟาร์มทัวร์: เชิญชวนลูกค้ามาเยี่ยมชมฟาร์ม เพื่อให้พวกเขาได้เห็นกระบวนการผลิตและสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้า

  • จัดมุมขายสินค้า: สร้างพื้นที่ขายสินค้าหน้าฟาร์ม เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อผลิตภัณฑ์สดใหม่ได้โดยตรง

3. การขายในตลาดนัดใกล้ฟาร์ม

  • เข้าร่วมตลาดนัดท้องถิ่น: นำผลิตภัณฑ์กะเพราไปจำหน่ายในตลาดนัดใกล้เคียง เพื่อเข้าถึงลูกค้าในชุมชน

  • สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: การพูดคุยและให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จะช่วยสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่น

4. การขายในตลาดใหญ่ในไทย

  • เข้าร่วมตลาดค้าส่งขนาดใหญ่: เช่น ตลาดไท ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าส่งผักและผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย

    tiktok.com

  • ปฏิบัติตามมาตรฐานสินค้าเกษตร: เพื่อให้ได้รับการรับรองและเพิ่มความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์

    acfs.go.th

5. การส่งออกไปตลาดต่างประเทศ

  • ศึกษาตลาดเป้าหมาย: เช่น ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์เครื่องเทศและสมุนไพรไทย

    agrithai.org

  • ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล: เช่น มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เพื่อป้องกันอุปสรรคทางการค้า

    ห้องสมุดดิจิทัล

  • เข้าร่วมงานแสดงสินค้า: เพื่อพบปะผู้ซื้อและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ

การดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมการขายกะเพราในช่องทางต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

GAP

1.) การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP)  รวม 27 คลิป  

2.) มาตรฐานการผลิตขั้นต้น (Primary GMP) รวม 18 คลิป  

ใบกะเพรา

1.) ใบกะเพรา รวม 18 คลิป 

🌿 ข้อมูลเกี่ยวกับใบกระเพราในไทย

1. พันธุ์ใบกะเพราในไทยและความนิยมในตลาด

ในไทยมี 3 พันธุ์หลัก ที่นิยมปลูกและบริโภค ดังนี้:

  1. กะเพราแดง (นิยมมากที่สุด)

    • มีกลิ่นหอมแรง เผ็ดร้อน รสชาติจัดจ้าน

    • ใบมีสีเขียวอมม่วงหรือแดงเล็กน้อย

  2. กะเพราขาว (นิยมรองลงมา)

    • กลิ่นหอมอ่อนกว่า รสชาติไม่จัดมาก

    • ใบสีเขียวสด ใบหนาและใหญ่

  3. กะเพราป่า (นิยมน้อยกว่าแต่เริ่มมีตลาดเฉพาะกลุ่ม)

    • กลิ่นหอมแรงกว่ากะเพราแดงและขาว

    • มีรสขมเล็กน้อย ใบเล็กและหยาบ

2. อายุของการออกดอก ตั้งแต่เพาะเมล็ดจนเก็บเกี่ยว

✅ เพาะเมล็ด

  • เริ่มงอกภายใน 5–7 วัน

  • เติบโตเต็มที่พร้อมเก็บใบใน 45–60 วัน

  • ออกดอกในช่วง 60–75 วัน หลังเพาะเมล็ด

✅ การเก็บเกี่ยว

  • เก็บเกี่ยวได้ทุกๆ 7–10 วัน หลังต้นโตเต็มที่

  • หากเก็บใบสม่ำเสมอจะกระตุ้นให้แตกยอดใหม่ตลอด

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

🌱 เหมาะสมตลอดปี

  • ช่วงที่เหมาะที่สุด: ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม - กรกฎาคม)

  • หลีกเลี่ยงช่วงที่มีฝนตกชุกหรืออากาศหนาวจัด

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี
✅ มีอินทรียวัตถุสูง
✅ ค่า pH ที่เหมาะสม: 6.0 – 7.5
✅ ไม่ควรปลูกในดินที่มีน้ำขังหรือดินเหนียว

5. เทคนิคในการปลูก บำรุง และป้องกันโรคโดยไม่ใช้สารเคมี

🪴 การปลูกและบำรุง

  • ระยะปลูก: 20 x 20 ซม. หรือ 30 x 30 ซม.

  • ปุ๋ยอินทรีย์:

    • ปุ๋ยคอก (ขี้วัว ขี้ไก่) ทุก 2 สัปดาห์

    • น้ำหมักชีวภาพจากผลไม้ เช่น กล้วย มะละกอ

  • การให้น้ำ:

    • ให้น้ำวันละ 1 ครั้งในช่วงเช้า

    • ไม่ควรรดน้ำมากเกินไป เพราะเสี่ยงต่อรากเน่า

🦟 การป้องกันแมลงและเชื้อรา

  • เพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน: ใช้น้ำหมักสมุนไพร (ข่า ตะไคร้ ใบสะเดา)

  • หนอนผีเสื้อ: เก็บทำลายด้วยมือ หรือใช้บิวเวอร์เรีย

  • ราใบจุด: ฉีดพ่นด้วยน้ำส้มควันไม้หรือเชื้อราไตรโคเดอร์มา

6. ช่วงออกดอก

  • ช่วงออกดอก: 45–60 วัน หลังปลูก

  • หากเด็ดยอดสม่ำเสมอ จะชะลอการออกดอก และทำให้แตกยอดใหม่ได้ดี

7. วิธีทำให้เก็บเกี่ยวได้ก่อนฤดูจำหน่าย

✅ การปลูกในโรงเรือน เพื่อควบคุมแสงและอุณหภูมิ
✅ เร่งการเติบโตด้วยน้ำหมักชีวภาพ เช่น น้ำหมักผลไม้
✅ การตัดแต่งกิ่ง เพื่อกระตุ้นให้ต้นแตกยอดเร็ว

8. ประเทศที่ไทยส่งออกไปขาย (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. สหรัฐอเมริกา (ตลาดหลัก กลุ่มร้านอาหารไทย)

  2. ญี่ปุ่น (ใช้ประกอบอาหารไทยและฟิวชัน)

  3. จีน (เริ่มมีความนิยมในตลาดอาหารสุขภาพ)

  4. เกาหลีใต้ (นิยมใช้ในอาหารไทย)

  5. สิงคโปร์ (ตลาดอาหารไทยและร้านอาหารฟิวชัน)

✅ สรุป:

  • กะเพราแดงนิยมมากที่สุดในตลาดไทยและต่างประเทศ

  • ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี ค่า pH 6.0–7.5 เหมาะสมที่สุด

  • ให้น้ำวันละครั้ง ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อให้ใบดก กลิ่นหอม

  • ช่วงออกดอก 45–60 วันหลังปลูก แต่ควรตัดแต่งเพื่อกระตุ้นยอดใหม่

  • ประเทศที่ไทยส่งออกมากที่สุดคือ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น

Transform

การแปรรูปใบกะเพราเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศสามารถทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้:

1. ใบกะเพราอบแห้ง

การอบแห้งใบกะเพราเป็นวิธีที่นิยมเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาและสะดวกต่อการใช้งาน ผลิตภัณฑ์ใบกะเพราอบแห้งสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารไทยและส่งออกไปยังต่างประเทศได้ ตัวอย่างเช่น บริษัทนอร์เทิร์นกรีนโปรดักส์ได้ผลิตใบกะเพราอบแห้งคุณภาพสูงเพื่อจำหน่าย

northerngreen.co.th

2. ชากะเพรา

การนำใบกะเพรามาแปรรูปเป็นชาสมุนไพรเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ ชากะเพรามีสรรพคุณทางยาหลายประการและกำลังได้รับความสนใจในตลาดต่างประเทศ มีผู้ประกอบการไทยที่เริ่มผลิตชากะเพราและส่งออกไปยังหลายประเทศ

mgronline.com

3. การส่งออกใบกะเพราอบแห้ง

สำหรับการส่งออกใบกะเพราอบแห้งไปยังต่างประเทศ ควรศึกษากฎระเบียบและข้อกำหนดของประเทศปลายทางเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าเกษตร เช่น บางประเทศอาจมีข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับการนำเข้าสมุนไพรหรือผลิตภัณฑ์อบแห้ง ดังนั้น ควรตรวจสอบข้อมูลและปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านั้นอย่างเคร่งครัด

m.facebook.com

4. การปฏิบัติตามมาตรฐานการผลิต

เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ใบกะเพราแปรรูปได้รับการยอมรับในตลาดต่างประเทศ ควรปฏิบัติตามมาตรฐานการผลิตที่เป็นที่ยอมรับ เช่น การรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) และมาตรฐานการผลิตที่ดี (GMP) นอกจากนี้ ควรตรวจสอบและปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของอาหารของประเทศปลายทางด้วย

doa.go.th

การแปรรูปใบกะเพราเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่เพียงแต่เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ แต่ยังเปิดโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย

2.) ใบแมงลัก รวม 8 คลิป 

ใบแมงลัก

ใบแมงลัก (ผักอีตู่) เป็นพืชสมุนไพรที่นิยมใช้ในอาหารไทย มีพันธุ์ที่ปลูกในประเทศไทยดังนี้:

1. พันธุ์ของใบแมงลักในประเทศไทย

  • พันธุ์ศรแดง: เป็นพันธุ์หลักที่ปลูกในประเทศไทย ลักษณะใบใหญ่พอดี ดอกสีขาวเป็นชั้น ๆ คล้ายฉัตร

    th.wikipedia.org

2. อายุการเก็บเกี่ยว

  • หลังจากเพาะเมล็ดประมาณ 30-45 วัน สามารถเริ่มเก็บใบได้

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

  • แมงลักเป็นพืชที่เติบโตได้ดีในเขตร้อน สามารถปลูกได้ตลอดปีในประเทศไทย

    kroobannok.com

4. คุณภาพดินและค่า pH

  • ดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 6.0-7.0

5. เทคนิคการปลูกและการดูแลโดยไม่ใช้สารเคมี

  • การปลูก: สามารถปลูกโดยการเพาะเมล็ดหรือปักชำกิ่ง

    youtube.com

  • การบำรุง: ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกในการบำรุงดิน

  • การกำจัดแมลงและเชื้อรา: ใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพร เช่น น้ำสกัดสะเดา หรือน้ำส้มควันไม้

  • การให้น้ำ: รดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและความชื้นของดิน

    เทคโนโลยีชาวบ้าน

6. ช่วงเวลาออกดอก

  • แมงลักจะเริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 45-60 วันหลังปลูก

7. การเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่าย

  • การปลูกในโรงเรือนหรือการใช้แสงสว่างเสริมสามารถช่วยเร่งการเจริญเติบโตและการเก็บเกี่ยวได้

8. การส่งออกใบแมงลัก

  • ข้อมูลการส่งออกใบแมงลักโดยเฉพาะยังมีจำกัด อย่างไรก็ตาม การส่งออกผักและผลไม้สดต้องปฏิบัติตามระเบียบและหลักเกณฑ์ของกรมการค้าต่างประเทศ

    dft.go.th

🌿 ข้อมูลเกี่ยวกับใบแมงลักในไทย

1. พันธุ์ใบแมงลักที่มีในไทยและความนิยมในตลาด

ใบแมงลักที่นิยมปลูกและบริโภคในไทยมีหลายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมาก ได้แก่:

  1. พันธุ์พื้นบ้าน – รสชาติและกลิ่นหอมแรง เหมาะสำหรับทำอาหารไทย เช่น แกงและผัด

  2. พันธุ์ใบใหญ่ – ใบขนาดใหญ่ สีเขียวเข้ม มีกลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อม

  3. พันธุ์ใบเล็ก – ใบขนาดเล็ก สีเขียวอ่อน กลิ่นหอมแรงกว่า เหมาะสำหรับใส่ในอาหารสดและยำ

👉 พันธุ์พื้นบ้าน เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดไทย เพราะกลิ่นหอมแรงและเหมาะกับอาหารไทยดั้งเดิม

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูกโดยเพาะเมล็ดจนเก็บเกี่ยว

  • จากเมล็ด → เริ่มงอกใน 5–7 วัน หลังปลูก

  • ต้นเริ่มเจริญเติบโตเต็มที่ใน 30–40 วัน

  • ออกดอกในช่วง 45–60 วัน หลังปลูก

  • เก็บเกี่ยวใบได้ในช่วง 30–45 วัน หลังปลูก

  • หากต้องการเก็บเมล็ดพันธุ์ รอให้ต้นสมบูรณ์ประมาณ 60–90 วัน

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

✅ ช่วงที่เหมาะสมที่สุด: ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม–กรกฎาคม)
✅ สามารถปลูกได้ตลอดปี หากมีระบบน้ำที่ดี

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

  • ดินร่วนปนทราย หรือ ดินร่วนซุย ที่มีการระบายน้ำดี

  • ค่า pH ที่เหมาะสม: 6.0–7.0

  • ดินควรมีอินทรียวัตถุสูง

5. เทคนิคการปลูกและดูแลให้ได้ผลผลิตดี

🌱 การเตรียมดิน:

  • ขุดดินลึกประมาณ 20–30 ซม.

  • ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักประมาณ 1–2 กก./ตารางเมตร

🌿 การบำรุงรักษา:

  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก ทุก 15–20 วัน

  • รดน้ำวันละ 1–2 ครั้ง โดยเฉพาะช่วงเช้าและเย็น

🦟 การจัดการแมลงและเชื้อราโดยไม่ใช้สารเคมี:

  • ใช้ สารสกัดจากสะเดา หรือ น้ำส้มควันไม้ ฉีดพ่นป้องกันแมลง

  • โรคราที่พบบ่อย: ราแป้ง และ โรคใบไหม้ – ใช้ น้ำผสมไตรโคเดอร์มา ฉีดพ่น

6. ช่วงออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • เริ่มออกดอกในช่วง 45–60 วัน หลังปลูก

  • เก็บเกี่ยวใบได้เมื่ออายุประมาณ 30–45 วัน หลังปลูก

  • ตัดยอดทุก 7–10 วัน เพื่อกระตุ้นให้แตกยอดใหม่

7. วิธีเร่งการเก็บผลก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ คลุมดินด้วยฟางหรือหญ้าแห้งเพื่อรักษาความชื้น
✅ ใช้น้ำสกัดจาก พืชสมุนไพร (เช่น ตะไคร้ หรือ สะเดา) เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต
✅ ตัดยอดบ่อยๆ จะช่วยให้ใบดกและแตกยอดเร็วขึ้น

8. ประเทศที่ไทยส่งออกใบแมงลัก

👉 ประเทศที่ไทยส่งออกใบแมงลักมากที่สุด ได้แก่:

  1. 🇯🇵 ญี่ปุ่น – ส่งออกในรูปแบบสดและแช่แข็ง

  2. 🇺🇸 สหรัฐอเมริกา – ส่งออกในรูปแบบแห้งและสด

  3. 🇪🇺 กลุ่มสหภาพยุโรป – โดยเฉพาะ เยอรมนี และ ฝรั่งเศส

โหระพา

3.) โหระพา รวม 10 คลิป 

🌿 ข้อมูลการปลูกและดูแลใบโหระพาในไทย

1. พันธุ์ใบโหระพาที่มีชื่อเสียงในไทย

พันธุ์ใบโหระพาที่นิยมปลูกในไทยและตลาดผู้บริโภค ได้แก่:

  1. โหระพาไทย – กลิ่นหอมแรง รสชาติหวานมัน นิยมใช้ทำอาหารไทย เช่น ผัดกะเพรา แกง และยำ

  2. โหระพาอิตาเลียน (Sweet Basil) – กลิ่นหอมหวานอ่อน ๆ รสชาติหวานปนเผ็ดเล็กน้อย นิยมใช้ทำซอสเพสโต้ พิซซ่า และสลัด

  3. โหระพาม่วง (Purple Basil) – ใบมีสีม่วงเข้ม กลิ่นหอมแรงกว่าโหระพาไทย ใช้ตกแต่งอาหารและใส่ในเครื่องดื่ม

ดินและสภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรับแต่ละพันธุ์

✅ ดิน – ดินร่วนปนทราย ดินต้องมีการระบายน้ำดี
✅ pH ดิน – 6.0–7.0 (เป็นกลางถึงกรดอ่อน)
✅ อากาศ – อากาศอบอุ่น มีแสงแดดจัด วันละ 6–8 ชั่วโมง

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่ปลูก

วิธีปลูกระยะเวลาการเติบโตจนออกดอกระยะเวลาสุกพร้อมเก็บเกี่ยว

เพาะเมล็ด30–40 วันเก็บเกี่ยวได้หลัง 45–60 วัน

ปักชำ/ตอนกิ่ง20–30 วันเก็บเกี่ยวได้หลัง 30–45 วัน

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • ปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือ
    ✅ ฤดูฝน: พฤษภาคม–กันยายน (ดินชุ่มชื้น)
    ✅ ฤดูหนาว: พฤศจิกายน–กุมภาพันธ์ (อากาศเย็นช่วยให้ใบหอม)

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ pH ดิน – 6.0–7.0 (ค่ากลางถึงกรดอ่อน)
✅ เนื้อดิน – ดินร่วนซุย ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง
✅ ความชื้น – ดินชื้นแต่ไม่แฉะ

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

✅ การปลูก

  • ปลูกห่างกันประมาณ 20–30 ซม.

  • ควรปลูกในแปลงที่ได้รับแสงแดดโดยตรง

✅ การบำรุงรักษา

  • ปุ๋ยอินทรีย์: ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักทุก 2 สัปดาห์

  • รดน้ำ: รดน้ำวันละ 1–2 ครั้ง แต่ไม่ควรให้น้ำขัง

✅ การกำจัดแมลงและเชื้อรา (ไม่ใช้สารเคมี)

  • เพลี้ยอ่อน: ใช้น้ำสบู่อ่อนฉีดพ่น

  • หนอน: เก็บออกด้วยมือหรือใช้ชีวภัณฑ์

  • เชื้อรา: ใช้สารชีวภาพ เช่น น้ำหมักชีวภาพ หรือน้ำส้มควันไม้

6. ช่วงเวลาที่ออกดอก

  • เริ่มออกดอกใน เดือนมีนาคม–เมษายน

  • ดอกโหระพาจะบานเต็มที่ใน เดือนพฤษภาคม

7. วิธีเร่งการเก็บเกี่ยวก่อนฤดู

  • ตัดแต่งใบ อย่างสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นการแตกยอดใหม่

  • ใช้ น้ำหมักชีวภาพจากผลไม้ เพื่อเร่งการเติบโต

  • คลุมดินด้วยฟางข้าวเพื่อรักษาความชื้นและเร่งการแตกใบ

8. ตลาดส่งออก

ประเทศที่ไทยส่งออกใบโหระพา ได้แก่:

  1. 🇯🇵 ญี่ปุ่น – นิยมใช้ในอาหารและซอส

  2. 🇺🇸 สหรัฐอเมริกา – นิยมใช้ทำเพสโต้และซุป

  3. 🇪🇺 สหภาพยุโรป (EU) – นิยมใช้ในอาหารอิตาเลียนและฝรั่งเศส

  4. 🇰🇷 เกาหลีใต้ – นิยมใช้ในซอสและอาหารตะวันออก

👉 ญี่ปุ่น เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุด โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของการส่งออกทั้งหมด

โหระพา (Ocimum basilicum) เป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ทั้งในการปรุงอาหารและใช้เป็นสมุนไพร การปลูกโหระพาไม่เพียงตอบสนองความต้องการภายในประเทศ แต่ยังมีศักยภาพในการส่งออก ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพันธุ์ วิธีการปลูก และการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมจึงมีความสำคัญ

1. พันธุ์โหระพาที่นิยมในประเทศไทย

ในประเทศไทย โหระพาที่ปลูกและบริโภคส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งมีลักษณะและรสชาติที่เหมาะสมกับการปรุงอาหารไทย อย่างไรก็ตาม ในระดับสากล มีพันธุ์โหระพาหลากหลาย เช่น Genovese ที่นิยมในอาหารอิตาเลียน การเลือกพันธุ์ควรพิจารณาตามความต้องการของตลาดและความเหมาะสมกับสภาพอากาศ

2. อายุการเก็บเกี่ยวหลังการปลูก

โหระพาสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 30-45 วันหลังการปลูก การเก็บเกี่ยวควรทำก่อนที่ต้นจะออกดอก เพื่อรักษาคุณภาพและรสชาติของใบ

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

โหระพาสามารถปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือฤดูฝน เนื่องจากมีความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

โหระพาชอบดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำดี และค่า pH อยู่ระหว่าง 6.0-7.5 การเตรียมดินที่ดีจะช่วยให้โหระพาเจริญเติบโตได้ดี

5. เทคนิคการปลูกและการดูแลรักษาแบบอินทรีย์

  • การเตรียมดิน: ควรปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เพื่อเพิ่มสารอาหารและโครงสร้างดิน

  • การปลูก: สามารถปลูกโดยการเพาะเมล็ดหรือปักชำ ควรเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 20-30 เซนติเมตร

  • การให้น้ำ: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรให้น้ำขัง

  • การป้องกันแมลงและโรค: ใช้วิธีธรรมชาติ เช่น การปลูกพืชสมุนไพรที่ช่วยไล่แมลง หรือการใช้น้ำส้มสายชูเจือจางในการป้องกันเชื้อรา

6. ช่วงเวลาออกดอก

โหระพาจะเริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 45-60 วันหลังการปลูก การตัดแต่งดอกออกจะช่วยยืดอายุการเก็บเกี่ยวใบ

7. การเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่าย

การปลูกในโรงเรือนหรือการใช้แสงสว่างเสริมสามารถช่วยให้โหระพาเจริญเติบโตและเก็บเกี่ยวได้ก่อนฤดูจำหน่าย

8. ประเทศที่ไทยส่งออกโหระพา

ประเทศไทยส่งออกโหระพาไปยังหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยมีความต้องการทั้งในรูปแบบสดและแห้ง

dft.go.th 

พริก

4.) พริก รวม 28 คลิป 

🌶 ข้อมูลการปลูกพริกขี้หนูในไทย

1. พันธุ์พริกขี้หนูที่นิยมในตลาดผู้บริโภค

พริกขี้หนูในไทยมีหลายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่ได้รับความนิยมและมีการปลูกอย่างแพร่หลาย ได้แก่:
✅ พริกขี้หนูสวน – รสชาติเผ็ดร้อนมาก ขนาดเล็ก เหมาะสำหรับทำเครื่องปรุงอาหารไทย เช่น น้ำพริก และต้มยำ
✅ พริกขี้หนูจินดา – ขนาดผลใหญ่กว่า รสเผ็ดกลาง เหมาะสำหรับทำผัดเผ็ดและซอส
✅ พริกขี้หนูหอม – มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เผ็ดน้อยกว่าพริกขี้หนูสวน นิยมนำมาทำแกงและน้ำพริก
✅ พริกขี้หนูเขียว – ขนาดเล็ก รสเผ็ดจัด นิยมนำไปตำส้มตำและใส่น้ำพริก
✅ พริกขี้หนูพันธุ์ใหญ่ – ขนาดผลใหญ่ เผ็ดปานกลาง นิยมใช้ทำซอสและพริกแห้ง

2. อายุการออกดอกและเก็บเกี่ยว

🔸 จากการเพาะเมล็ด – เริ่มออกดอกประมาณ 45-60 วัน หลังปลูก และสามารถเก็บเกี่ยวได้ในอีก 20-30 วัน หลังจากออกดอก
🔸 การปักชำหรือเพาะกล้า – เริ่มออกดอกได้เร็วกว่าเพาะเมล็ดประมาณ 30-40 วัน หลังปลูก

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปลูก

👉 ปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือ:

  • ฤดูฝน (พฤษภาคม - กันยายน) – พริกเติบโตได้ดีเพราะดินมีความชื้นเพียงพอ

  • ฤดูหนาว (พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์) – พริกมีรสชาติเผ็ดและสีสวย เนื่องจากอากาศเย็นช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพดี

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุยที่ระบายน้ำได้ดี
✅ ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 6.0 - 6.8
✅ ความลึกของดินควรอยู่ที่ 20-30 ซม.

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดิน

  • ไถพรวนดินและตากดินอย่างน้อย 7-10 วัน

  • รองพื้นด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก (1 ตัน/ไร่) เพื่อปรับสภาพดิน

💧 การให้น้ำ

  • ให้น้ำวันละ 1 ครั้งในช่วงเช้า

  • ช่วงติดผลควรให้น้ำทุก 2 วัน เพื่อให้ผลมีขนาดใหญ่และสีสวย

🍂 การใช้ปุ๋ยอินทรีย์

  • ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยมูลสัตว์ทุก 2 สัปดาห์

  • เติมน้ำหมักชีวภาพ (เช่น น้ำหมักจากผลไม้สุก) ทุก 7-10 วัน

🐛 การกำจัดแมลงและโรคโดยไม่ใช้สารเคมี

  • ใช้ น้ำหมักสมุนไพร (ข่า ตะไคร้ ใบสะเดา) ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้ง

  • ปลูกพืชสมุนไพร เช่น โหระพา หรือแมงลัก ร่วมด้วยเพื่อลดแมลงศัตรูพืช

6. ช่วงเวลาที่ออกดอกและติดผล

🌸 เริ่มออกดอก ประมาณ 45-60 วัน หลังปลูก
🍃 ติดผล หลังจากออกดอกประมาณ 20-30 วัน
🍎 เก็บเกี่ยว ได้ต่อเนื่องนานถึง 4-6 เดือน

7. วิธีทำให้เก็บผลได้ก่อนฤดูจำหน่าย

  • ใช้วิธี เพาะกล้า หรือ ปลูกในโรงเรือน เพื่อควบคุมอุณหภูมิและความชื้น

  • ให้ปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักชีวภาพอย่างสม่ำเสมอ

  • ปรับระยะเวลาการให้แสงแดดโดยใช้ ตาข่ายพรางแสง เพื่อเร่งการเจริญเติบโต

8. ประเทศที่ไทยส่งออกพริกขี้หนู (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. ญี่ปุ่น – นิยมพริกขี้หนูสดและพริกขี้หนูแห้ง

  2. เกาหลีใต้ – นำไปทำกิมจิและซอสเผ็ด

  3. สหรัฐอเมริกา – นิยมพริกสดและซอสพริก

  4. จีน – นิยมพริกสด พริกแห้ง และพริกบด

  5. สหภาพยุโรป (เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี) – นิยมพริกสดและซอสพริก 

พริกขี้หนู (Capsicum frutescens) เป็นพืชผักที่มีความสำคัญในครัวไทย เนื่องจากมีรสชาติเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว การปลูกพริกขี้หนูไม่เพียงตอบสนองความต้องการภายในประเทศ แต่ยังมีศักยภาพในการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับพันธุ์ วิธีการปลูก และการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมจึงมีความสำคัญ

1. พันธุ์พริกขี้หนูที่นิยมในประเทศไทย

ในประเทศไทย พริกขี้หนูที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมในตลาดผู้บริโภคมีหลายพันธุ์ ดังนี้

  • พริกขี้หนูสวน: เป็นพันธุ์ที่มีผลขนาดเล็ก รสชาติเผ็ดจัด และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว นิยมใช้ในการปรุงอาหารไทยหลายชนิด

    khamsakaesaeng.khorat.doae.go.th

  • พริกจินดา: เป็นพันธุ์ที่มีผลยาว รสชาติเผ็ดปานกลาง สีแดงสด เหมาะสำหรับการทำพริกแห้งและพริกป่น

    khamsakaesaeng.khorat.doae.go.th

  • พริกกะเหรี่ยง: เป็นพันธุ์ที่มีความทนทานต่อโรคและแมลง ผลมีขนาดกลาง รสชาติเผ็ด เหมาะสำหรับการปลูกในพื้นที่สูง

    khamsakaesaeng.khorat.doae.go.th

2. อายุของการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

พริกขี้หนูจะเริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 60-70 วันหลังการปลูก และสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เมื่ออายุประมาณ 75-90 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและการดูแลรักษา

kukr.lib.ku.ac.th

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

พริกขี้หนูสามารถปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงต้นฤดูฝนหรือปลายฤดูหนาว เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของพืช

kukr.lib.ku.ac.th

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

พริกขี้หนูชอบดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำดี และมีค่า pH อยู่ระหว่าง 6.0-6.8

rakbankerd.com

5. เทคนิคการปลูกและการดูแลรักษาแบบอินทรีย์

  • การเตรียมดิน: ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักประมาณ 800-1,000 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อเพิ่มอินทรีย์วัตถุในดิน

    rakbankerd.com

  • การปลูก: นิยมเพาะกล้าแล้วจึงย้ายปลูก เนื่องจากทำให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรงและใช้เมล็ดพันธุ์น้อย

    eto.ku.ac.th

  • การให้น้ำ: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ดินแห้ง แต่ควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไปจนเกิดน้ำขัง

    eto.ku.ac.th

  • การป้องกันแมลงและโรคโดยไม่ใช้สารเคมี: ควรใช้วิธีการจัดการแมลงแบบผสมผสาน เช่น การใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพร หรือการปลูกพืชร่วมที่ช่วยป้องกันแมลง

    lib.doa.go.th

6. ช่วงเวลาออกดอก

พริกขี้หนูจะเริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 60-70 วันหลังการปลูก

kukr.lib.ku.ac.th

7. วิธีการเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่าย

การปลูกพริกขี้หนูในโรงเรือนหรือการใช้เทคนิคการควบคุมสภาพแวดล้อมสามารถช่วยให้พริกเจริญเติบโตและเก็บเกี่ยวได้ก่อนฤดูจำหน่าย

lib.doa.go.th

8. ประเทศที่ไทยส่งออกพริกขี้หนู

ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับประเทศที่ไทยส่งออกพริกขี้หนูและปริมาณการส่งออกไม่ได้ระบุในแหล่งข้อมูลที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีการส่งออกพริกและผลิตภัณฑ์จากพริกไปยังหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในสหภาพยุโรป

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกพริกขี้หนู สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น การปลูกพริกและการดูแลรักษา และ คู่มือการปลูกพริก 

 ข้อมูล10 สายพันธุ์พริกในประเทศไทย (พันธุ์เพื่อการค้า)

5.) สะระแหน่รวม 10 คลิป 

สะระแหน่

🌿 สะระแหน่ (Mint) ในไทย

สะระแหน่เป็นพืชผักสมุนไพรที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดไทยและต่างประเทศ เนื่องจากกลิ่นหอมสดชื่น รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และสรรพคุณทางยา มาดูรายละเอียดในแต่ละประเด็นกันเลย:

1. พันธุ์สะระแหน่ที่นิยมในไทย

ในไทยมีพันธุ์สะระแหน่ที่นิยมปลูกและจำหน่ายในตลาด ดังนี้:

พันธุ์ลักษณะเด่นความนิยมในตลาด

สะระแหน่บ้านใบสีเขียวอ่อน กลิ่นหอมเย็น ปลูกง่าย⭐⭐⭐⭐⭐

สะระแหน่สวนใบหนา สีเขียวเข้ม กลิ่นหอมแรง เหมาะสำหรับทำอาหาร⭐⭐⭐⭐

สะระแหน่ญี่ปุ่นใบเล็ก กลิ่นหอมแรง รสชาติเย็น⭐⭐⭐

สะระแหน่ฝรั่ง (Peppermint)กลิ่นหอมคล้ายเมนทอล ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและยา⭐⭐⭐

สะระแหน่โหระพาใบคล้ายโหระพา กลิ่นหอมหวาน⭐⭐

2. อายุของการออกดอก

  • 🌱 เพาะเมล็ด → เริ่มเก็บได้ใน 45 - 60 วัน หลังปลูก

  • เพาะเมล็ด → เริ่มเก็บได้ใน 45 - 60 วัน หลังปลูก

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • ฤดูฝน → ช่วงที่เหมาะสมที่สุด คือ พฤษภาคม - กันยายน

  • ฤดูหนาว → สามารถปลูกได้ แต่ควรควบคุมความชื้นในดิน

  • ฤดูร้อน → ควรปลูกในที่ร่มหรือมีการพรางแสง

4. คุณภาพดินและค่า pH

✅ ดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี
✅ มีอินทรียวัตถุสูง
✅ ค่า pH ที่เหมาะสม: 6.0 - 7.0

5. เทคนิคการปลูกและบำรุงรักษา

✅ การเตรียมดิน

  • ไถพรวนดินให้ร่วนซุย ผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก

  • ระบายน้ำได้ดี ไม่ท่วมขัง

✅ การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละ 1 - 2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น

  • ช่วงที่เริ่มแทงยอด → ให้น้ำสม่ำเสมอทุกวัน

✅ ปุ๋ยที่ใช้ (ไม่ใช้สารเคมี)

  • ใส่ปุ๋ยคอก (ขี้วัว, ขี้ไก่) หรือปุ๋ยหมัก ทุก 10 - 15 วัน

  • ใช้ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจากเศษผักและผลไม้

✅ การกำจัดแมลงและเชื้อรา (ไม่ใช้สารเคมี)

  • ใช้ น้ำส้มควันไม้ ผสมน้ำฉีดพ่นทุก 7 - 10 วัน

  • ใช้ น้ำหมักสมุนไพร (เช่น ตะไคร้หอม สะเดา ข่า) สำหรับกำจัดเพลี้ย

  • ใช้ ปูนขาว โรยรอบโคนต้นเพื่อป้องกันเชื้อรา

6. ช่วงออกดอก

  • สะระแหน่จะออกดอกเมื่ออายุ 2 - 3 เดือน หลังปลูก

  • ช่วงออกดอกมาก → พฤษภาคม - กันยายน

7. วิธีเร่งการออกดอกและเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่าย

  • ใช้วิธี เด็ดยอด เมื่อมีใบประมาณ 5 - 6 ใบ เพื่อกระตุ้นการแตกยอดใหม่

  • ลดการให้น้ำ 1 - 2 วัน ก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อให้กลิ่นหอมแรงขึ้น

  • ใช้วิธี พรางแสง ในช่วงก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 7 - 10 วัน

8. ประเทศที่ไทยส่งออกสะระแหน่ (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

ประเทศปริมาณการส่งออก (ตัน/ปี)ความต้องการตลาด

🇯🇵 ญี่ปุ่น1,500+สูงมาก (ใช้ในอาหารและชา)

🇺🇸 สหรัฐอเมริกา1,200+สูง (ใช้ในอาหารและยา)

🇪🇺 กลุ่มสหภาพยุโรป800+ปานกลาง

🇨🇳 จีน600+ปานกลาง

🇦🇺 ออสเตรเลีย500+ปานกลาง

🇰🇷 เกาหลีใต้400+สูง (ใช้ในเครื่องดื่มและอาหาร)

✅ สรุป

  • 🌱 พันธุ์ที่นิยม → สะระแหน่บ้าน และสะระแหน่สวน

  • ⏳ อายุเก็บเกี่ยว → 30 - 60 วัน

  • 🌦️ ช่วงที่เหมาะสม → พฤษภาคม - กันยายน

  • 🌍 ตลาดส่งออกหลัก → ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกา, สหภาพยุโรป

ต้นหอม

6.) ต้นหอมรวม 11 คลิป 

🌱 ข้อมูลการปลูกและดูแลต้นหอมในไทย

1. พันธุ์ต้นหอมที่มีชื่อเสียงในไทยและเป็นที่นิยมในตลาด
พันธุ์ต้นหอมที่นิยมปลูกในไทยมีหลายชนิด โดยเรียงตามความนิยมของตลาดผู้บริโภคได้ดังนี้:
✅ ต้นหอมญี่ปุ่น (Allium fistulosum) – ได้รับความนิยมสูงในตลาดไทยและต่างประเทศ เพราะกลิ่นหอมและรสชาติหวาน
✅ ต้นหอมจีน (Allium tuberosum) – ใบยาว สีเขียวเข้ม นิยมใช้ในอาหารจีน
✅ ต้นหอมพื้นบ้าน (Allium schoenoprasum) – มีขนาดเล็ก กลิ่นแรง นิยมใส่ในแกงและอาหารไทย

2. อายุของการออกดอก ตั้งแต่การปลูกโดยเพาะเมล็ดจนถึงการเก็บเกี่ยว

  • ต้นหอมเริ่มเก็บเกี่ยวได้ภายใน 30–45 วัน หลังปลูก

  • หากปลูกเพื่อเก็บเมล็ด จะต้องใช้เวลาประมาณ 4–5 เดือน จึงจะออกดอกและติดเมล็ด

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การปลูกในปี

  • ต้นหอมสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี

  • ช่วงที่เหมาะสมที่สุด: ปลายฤดูฝน - ต้นฤดูหนาว (กันยายน – กุมภาพันธ์) เนื่องจากอากาศเย็นช่วยให้ต้นหอมเจริญเติบโตได้ดี

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม
✅ ดินร่วนซุย มีอินทรียวัตถุสูง ระบายน้ำดี
✅ ค่า pH ที่เหมาะสม: 6.0 – 7.0
✅ ต้องมีการระบายน้ำดี ไม่แฉะ

5. เทคนิคในการปลูก บำรุง การกำจัดแมลงและเชื้อรา (ไม่ใช้สารเคมี)
🟢 เทคนิคการปลูก:

  • ใช้ต้นกล้าหรือเพาะเมล็ดในแปลงเพาะก่อนย้ายปลูก

  • ระยะห่างระหว่างต้น: 10 – 15 ซม.

🟢 การบำรุงรักษา:

  • รดน้ำวันละ 1–2 ครั้งในช่วงเช้าและเย็น

  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ทุก 10–15 วัน

  • คลุมโคนด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง เพื่อรักษาความชื้นในดิน

🟢 การป้องกันแมลงและเชื้อรา:

  • ใช้สารชีวภาพ เช่น น้ำสกัดสมุนไพร (เช่น ข่า ตะไคร้) ฉีดพ่นทุก 7–10 วัน

  • หากพบเพลี้ยไฟหรือหนอน ใช้สารสกัดสะเดาหรือกระเทียมฉีดพ่น

6. ช่วงออกดอกของต้นหอม

  • ต้นหอมเริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 3 – 4 เดือน หลังปลูก

  • ดอกจะบานเต็มที่ในช่วง ปลายฤดูหนาว – ต้นฤดูร้อน

7. วิธีทำให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

  • ปลูกในโรงเรือนหรือในถุงเพาะปลูกเพื่อควบคุมสภาพแวดล้อม

  • ใช้พลาสติกคลุมแปลงเพื่อรักษาอุณหภูมิและความชื้น

8. ประเทศที่ไทยส่งออกต้นหอม เรียงตามปริมาณการส่งออก

  1. ญี่ปุ่น – มีความต้องการสูง โดยเฉพาะต้นหอมญี่ปุ่น

  2. เกาหลีใต้ – นิยมใช้ในอาหารพื้นเมือง

  3. สหรัฐอเมริกา – มีตลาดในกลุ่มผู้อพยพจากเอเชีย

  4. ยุโรป (เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส) – นิยมใช้ในอาหารฟิวชันและอาหารเอเชีย

  5. จีน – นำเข้าต้นหอมเพื่อใช้ในอาหารและอุตสาหกรรมอาหาร

หอมใหญ่

7.) หอมใหญ่ รวม 11 คลิป 

🌰 ข้อมูลการปลูกหอมใหญ่ในไทย

✅ 1. พันธุ์หอมใหญ่ที่มีชื่อเสียงในไทยและความนิยมในตลาด

หอมใหญ่ในไทยมีพันธุ์หลักที่นิยมปลูกและบริโภค ดังนี้:

  1. พันธุ์ญี่ปุ่น – เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในไทย เนื่องจากมีรสหวาน กลิ่นหอม และเนื้อแน่น

  2. พันธุ์อเมริกัน – ขนาดใหญ่ ผิวบาง รสหวาน เหมาะสำหรับการปรุงอาหาร เช่น ต้มและผัด

  3. พันธุ์ยุโรป – รสชาติค่อนข้างเผ็ดเล็กน้อย เหมาะสำหรับทำซุปหรือสลัด

  4. พันธุ์แดง (Red Onion) – สีแดงม่วง รสหวานปนเผ็ดเล็กน้อย นิยมใช้ในสลัด

  5. พันธุ์ขาว (White Onion) – สีขาว รสชาติเบาและหวานกว่า เหมาะสำหรับทำซุป

🌱 2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การเพาะเมล็ดจนถึงการเก็บเกี่ยว

  • ระยะเวลาปลูกถึงเก็บเกี่ยว: ประมาณ 3.5 - 4.5 เดือน (90 - 120 วัน)

  • เมื่อปลูกจากเมล็ด ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน เพื่อเจริญเติบโตและสร้างหัว

  • ช่วงออกดอกและพร้อมเก็บเกี่ยวจะอยู่ในช่วง เดือนที่ 3 - 4 หลังปลูก

🗓️ 3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการปลูก

  • ควรปลูกในช่วง เดือนตุลาคม - ธันวาคม

  • อากาศเย็นช่วยให้หัวขยายตัวและมีคุณภาพดี

🏞️ 4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

  • ค่า pH ที่เหมาะสม: 6.0 - 7.5 (ค่าดินเป็นกรดอ่อนถึงกลาง)

  • ชนิดดิน: ดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง

  • ดินควรมีความชื้นสม่ำเสมอ แต่ไม่แฉะเกินไป

🌾 5. เทคนิคการปลูกและการดูแล (ปลอดสารเคมี)

✅ การเตรียมดิน

  • ไถพรวนดินและตากแดด 7 - 14 วัน เพื่อกำจัดเชื้อราและแมลง

  • เติมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 2 - 3 ตัน/ไร่

✅ การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละ 1 - 2 ครั้ง เช้า-เย็น ในช่วงแรก

  • ลดปริมาณน้ำเมื่อหอมใหญ่เริ่มสร้างหัว

✅ การใส่ปุ๋ย (อินทรีย์)

  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ทุกๆ 2 สัปดาห์

  • ปุ๋ยสูตรแนะนำ: ปุ๋ยคอก + ปุ๋ยหมัก + น้ำหมักชีวภาพ

✅ การจัดการศัตรูพืชและโรค (ไม่ใช้สารเคมี)

  • แมลงศัตรูหลัก:

    • เพลี้ยไฟ → ใช้สารสกัดจาก สะเดา หรือ พริก ฉีดพ่น

    • หนอนเจาะหัว → ใช้สารสกัดจาก ใบยาสูบ

  • โรคที่พบบ่อย:

    • โรครากเน่า → ปรับระบบน้ำและระบายน้ำดี

    • โรคใบจุด → ใช้น้ำหมักชีวภาพหรือสารสกัดจากข่าและตะไคร้

🌼 6. ช่วงออกดอก

  • หอมใหญ่เริ่มออกดอกในช่วง เดือนที่ 3 หลังปลูก

  • ดอกจะบานเต็มที่ในช่วง เดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม

🚀 7. วิธีเร่งการเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

  • ใช้วิธีการ รัดต้น หรือ ลดน้ำ ในช่วงก่อนเก็บเกี่ยว 1 - 2 สัปดาห์

  • ช่วยกระตุ้นให้หัวพัฒนาขนาดเร็วขึ้น

🌍 8. ประเทศผู้นำเข้าหอมใหญ่จากไทย (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. ญี่ปุ่น – ความต้องการสูง เนื่องจากใช้ประกอบอาหารหลายเมนู

  2. เกาหลีใต้ – นำเข้าเพื่อนำไปใช้ในซุปและกิมจิ

  3. มาเลเซีย – ใช้ประกอบอาหารพื้นเมือง

  4. สิงคโปร์ – ความต้องการสูงเพราะต้องใช้ในอาหารจานผัด

  5. เวียดนาม – ตลาดใหม่ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กระเทียม

8.) กระเทียม รวม 12 คลิป 

🌱 ข้อมูลเกี่ยวกับกระเทียมในไทย

1.) พันธุ์กระเทียมที่มีชื่อเสียงในไทยและความนิยมในตลาด

กระเทียมที่นิยมปลูกในไทยแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่:

  1. กระเทียมกลีบเล็ก (กระเทียมไทย) – นิยมบริโภคภายในประเทศเพราะมีกลิ่นหอมและรสเผ็ดร้อน

    • กระเทียมพันธุ์ศรีสะเกษ

    • กระเทียมพันธุ์เชียงใหม่

    • กระเทียมพันธุ์แม่ฮ่องสอน

  2. กระเทียมกลีบใหญ่ (กระเทียมนำเข้า) – นิยมนำเข้าจากจีนและเวียดนาม มีกลีบใหญ่ แต่กลิ่นไม่แรงเท่ากระเทียมไทย

    • กระเทียมพันธุ์จีน

    • กระเทียมพันธุ์เวียดนาม

เรียงตามความนิยมของตลาดในไทย:
✅ กระเทียมพันธุ์ศรีสะเกษ → ✅ กระเทียมพันธุ์เชียงใหม่ → ✅ กระเทียมพันธุ์แม่ฮ่องสอน → ✅ กระเทียมพันธุ์จีน → ✅ กระเทียมพันธุ์เวียดนาม

2.) อายุของการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

  • ระยะเวลาตั้งแต่เพาะเมล็ดถึงเก็บเกี่ยว: ประมาณ 90–120 วัน (3–4 เดือน)

  • ช่วงที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวคือเมื่อใบเริ่มแห้งและต้นเริ่มล้มลง

3.) ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

✅ ตุลาคม – ธันวาคม → อุณหภูมิเย็นสบายและมีแสงแดดเพียงพอ

4.) คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี
✅ ค่า pH ในดินที่เหมาะสม: 6.0–7.5
✅ มีอินทรียวัตถุสูง

5.) เทคนิคในการปลูกและดูแล

✅ การเตรียมดิน:

  • ไถพรวนดินลึก 20–30 ซม.

  • ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักประมาณ 2 ตัน/ไร่

✅ การปลูก:

  • แช่กลีบกระเทียมในน้ำอุ่นประมาณ 6 ชั่วโมง ก่อนปลูก

  • ปลูกโดยให้กลีบกระเทียมหันปลายแหลมขึ้น ฝังลึก 2–3 ซม.

✅ การให้น้ำ:

  • รดน้ำวันละ 1 ครั้งในช่วงเช้า

  • หลังจากปลูก 2 สัปดาห์ ควรรดน้ำสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง

  • งดให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 2 สัปดาห์

✅ การใส่ปุ๋ย:

  • ปุ๋ยอินทรีย์ (ขี้ไก่แกลบ, ปุ๋ยหมัก) ทุก 2 สัปดาห์

  • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 500 กก./ไร่

  • เสริมปุ๋ยอินทรีย์ที่มีธาตุอาหารหลัก (N, P, K)

✅ การจัดการแมลงและโรค:

  • แมลงศัตรู: หนอนกระทู้, เพลี้ยไฟ → ใช้สารสกัดจากสะเดาหรือพริก

  • โรค: โรคโคนเน่า, โรคใบจุด → พ่นน้ำหมักสมุนไพร เช่น ขิง ข่า ตะไคร้

6.) ช่วงออกดอก

✅ มกราคม – กุมภาพันธ์ (ช่วงที่ต้นกระเทียมเริ่มมีดอก)

7.) วิธีเร่งการเก็บผลก่อนฤดูจำหน่าย

  • แช่กลีบกระเทียมในน้ำอุ่นประมาณ 6 ชั่วโมง ก่อนปลูก

  • ให้ปุ๋ยน้ำหมักขี้ไก่เพื่อเร่งการเติบโต

  • งดให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยว 2 สัปดาห์ เพื่อให้กระเทียมเก็บได้นานขึ้น

8.) ประเทศที่ไทยส่งออกกระเทียม (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. 🇨🇳 จีน → ตลาดหลักของกระเทียมไทย

  2. 🇯🇵 ญี่ปุ่น → เน้นกระเทียมพันธุ์ไทย กลิ่นแรง

  3. 🇮🇳 อินเดีย → นำเข้าในปริมาณมาก

  4. 🇰🇷 เกาหลีใต้ → ต้องการกระเทียมกลีบเล็ก รสชาติเผ็ด

  5. 🇺🇸 สหรัฐอเมริกา → นิยมกระเทียมสดและกระเทียมแปรรูป

  6. 🇻🇳 เวียดนาม → นำเข้าเพื่อนำไปแปรรูปและจำหน่ายต่อ

พริกหวาน

9.) พริกหวาน รวม 8 คลิป 

🌶️ พริกหวานในไทย

พริกหวานเป็นพืชตระกูลเดียวกับพริกทั่วไป แต่มีรสชาติหวาน ไม่เผ็ด นิยมบริโภคสดหรือใช้ประกอบอาหาร เช่น ผัด ต้ม สลัด และอบ มีสีสันสวยงาม เช่น เขียว เหลือง ส้ม แดง และม่วง ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

1. พันธุ์พริกหวานที่นิยมในไทย

พริกหวานในไทยมีหลายสายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในตลาด ได้แก่:

  1. พันธุ์แคลิฟอร์เนีย วันเดอร์ (California Wonder) – ผลใหญ่ ผิวหนา รสหวาน กลิ่นหอม สีเขียวและเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อสุก

  2. พันธุ์ยิปซี (Gypsy) – ผลเรียวแหลม ขนาดกลาง ผิวบาง รสหวาน

  3. พันธุ์สโนว์ไวท์ (Snow White) – สีขาวนวล รสหวานและกรอบ เป็นที่นิยมในตลาดพรีเมียม

  4. พันธุ์ส้มทอง (Golden Bell) – สีเหลืองทอง รสหวาน ผลหนา เหมาะสำหรับการปรุงอาหาร

  5. พันธุ์เรดไลอ้อน (Red Lion) – สีแดงสด รสหวาน ฉ่ำ เป็นที่นิยมในตลาดส่งออก

2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • ระยะเวลาเพาะเมล็ดจนเก็บเกี่ยว: ประมาณ 70–90 วัน

  • เริ่มออกดอกประมาณ: 45–60 วัน หลังเพาะเมล็ด

  • เก็บเกี่ยวเมื่อผลมีสีสันสมบูรณ์ ขนาดเต็มที่ และมีผิวเต่งตึง

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • ฤดูหนาว – ฤดูร้อน (ตุลาคม – มีนาคม) เป็นช่วงที่เหมาะสมเพราะอุณหภูมิอยู่ที่ 20–30°C

  • อุณหภูมิที่เหมาะสม: 18–25°C

4. คุณภาพดินและค่า pH

✅ ดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี
✅ ค่า pH ที่เหมาะสม: 6.0–6.8
✅ ต้องมีอินทรียวัตถุสูง เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้น

5. เทคนิคการปลูกและบำรุงรักษา (แบบไม่ใช้สารเคมี)

✅ การปลูก

  • เพาะเมล็ดในถาดเพาะชำก่อนประมาณ 15–20 วัน

  • ย้ายกล้าลงแปลงปลูกเมื่ออายุประมาณ 3–4 สัปดาห์

  • ระยะปลูก: 40 x 50 ซม.

  • คลุมแปลงด้วยฟางข้าวหรือพลาสติก เพื่อรักษาความชื้น

✅ การใส่ปุ๋ยอินทรีย์

  • รองพื้น: ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1 ตัน/ไร่

  • ช่วงเจริญเติบโต: ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยมูลไส้เดือน หรือปุ๋ยหมักเดือนละ 1–2 ครั้ง

  • ช่วงติดผล: ใส่ปุ๋ยอินทรีย์สูตรเสริมโพแทสเซียม เช่น น้ำหมักผลไม้ หรือปุ๋ยมูลไก่

✅ การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละ 1–2 ครั้ง โดยเฉพาะช่วงเช้า

  • หลีกเลี่ยงน้ำขัง เพราะอาจทำให้รากเน่าได้

✅ การกำจัดแมลงและเชื้อรา

  • แมลงศัตรู: เพลี้ยไฟ, แมลงหวี่ขาว, หนอนเจาะผล

    • ใช้สารสกัดสะเดา น้ำส้มควันไม้ หรือฉีดพ่นด้วยน้ำกระเทียม

  • เชื้อรา: โรคแอนแทรคโนส และโรคเหี่ยว

    • ใช้ไตรโคเดอร์มา หรือบาซิลลัส ซับทิลิส ฉีดพ่นทางใบ

6. ช่วงเวลาออกดอก

  • ช่วงออกดอก: ประมาณ 45–60 วัน หลังเพาะเมล็ด

  • ช่วงติดผล: 60–70 วัน หลังเพาะเมล็ด

7. วิธีเร่งการเก็บผลก่อนฤดู

  • ควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนให้อยู่ที่ 18–25°C

  • ลดการให้น้ำในช่วงก่อนออกดอก 1–2 สัปดาห์

  • ใส่ปุ๋ยสูตรเสริมแคลเซียม-โบรอน เพื่อกระตุ้นการออกดอก

8. ประเทศที่ไทยส่งออกพริกหวาน (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. ญี่ปุ่น – ตลาดใหญ่ มีความต้องการพริกหวานสีแดงและเขียว

  2. เกาหลีใต้ – นิยมพริกหวานสีเขียวและเหลือง

  3. จีน – ตลาดใหญ่ รับซื้อพริกหวานสีแดงและเหลืองเป็นหลัก

  4. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ – นิยมพริกหวานสีเขียวและแดง

  5. รัสเซีย – นิยมพริกหวานสีแดงและเหลือง

💡 เคล็ดลับสำคัญ
✅ เลือกพันธุ์พริกหวานที่ทนร้อน ทนโรค
✅ ควบคุมความชื้นในดินและอุณหภูมิให้สม่ำเสมอ
✅ หมั่นตรวจสอบศัตรูพืช และใช้วิธีการป้องกันแบบธรรมชาติ

ตะไคร่

10.) ตะไคร่ รวม 7 คลิป 

10.) ตะไคร่ เงินล้าน

10.) ตะไคร่ เพื่อส่งโรงงานอุตสาหกรรม

🌿 ข้อมูลการปลูกและดูแลตะไคร้ในไทย

1.) พันธุ์ตะไคร้ที่มีชื่อเสียงในไทยและเป็นที่นิยมในตลาด
ตะไคร้ที่ปลูกในไทยมีหลัก ๆ 2 พันธุ์ ได้แก่:
✅ ตะไคร้พันธุ์พื้นบ้าน – นิยมปลูกทั่วไปในครัวเรือน ข้อปล้องสั้น กลิ่นหอมแรง เหมาะสำหรับการทำอาหาร
✅ ตะไคร้พันธุ์กอใหญ่ (ตะไคร้เกษตร) – ปล้องยาว ลำต้นใหญ่ เหมาะสำหรับขายเป็นต้นสด และนำไปแปรรูป

👉 ความนิยมในตลาด

  1. ตะไคร้พันธุ์กอใหญ่ (เพราะลำต้นใหญ่ เก็บง่าย ผลผลิตสูง)

  2. ตะไคร้พันธุ์พื้นบ้าน (นิยมใช้ในครัวเรือนและร้านอาหาร)

2.) อายุของการออกดอกและระยะเวลาเก็บเกี่ยว

  • หลังเพาะเมล็ดหรือปักชำประมาณ 90 – 120 วัน จะเริ่มเก็บเกี่ยวได้

  • หากต้องการเก็บตะไคร้ที่มีลำต้นใหญ่สมบูรณ์ ให้เก็บหลังปลูกประมาณ 4 – 5 เดือน

3.) ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • ปลูกได้ตลอดปี แต่ดีที่สุดในช่วง ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม – กรกฎาคม) เนื่องจากมีความชื้นสูง

  • หากปลูกในหน้าแล้งต้องให้น้ำสม่ำเสมอ

4.) คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม
✅ ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี
✅ ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 6.0 – 7.5
✅ ต้องมีแสงแดดเต็มที่วันละประมาณ 6 – 8 ชั่วโมง

5.) เทคนิคในการปลูกและดูแลโดยไม่ใช้สารเคมี
🌱 การเตรียมดิน:

  • ไถพรวนดินให้ร่วนซุย

  • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักประมาณ 1 กิโลกรัมต่อต้น

  • ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 30 – 40 ซม.

🌿 การบำรุงรักษา:

  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกทุก 2 – 3 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นการแตกกอ

  • ใช้ปุ๋ยชีวภาพ เช่น ปุ๋ยมูลไส้เดือน หรือปุ๋ยหมักน้ำชีวภาพ เพื่อให้ลำต้นแข็งแรง

🚰 การให้น้ำ:

  • รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ในช่วงเช้าหรือเย็น

  • ในช่วงหน้าแล้ง ให้รดน้ำวันละ 2 ครั้ง

🐛 การกำจัดแมลงและเชื้อราโดยไม่ใช้สารเคมี:

  • แมลงที่พบได้บ่อย:

    • เพลี้ยไฟ → ใช้น้ำส้มควันไม้ฉีดพ่นสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

    • หนอนเจาะลำต้น → ใช้บีที (BT) หรือสารชีวภาพฉีดพ่น

  • โรคที่พบบ่อย:

    • โรคโคนเน่าและรากเน่า → ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาฉีดพ่นในดิน

6.) ช่วงออกดอก

  • ตะไคร้ส่วนใหญ่ไม่ออกดอกง่ายในไทย

  • หากปลูกในสภาพอากาศที่เหมาะสม อาจมีการออกดอกช่วง ปลายฝนต้นหนาว (ตุลาคม – ธันวาคม)

7.) วิธีเร่งการเติบโตและเก็บผลก่อนฤดูจำหน่าย
✅ ใช้ปุ๋ยคอกและน้ำหมักชีวภาพเพิ่มธาตุอาหารให้ต้นสมบูรณ์
✅ ควบคุมความชื้นในดินอย่างสม่ำเสมอ
✅ ปลูกในโรงเรือนเพื่อเร่งอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสม

8.) ประเทศที่ไทยส่งออกตะไคร้ (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. 🇺🇸 สหรัฐอเมริกา – นิยมใช้ตะไคร้ในอาหารไทย เช่น ต้มยำ

  2. 🇯🇵 ญี่ปุ่น – นิยมใช้ในอาหารเอเชีย

  3. 🇪🇺 กลุ่มสหภาพยุโรป (เยอรมนี, ฝรั่งเศส, อิตาลี) – นิยมใช้ในอาหารและเครื่องดื่ม

  4. 🇨🇳 จีน – นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์สมุนไพร

  5. 🇰🇷 เกาหลีใต้ – นิยมใช้ในเมนูอาหารฟิวชั่นและผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม

ข่า

11.) ข่า รวม 8 คลิป 

11.) ข่า ตะไคร่ เงินล้าน

🌿 ข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกและดูแลข่าในไทย

1. พันธุ์ข่าที่มีชื่อเสียงในไทยและความนิยมในตลาด
ข่าในไทยมีหลายพันธุ์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่:
✅ ข่าตาแดง – รสเผ็ดร้อน หอม นิยมใช้ทำต้มข่า ต้มยำ
✅ ข่าตาเหลือง – รสชาติอ่อนกว่า หอมอ่อน เหมาะสำหรับทำอาหารที่ต้องการกลิ่นหอมอ่อน ๆ
✅ ข่าหยวก – ขนาดใหญ่ รสชาติเผ็ดน้อย เนื้อนุ่ม เหมาะสำหรับต้มและผัด
✅ ข่าใหญ่ – ขนาดหัวใหญ่ เนื้อแข็ง รสชาติเข้มข้น นิยมใช้ในเครื่องแกง
✅ ข่าลิง – ขนาดเล็ก รสเผ็ดร้อนจัด กลิ่นฉุน ใช้ทำยาสมุนไพร

เรียงตามความนิยมในตลาด:

  1. ข่าตาแดง

  2. ข่าใหญ่

  3. ข่าตาเหลือง

  4. ข่าหยวก

  5. ข่าลิง

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่ปลูกโดยเพาะเมล็ดจนเก็บเกี่ยว

  • ข่าสามารถเริ่มเก็บเกี่ยวได้ประมาณ 8–10 เดือน หลังจากปลูก

  • หากปลูกด้วยหน่อหรือลำต้น จะเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่า คือประมาณ 6–8 เดือน

  • ข่าจะออกดอกเมื่อมีอายุประมาณ 12–14 เดือน

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก
✅ ช่วงปลูกที่ดีที่สุด:

  • ฤดูฝน (พฤษภาคม–กรกฎาคม) – ความชื้นในดินสูงช่วยให้ข่างอกได้ดี

  • ปลูกในช่วงต้นฤดูฝนเพื่อให้ข้ามช่วงแล้งในฤดูหนาว

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม
✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุย

  • มีการระบายน้ำดี ไม่ท่วมขัง
    ✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • ค่าความเป็นกรด-ด่างอยู่ระหว่าง 5.5–6.5

5. เทคนิคการปลูกและดูแล (เน้นวิธีธรรมชาติและไม่ใช้สารเคมี)
✅ การเตรียมดิน:

  • ไถพรวนดินลึกประมาณ 30 ซม.

  • ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 1 ตัน/ไร่

✅ การปลูก:

  • ปลูกด้วยหน่อหรือหัวที่มีอายุมากกว่า 3 เดือน

  • ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 40 × 50 ซม.

  • กลบดินสูงประมาณ 3–5 ซม.

✅ การบำรุงรักษา:

  • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เดือนละครั้ง

  • ให้น้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วง 2–3 เดือนแรก หลังปลูก

  • คลุมดินด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง เพื่อรักษาความชื้น

✅ การจัดการแมลงและโรค (แบบธรรมชาติ):

  • แมลงศัตรู: เพลี้ยไฟ หนอนเจาะลำต้น
    🔹 ใช้น้ำสกัดสะเดาหรือกระเทียมฉีดพ่น
    🔹 ใช้ใบสะเดาต้มน้ำ ฉีดพ่นทุก 7–10 วัน

  • เชื้อรา: รากเน่า โคนเน่า
    🔹 ใช้เชื้อไตรโคเดอร์มาผสมในปุ๋ยคอก โรยรอบต้น

6. เดือนไหนเป็นช่วงออกดอก

  • ข่ามักจะออกดอกในช่วง ปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูหนาว (ตุลาคม–ธันวาคม)

  • ดอกข่าจะเริ่มบานเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 12 เดือน

7. วิธีทำให้เก็บเกี่ยวได้ก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด
✅ เร่งการเจริญเติบโต:

  • ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีไนโตรเจนสูงในช่วงแรกของการเจริญเติบโต

  • ควบคุมการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
    ✅ ตัดแต่งใบและหน่ออ่อน:

  • ตัดแต่งใบและหน่ออ่อน เพื่อกระตุ้นการเจริญของหัวและราก

8. ประเทศที่ไทยส่งออกข่ามากที่สุด (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. ญี่ปุ่น – ใช้ทำซุปและอาหารพื้นเมือง

  2. จีน – ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและสมุนไพร

  3. สหรัฐอเมริกา – ส่งออกเพื่อใช้ในอาหารไทยและสมุนไพร

  4. เกาหลีใต้ – ใช้ในอาหารพื้นบ้านและเครื่องดื่มสมุนไพร

  5. เยอรมนี – ใช้ในอาหารเอเชียและเครื่องเทศ

  6. ออสเตรเลีย – ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและสมุนไพร

💡 สรุป:
✅ ข่าตาแดงและข่าใหญ่เป็นพันธุ์ยอดนิยม
✅ ควรปลูกช่วงต้นฤดูฝน ดินควรมีค่า pH 5.5–6.5
✅ การใช้ปุ๋ยคอกและน้ำสกัดสมุนไพรช่วยป้องกันแมลงและเชื้อราได้ดี
✅ ส่งออกข่าไปยัง ญี่ปุ่น และ จีน เป็นหลัก 

ขิง

12.) ขิง รวม 17 คลิป 

🌱 ข้อมูลการปลูกขิงในไทย

1. พันธุ์ขิงที่มีในไทยและความนิยมในตลาด
ขิงที่นิยมปลูกในไทยมีหลายพันธุ์ โดยเรียงตามความนิยมของตลาด ดังนี้:
✅ ขิงใหญ่ – ขายดีในตลาดภายในและตลาดส่งออก เนื้อแน่น กลิ่นหอม เผ็ดร้อน
✅ ขิงเล็ก – นิยมในตลาดภายในประเทศ เหมาะกับการทำอาหารสดและแปรรูป
✅ ขิงแดง – มีสีสวย กลิ่นหอม รสเผ็ดร้อน ใช้ทำยาและอาหาร
✅ ขิงเผือก – เนื้อสีขาว กลิ่นหอม รสไม่เผ็ดมาก เหมาะกับการทำขิงดองหรือเครื่องดื่ม

2. อายุของการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

  • ระยะเวลาตั้งแต่เพาะหัวถึงเก็บเกี่ยว: 90-120 วัน

  • ระยะออกดอก: ประมาณ 7–8 เดือน หลังปลูก

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปลูก

  • เหมาะแก่การปลูกช่วง ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม–มิถุนายน)

  • หลีกเลี่ยงช่วงฝนตกชุกหรืออากาศหนาวจัด

4. คุณภาพดินและค่า pH
✅ ดินที่เหมาะสม: ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุย ระบายน้ำดี
✅ ค่า pH ที่เหมาะสม: 5.5–6.5
✅ ดินควรมีอินทรียวัตถุสูง

5. เทคนิคการปลูกและบำรุงรักษาโดยไม่ใช้สารเคมี
👉 เตรียมดิน:

  • ไถพรวนดิน ลึกประมาณ 20–30 ซม.

  • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก (เช่น มูลวัวหรือไก่) อัตรา 1.5 ตัน/ไร่

  • ระยะปลูกระหว่างต้น 30 ซม. และระหว่างแถว 50 ซม.

👉 การรดน้ำ:

  • รดน้ำวันละ 1 ครั้ง (เช้า-เย็น) ในช่วง 1 เดือนแรก

  • หลังจากต้นเริ่มแข็งแรง รดน้ำสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง

👉 การใส่ปุ๋ย:

  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกทุก 1 เดือน

  • ใส่ปุ๋ยชีวภาพสูตร ขยายรากและเพิ่มความเผ็ดร้อน

👉 การป้องกันแมลงและโรค:
✅ เพลี้ยไฟและหนอนกัดใบ → ใช้สารสกัดจากสะเดาและน้ำส้มควันไม้
✅ โรคเน่าคอดินและเชื้อรา → ใช้เชื้อไตรโคเดอร์มาในดิน
✅ ศัตรูพืชในดิน (เช่น ไส้เดือนฝอย) → ปลูกพืชหมุนเวียน (เช่น ถั่วเขียว)

6. ช่วงออกดอก

  • ขิงจะเริ่มออกดอกในช่วง เดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม

7. เทคนิคเร่งการเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่าย
✅ ควบคุมความชื้นในดินให้คงที่
✅ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีธาตุอาหารสูง (เช่น ปุ๋ยมูลไส้เดือน หรือปุ๋ยหมักจากพืชสด)
✅ คลุมโคนด้วยฟางข้าวเพื่อรักษาความชื้นและกระตุ้นการเจริญเติบโต

8. ประเทศที่ไทยส่งออกขิงและปริมาณการส่งออก
🌍 ประเทศผู้นำเข้า:

  1. ญี่ปุ่น – นำเข้าเพื่อทำขิงดองและเครื่องดื่ม

  2. สหรัฐอเมริกา – นิยมขิงสดและขิงแปรรูป

  3. เยอรมนี – นำเข้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยาและอาหาร

  4. เกาหลีใต้ – นิยมขิงสำหรับทำกิมจิ

  5. จีน – นำเข้าขิงสดและขิงแห้งเพื่อใช้ในอาหารและยาแผนจีน

💡 เคล็ดลับ: หากต้องการให้ขิงมีรสชาติเผ็ดร้อนและกลิ่นหอม ควรเก็บเกี่ยวหลังจากปลูกได้ประมาณ 10 เดือน และเก็บในช่วงที่ดินมีความชื้นพอดี 😎

เผือก

13.) เผือก รวม 17 คลิป 

🌱 ข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกเผือกในไทย

1. พันธุ์เผือกที่มีในไทยและความนิยมของตลาด

เผือกที่มีในไทยและได้รับความนิยมในตลาด มีดังนี้:

  1. พันธุ์เผือกหอม – เนื้อแน่น หอม มัน นิยมใช้ทำขนมและของหวาน

  2. พันธุ์เผือกตาแดง – เนื้อสีม่วงอ่อน รสหวาน เนื้อเหนียว นิยมทำขนมและอาหารคาว

  3. พันธุ์เผือกขาว – เนื้อขาว รสหวาน เนื้อละเอียด เหมาะสำหรับทอดหรือทำขนม

  4. พันธุ์เผือกจีน – หัวใหญ่ รสหวาน เนื้อแน่น เหมาะสำหรับทำขนมและอาหารคาว

2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • อายุการปลูกจนเก็บเกี่ยว: 6–8 เดือน

  • อายุการงอก: ประมาณ 7–14 วัน หลังปลูก

  • ช่วงเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม: หัวเผือกจะสมบูรณ์เมื่ออายุ 7–8 เดือน หรือต้นเริ่มเหลืองและเหี่ยว

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

  • ฤดูฝน (ช่วงพฤษภาคม – กรกฎาคม) เหมาะสมที่สุด เนื่องจากเผือกต้องการน้ำอย่างสม่ำเสมอ

  • สามารถปลูกได้ตลอดปีในพื้นที่ที่มีระบบน้ำดีและดินอุดมสมบูรณ์

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วน ดินร่วนปนทราย หรือดินเหนียวปนทราย

  • ระบายน้ำได้ดี ไม่ท่วมขัง
    ✅ ค่า pH:

  • ค่าที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5.5–7.0

5. เทคนิคการปลูกและบำรุงรักษา (ไม่ใช้สารเคมี)

🌾 การเตรียมดิน

  • ไถดินให้ลึกประมาณ 20–30 ซม.

  • ตากดินไว้ 7–10 วัน เพื่อลดปริมาณเชื้อโรคและศัตรูพืช

  • ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายดีแล้ว ประมาณ 1,500–2,000 กก./ไร่

🌱 การปลูก

  • ใช้หัวเผือกที่มีขนาด 3–5 ซม.

  • เว้นระยะปลูกระหว่างต้นประมาณ 30–40 ซม.

  • ขุดหลุมลึกประมาณ 5–10 ซม.

💧 การให้น้ำ

  • ให้น้ำสม่ำเสมอ วันเว้นวัน โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือนแรกหลังปลูก

  • ห้ามปล่อยให้ดินแห้งหรือท่วมขัง

🍃 การกำจัดแมลงและเชื้อรา (ไม่ใช้สารเคมี)

  • ใช้น้ำสกัดสมุนไพร เช่น น้ำสกัดจากสะเดา หรือข่า ตะไคร้

  • ปลูกพืชสมุนไพรใกล้ๆ แปลงเผือก เช่น ตะไคร้ โหระพา เพื่อไล่แมลง

  • หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไปเพื่อลดการเกิดเชื้อรา

🌿 การใส่ปุ๋ย (ไม่ใช้สารเคมี)

  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ทุกๆ 20–30 วัน

  • ช่วงเริ่มแทงหัว ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีโพแทสเซียมสูง

6. ช่วงออกดอก

  • เผือกจะเริ่มออกดอกประมาณ เดือนที่ 6–7 หลังปลูก

7. วิธีเร่งการเก็บผลก่อนฤดูจำหน่าย

✅ ใช้วิธีเร่งการเติบโต:

  • ให้ปุ๋ยอินทรีย์เสริมโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสในช่วง 3 เดือนหลังปลูก

  • ให้แสงแดดเต็มที่และน้ำอย่างสม่ำเสมอ
    ✅ ตัดแต่งใบที่เหลืองหรือใบแก่เพื่อให้ต้นส่งพลังงานไปที่หัว

8. ประเทศที่ไทยส่งออกเผือก (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. ญี่ปุ่น – นิยมเผือกหอมและเผือกขาว เนื่องจากรสชาติหวานและเนื้อแน่น

  2. เกาหลีใต้ – นิยมเผือกหอมและเผือกจีน เพื่อใช้ในขนมและซุป

  3. สิงคโปร์ – นิยมเผือกหอมและเผือกตาแดง เนื่องจากรสชาติและเนื้อแน่น

  4. จีน – นิยมเผือกจีน เนื่องจากขนาดใหญ่และรสชาติหวาน

  5. ไต้หวัน – นิยมเผือกขาวและเผือกตาแดง ใช้ในขนมและอาหารคาว

💡 สรุป: เผือกเป็นพืชที่ต้องการดินระบายน้ำดี ความชื้นสม่ำเสมอ และแสงแดดเต็มที่ การปลูกและดูแลโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์และสารธรรมชาติสามารถช่วยให้ได้ผลผลิตที่ดี และมีโอกาสส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง 🥰

ขึ้นฉ่าย

14.) ขึ้นฉ่าย รวม 17 คลิป 

ข้อมูลการปลูกและดูแลขึ้นฉ่ายในไทย

1.) พันธุ์ขึ้นฉ่ายที่มีชื่อเสียงในไทย

ในประเทศไทยมีขึ้นฉ่ายที่ปลูกเพื่อการบริโภคและจำหน่ายหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่นิยมในตลาด ได้แก่

  1. ขึ้นฉ่ายไทย – มีลำต้นเล็ก ใบหอม นิยมใช้ในอาหารไทย เช่น ต้มจืด ผัด และแกง

  2. ขึ้นฉ่ายจีน – ลำต้นใหญ่กว่า กลิ่นหอมแรง เหมาะสำหรับนำไปผัดหรือใช้ในซุป

  3. ขึ้นฉ่ายฝรั่ง (Celery) – ลำต้นหนา กรอบ ใช้กินสดหรือทำสลัด

2.) อายุการเก็บเกี่ยว

  • ใช้เวลาประมาณ 75-90 วัน หลังจากปลูกโดยเพาะเมล็ดจนสามารถเก็บเกี่ยวได้

3.) ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • ฤดูปลูกที่เหมาะสม เดือนตุลาคม - กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่อากาศเย็น ทำให้ขึ้นฉ่ายเติบโตได้ดี

4.) คุณภาพดินและค่า pH

  • ขึ้นฉ่ายชอบดินร่วนปนทรายหรือดินร่วนซุย

  • ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 6.0 - 6.8

  • ควรปรับดินให้ระบายน้ำได้ดี ไม่ให้มีน้ำขัง

5.) เทคนิคการปลูกและการดูแลแบบไม่ใช้สารเคมี

  • ปลูกโดยการเพาะเมล็ด ในแปลงเพาะก่อนย้ายลงแปลงจริง

  • การบำรุง: ใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยไส้เดือน

  • การให้น้ำ: ควรรดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง ให้ดินชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะ

  • การกำจัดแมลงและโรคโดยไม่ใช้สารเคมี:

    • ปลูกพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ หรือโหระพา เพื่อลดการรบกวนของแมลง

    • ใช้น้ำส้มควันไม้ฉีดพ่นป้องกันเชื้อรา

    • ใช้สารชีวภาพ เช่น เชื้อไตรโคเดอร์มา หรือบาซิลลัส ซับทิลิส

6.) ช่วงออกดอก

  • ขึ้นฉ่ายเป็นพืชใบ ไม่เน้นการออกดอกเพื่อเก็บผลผลิต แต่หากปล่อยให้โตเกิน 100 วัน อาจเริ่มออกดอก

7.) เทคนิคเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่าย

  • การควบคุมอุณหภูมิและแสงในโรงเรือน สามารถทำให้สามารถเก็บเกี่ยวได้เร็วขึ้น

  • ควรตัดขึ้นฉ่ายให้ใกล้โคนต้นเพื่อให้แตกใบใหม่เร็ว

8.) ประเทศที่ไทยส่งออกขึ้นฉ่าย

  • ประเทศที่นำเข้าขึ้นฉ่ายไทย ได้แก่ จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

  • ตลาดที่สำคัญเรียงตามปริมาณการส่งออก: จีน > มาเลเซีย > สิงคโปร์ > ญี่ปุ่น > เกาหลีใต้

กระชาย

15.) กระชาย รวม 16 คลิป 

ข้อมูลการปลูกและดูแลกระชายในไทย

1.) พันธุ์กระชายที่มีชื่อเสียงในไทย

กระชายที่นิยมปลูกในไทยมี 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่

  1. กระชายเหลือง – พันธุ์ที่นิยมบริโภคมากที่สุด เนื้อในสีเหลือง กลิ่นหอม นิยมใช้ปรุงอาหาร เช่น ผัดเผ็ด และต้มยำ

  2. กระชายดำ – พันธุ์ที่มีสรรพคุณทางยา นิยมใช้ทำสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ราคาสูงกว่ากระชายเหลือง

  3. กระชายแดง – พบได้น้อย เนื้อมีสีแดงอ่อน รสชาติเผ็ดร้อน มักใช้ทำยาแผนโบราณ

🔹 เรียงตามความนิยมของตลาด:
1) กระชายเหลือง > 2) กระชายดำ > 3) กระชายแดง

2.) อายุการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

  • กระชายเป็นพืชล้มลุกที่ต้องใช้เวลา 90-120 วัน ในการเจริญเติบโตจนเก็บเกี่ยวได้

  • ออกดอกหลังปลูกประมาณ 6-7 เดือน

3.) ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • กระชายเหมาะปลูกช่วงต้นฤดูฝน (เมษายน - มิถุนายน) เพราะต้องการดินชุ่มชื้นและแสงแดดปานกลาง

4.) คุณภาพดินและค่า pH

  • ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง

  • ค่า pH ที่เหมาะสม 6.0 - 7.0

5.) เทคนิคการปลูกและการดูแลแบบไม่ใช้สารเคมี

✅ การเตรียมดิน

  • ไถพรวนดินและตากดิน 1-2 สัปดาห์

  • รองพื้นด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก

✅ การปลูก

  • ใช้เหง้าหรือหน่อแทนการเพาะเมล็ด

  • วางหัวกระชายลึกประมาณ 5-7 ซม.

✅ การบำรุง

  • ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยไส้เดือน ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก

  • เสริมด้วยน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้สุก เช่น กล้วย หรือมะละกอ

✅ การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ช่วงเช้า

  • หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป เพราะอาจทำให้รากเน่า

✅ การกำจัดแมลงและโรคโดยไม่ใช้สารเคมี

  • ปลูกพืชไล่แมลง เช่น ตะไคร้ โหระพา

  • ใช้สารสกัดชีวภาพ เช่น น้ำส้มควันไม้ ป้องกันเชื้อรา

  • หมั่นตรวจดูโคนต้น ป้องกันหนอนและเพลี้ย

6.) ช่วงออกดอก

  • กระชายเริ่มออกดอกในช่วง เดือนกันยายน - พฤศจิกายน

7.) เทคนิคการเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่าย

  • การปลูกในโรงเรือนที่ควบคุมอุณหภูมิ และความชื้น จะช่วยเร่งการเจริญเติบโต

  • ใช้สารเร่งรากชีวภาพจากพืชสมุนไพร เช่น น้ำหมักจุลินทรีย์จากหน่อกล้วย

8.) ประเทศที่ไทยส่งออกกระชาย

  • ประเทศที่นำเข้ากระชายจากไทยมากที่สุด ได้แก่

    1. จีน – ใช้เป็นสมุนไพร และในอาหาร

    2. ญี่ปุ่น – นิยมในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มสุขภาพ

    3. เกาหลีใต้ – ใช้ทำผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

    4. เวียดนาม – ใช้ในตำรับยาสมุนไพร

    5. สหรัฐอเมริกา – ตลาดสุขภาพและสมุนไพร

เรียงตามปริมาณการส่งออก:
จีน > ญี่ปุ่น > เกาหลีใต้ > เวียดนาม > สหรัฐอเมริกา

ถั่วฝักยาว

16.) ถั่วฝักยาว รวม 19 คลิป 

ข้อมูลการปลูกและดูแลถั่วฝักยาวในไทย

1.) พันธุ์ถั่วฝักยาวที่มีชื่อเสียงในไทย

ถั่วฝักยาวที่นิยมปลูกในไทยมีหลายสายพันธุ์ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่

🔹 1. ถั่วฝักยาวฝักสีเขียว (นิยมปลูกมากที่สุด)

  • พันธุ์สีเขียวอ่อน (พันธุ์ทั่วไป) – พบมากที่สุดในตลาด เนื้อแน่น กรอบ ไม่เหนียว

  • พันธุ์พิเศษ เช่น ถั่วพุ่ม – ฝักเล็กสั้น มีรสชาติเข้มข้น เหมาะกับอาหารบางชนิด

🔹 2. ถั่วฝักยาวสีม่วง

  • พันธุ์สีม่วง (Purple Yardlong Bean) – สีม่วงเข้ม สวยงาม นิยมในตลาดเฉพาะกลุ่ม

✅ เรียงตามความนิยมของตลาดผู้บริโภค:
1) ถั่วฝักยาวสีเขียวอ่อน > 2) ถั่วพุ่ม > 3) ถั่วฝักยาวสีม่วง

2.) อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • เริ่มออกดอก ประมาณ 30-40 วัน หลังปลูก

  • เก็บเกี่ยวได้ ประมาณ 45-50 วัน หลังปลูก

3.) ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • สามารถปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงที่เหมาะที่สุดคือ ปลายฤดูหนาว - ต้นฤดูฝน (พฤศจิกายน - มีนาคม)

  • หลีกเลี่ยงฤดูฝนหนัก เพราะความชื้นสูงอาจทำให้เกิดโรคเชื้อรา

4.) คุณภาพดินและค่า pH

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุยที่ระบายน้ำดี

  • มีอินทรียวัตถุสูง และอุดมด้วยธาตุอาหาร

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • 5.5 - 7.0 (เป็นกรดอ่อนถึงเป็นกลาง)

5.) เทคนิคการปลูกและดูแลแบบไม่ใช้สารเคมี

✅ การเตรียมดิน

  • ไถพรวนดินให้ร่วนซุย

  • รองพื้นด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มธาตุอาหาร

✅ การปลูก

  • เพาะเมล็ดโดยเว้นระยะ 30-50 ซม. ต่อหลุม

  • ค้ำไม้หรือทำค้างให้ถั่วเลื้อย

✅ การบำรุงต้น

  • ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยมูลไส้เดือน

  • เติมปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพจากพืช เช่น กล้วย หรือหน่อไม้ เพื่อให้ต้นสมบูรณ์

✅ การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ช่วงเช้า หลีกเลี่ยงช่วงเย็นเพื่อลดโอกาสเกิดเชื้อรา

✅ การป้องกันแมลงและเชื้อราแบบไม่ใช้สารเคมี

  • ใช้ พืชสมุนไพร เช่น น้ำหมักข่า ตะไคร้ หรือสะเดา ฉีดพ่นป้องกันแมลง

  • ปลูกพืชไล่แมลง เช่น โหระพา หรือดอกดาวเรือง

6.) ช่วงออกดอก

  • ถั่วฝักยาวเริ่มออกดอกประมาณ 30-40 วันหลังปลูก

  • ช่วงออกดอกมากที่สุด เดือนมกราคม - มีนาคม

7.) วิธีเร่งให้เก็บเกี่ยวได้ก่อนฤดูจำหน่าย

  • ควบคุมแสงและน้ำ เพื่อเร่งการเจริญเติบโต

  • ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เร่งดอก เช่น น้ำหมักจุลินทรีย์จากหน่อกล้วย หรือมูลไส้เดือน

  • ปลูกในโรงเรือนหรือใช้พลาสติกคลุมดินเพื่อลดความชื้นส่วนเกิน

8.) ประเทศที่ไทยส่งออกถั่วฝักยาว

ประเทศที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่:

  1. จีน – ตลาดใหญ่สุด นิยมใช้ในอาหารจีน

  2. มาเลเซีย – นิยมบริโภคสด

  3. สิงคโปร์ – ตลาดพรีเมียม รับเฉพาะถั่วฝักยาวคุณภาพดี

  4. ญี่ปุ่น – ใช้ในอาหารสุขภาพ

  5. สหรัฐอเมริกา – ตลาดผักสดเพื่อคนไทยและเอเชีย

✅ เรียงตามปริมาณการส่งออก:
จีน > มาเลเซีย > สิงคโปร์ > ญี่ปุ่น > สหรัฐอเมริกา

ถ้่วลิสง

17.) ถั่วลิสง รวม 23 คลิป 

🌱 ข้อมูลการปลูกถั่วลิสงในไทย

1. พันธุ์ถั่วลิสงที่มีชื่อเสียงในไทย

ถั่วลิสงในไทยมีหลายพันธุ์ที่นิยมปลูกและเป็นที่ต้องการในตลาด ได้แก่:
(เรียงตามความนิยมในตลาด)

  1. พันธุ์ขอนแก่น 6 – เป็นพันธุ์ยอดนิยม เปลือกบาง เมล็ดใหญ่ น้ำมันสูง

  2. พันธุ์ขอนแก่น 5 – ให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคดี เปลือกหนาปานกลาง

  3. พันธุ์ไทนาน 9 – เมล็ดขนาดใหญ่ รสชาติดี เปลือกบาง

  4. พันธุ์เชียงใหม่ 60 – ทนแล้ง ต้านทานโรคได้ดี

  5. พันธุ์นครสวรรค์ 1 – เติบโตเร็ว ให้ผลผลิตดีในดินร่วนปนทราย

2. อายุของการออกดอกจนเก็บเกี่ยว

  • ถั่วลิสงใช้เวลา 90–120 วัน (ประมาณ 3–4 เดือน) ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

  • ถั่วลิสงจะเริ่มออกดอกหลังจากปลูกประมาณ 30–40 วัน

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • ฤดูฝน: ช่วงเดือน พฤษภาคม – กรกฎาคม เหมาะกับการปลูกในดินที่มีความชื้นสูง

  • ฤดูแล้ง: ช่วงเดือน ตุลาคม – ธันวาคม เหมาะกับการปลูกในพื้นที่ชลประทาน

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุย

  • ดินระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง

  • ไม่ท่วมขัง
    ✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • อยู่ในช่วง 5.5 – 6.5

5. เทคนิคในการปลูกและดูแล (แบบปลอดสารเคมี)

🔸 การเตรียมดิน

  • ไถดินลึกประมาณ 20–30 ซม.

  • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 2–3 ตันต่อไร่

  • ปลูกด้วยระยะห่าง ระหว่างต้น 20 ซม. และ ระหว่างแถว 40 ซม.

🔸 การดูแลและบำรุง

  • ให้น้ำสม่ำเสมอในช่วง งอกและออกดอก (2–3 วันครั้ง)

  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยมูลสัตว์ หรือปุ๋ยหมัก 2 ครั้ง

    • ครั้งแรก: หลังปลูก 15 วัน

    • ครั้งที่สอง: หลังออกดอก 30 วัน

🔸 การกำจัดแมลงและโรคโดยไม่ใช้สารเคมี

  • โรคราสนิม → ใช้สารชีวภาพ เช่น เชื้อไตรโคเดอร์มา

  • แมลงเจาะฝัก → ใช้น้ำหมักสมุนไพร (ข่า ตะไคร้ ใบสะเดา)

  • เพลี้ยไฟ → ปลูกพืชสมุนไพรขับไล่แมลง เช่น โหระพา หรือ ตะไคร้หอม

6. ช่วงออกดอก

  • เริ่มออกดอกหลังปลูกประมาณ 30–40 วัน

  • ช่วงที่ออกดอกมากที่สุดอยู่ใน เดือนกรกฎาคม – กันยายน

7. วิธีเร่งเก็บผลก่อนฤดูจำหน่าย

✅ ปลูกในพื้นที่ที่มีการชลประทานดี
✅ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูง เพื่อเร่งการเจริญเติบโต
✅ รดน้ำในช่วง 15 วันสุดท้ายก่อนเก็บเกี่ยว เพื่อช่วยให้ฝักเติบโตเต็มที่

8. ประเทศที่ไทยส่งออกถั่วลิสง (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. จีน – ตลาดใหญ่ที่สุด ต้องการถั่วลิสงเปลือกบางและเมล็ดใหญ่

  2. ญี่ปุ่น – นิยมถั่วลิสงคุณภาพดีสำหรับทำขนม

  3. เกาหลีใต้ – ต้องการถั่วลิสงรสชาติหวานและมัน

  4. อินเดีย – นำไปแปรรูปเป็นน้ำมันและขนม

  5. เวียดนาม – นำไปบริโภคสดและแปรรูป

ถั่วลิสงเป็นพืชที่ดูแลง่ายและมีโอกาสในตลาดส่งออกสูง โดยเฉพาะตลาดจีนและญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของเมล็ดถั่วลิสง 😄

มะนาว

18.) มะนาว รวม 23 คลิป 

🌿 ข้อมูลการปลูกมะนาวในไทย

1. พันธุ์มะนาวที่มีชื่อเสียงในไทย

ในไทยมีพันธุ์มะนาวที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการของตลาดหลายพันธุ์ ได้แก่:

อันดับพันธุ์มะนาวลักษณะเด่นความนิยมในตลาด

1พันธุ์แป้นพิจิตรทนโรคแคงเกอร์ รสเปรี้ยว กลิ่นหอม น้ำเยอะ⭐⭐⭐⭐⭐ (นิยมมากที่สุด)

2พันธุ์แป้นดกพิเศษให้ผลดก เปลือกบาง น้ำเยอะ รสชาติเปรี้ยวจัด⭐⭐⭐⭐⭐

3พันธุ์แป้นรำไพเปลือกบาง น้ำเยอะ ทนโรค ผลใหญ่⭐⭐⭐⭐

4พันธุ์ตาฮิติ (มะนาวไร้เมล็ด)ไม่มีเมล็ด รสเปรี้ยวอ่อน มีกลิ่นหอม⭐⭐⭐⭐

5พันธุ์แป้นแม่ไก่ไข่ดกผลดก เปลือกหนาปานกลาง น้ำเยอะ⭐⭐⭐

6พันธุ์พื้นเมือง (มะนาวไข่)เปลือกหนา รสเปรี้ยวเข้มข้น น้ำเยอะ⭐⭐⭐

2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • ปลูกจากเมล็ด → ใช้เวลา 2.5 – 3 ปี จึงเริ่มออกดอกและให้ผลผลิต

  • ปลูกจากกิ่งตอน → ใช้เวลา 6 – 8 เดือน จึงเริ่มออกดอกและให้ผลผลิต

  • ระยะเวลาเก็บเกี่ยวหลังติดผล → ประมาณ 4 – 5 เดือน

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

✅ ปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงที่ดีที่สุดคือ:

  • ปลายฤดูฝน – ต้นฤดูหนาว (ช่วงเดือน ตุลาคม – ธันวาคม)

  • หลีกเลี่ยงการปลูกในฤดูฝนจัด (เพราะเชื้อราและโรคแคงเกอร์จะแพร่ระบาดง่าย)

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุย

  • ระบายน้ำดี ไม่มีน้ำขัง

  • มีอินทรียวัตถุสูง

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม

  • ค่า pH อยู่ระหว่าง 5.5 – 6.5

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุง (แบบปลอดสารเคมี)

🔸 การเตรียมดิน

  • ไถพรวนดินลึกประมาณ 30 – 40 ซม.

  • ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 5 กิโลกรัมต่อหลุมปลูก

🔸 การปลูก

  • เว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 2.5 – 3 เมตร

  • รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกผสมแกลบดำและปุ๋ยหมัก

  • รดน้ำทันทีหลังปลูก

🔸 การบำรุงรักษา
✅ การให้น้ำ

  • ช่วง 1 – 3 เดือนแรก: รดน้ำวันเว้นวัน

  • หลังจากนั้น: รดน้ำสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง

✅ การใส่ปุ๋ย (อินทรีย์)

  • ใส่ปุ๋ยหมักและปุ๋ยมูลสัตว์ทุก 2 เดือน

  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์สูตรที่มี ฟอสฟอรัส (P) และ โพแทสเซียม (K) สูง เช่น ปุ๋ยขี้ค้างคาว หรือ ปุ๋ยหมักใบไม้

  • เสริมด้วย ปุ๋ยน้ำหมักจากผลไม้ หรือ น้ำหมักปลา เพื่อเพิ่มความหวานและกลิ่นหอม

✅ การกำจัดแมลงและเชื้อรา (แบบปลอดสารเคมี)

  • โรคแคงเกอร์ → ใช้น้ำหมักชีวภาพจาก ข่า ตะไคร้ ใบสะเดา

  • หนอนเจาะผล → ใช้สารสกัดจาก สะเดา หรือ น้ำหมักสมุนไพร

  • เพลี้ยไฟ/เพลี้ยแป้ง → ปลูกพืชไล่แมลง เช่น โหระพา หรือ ตะไคร้หอม รอบแปลง

6. ช่วงออกดอก

✅ มะนาวออกดอกและติดผลได้ตลอดปี
✅ ช่วงที่มะนาวออกดอกมากที่สุดคือ เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน
✅ ถ้ามีการดูแลดี อาจทำให้มะนาวออกดอกได้ต่อเนื่อง

7. วิธีเร่งให้มะนาวออกผลก่อนฤดูจำหน่าย

✅ งดให้น้ำ เป็นเวลา 20 – 30 วัน เพื่อกระตุ้นการออกดอก
✅ ตัดแต่งกิ่ง หลังการเก็บเกี่ยว เพื่อให้แตกยอดใหม่และออกดอกเร็วขึ้น
✅ ฉีดพ่น น้ำหมักชีวภาพ ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น น้ำหมักกล้วยสุก เพื่อเร่งการติดดอกและการเจริญเติบโตของผล

8. ประเทศที่ไทยส่งออกมะนาว (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

อันดับประเทศปลายทางความต้องการ

1ญี่ปุ่นนิยมมะนาวพันธุ์แป้นตาฮิติ ไร้เมล็ด กลิ่นหอม

2จีนนิยมมะนาวแป้นพิจิตรและแป้นดกพิเศษ (น้ำเยอะ เปลือกบาง)

3เกาหลีใต้นิยมมะนาวพันธุ์แป้นตาฮิติ (ไม่มีเมล็ด)

4สหรัฐอเมริกานิยมมะนาวไร้เมล็ดและแป้นพิจิตร (กลิ่นหอม เปลือกบาง)

5สิงคโปร์นิยมมะนาวแป้นดกพิเศษและแป้นแม่ไก่ไข่ดก

6มาเลเซียนิยมมะนาวแป้นรำไพและแป้นดกพิเศษ

✅ สรุป

✅ พันธุ์มะนาวยอดนิยมในไทยคือ แป้นพิจิตร และ แป้นดกพิเศษ
✅ ปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงปลายฝน – ต้นหนาวดีที่สุด
✅ ให้ผลผลิตหลังปลูกประมาณ 6 – 8 เดือน (กรณีปลูกจากกิ่งตอน)
✅ ใช้วิธีการบำรุงด้วยปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักชีวภาพ เพื่อให้ผลผลิตมีรสเปรี้ยวและกลิ่นหอม
✅ ตลาดส่งออกหลัก คือ ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และ สหรัฐอเมริกา

ฟัก

19.) ฟัก รวม 23 คลิป 

🌱 ข้อมูลการปลูกฟักในไทย

ฟัก (Winter Melon) หรือ ฟักเขียว เป็นพืชที่นิยมปลูกในไทยและเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพราะใช้ประกอบอาหารได้หลากหลาย และเก็บรักษาได้นานหลังเก็บเกี่ยว

1. พันธุ์ฟักที่มีชื่อเสียงในไทย

ฟักที่นิยมปลูกในไทยมีหลายพันธุ์ โดยเรียงตามความนิยมของตลาดได้ดังนี้:

🥇 1. ฟักเขียวพันธุ์ยาว (พันธุ์ธรรมดา)

  • รูปร่างยาว เปลือกสีเขียว ผิวเรียบ

  • เนื้อสีขาว รสชาติหวานเล็กน้อย

  • นิยมใช้ในต้มจืด แกงจืด หรือทำขนมหวาน

🥈 2. ฟักเขียวพันธุ์กลม (ฟักกลม)

  • รูปร่างกลม ผิวเขียวเข้ม มีขนอ่อนบางๆ

  • เนื้อแน่น รสหวานมัน

  • นิยมใช้ทำอาหาร เช่น ต้ม ผัด และแกง

🥉 3. ฟักขี้พร้า (พันธุ์พื้นบ้าน)

  • รูปทรงไม่แน่นอน เปลือกสีเขียวอ่อน มีขนมาก

  • รสชาติหวานน้อยกว่า แต่เหมาะกับการทำแกงจืดหรือผัด

2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • ระยะเวลาเพาะเมล็ด → ออกดอก: ประมาณ 45 - 60 วัน

  • ระยะเวลาออกดอก → เก็บเกี่ยว: ประมาณ 30 - 40 วัน

  • รวมระยะเวลาตั้งแต่ปลูกถึงเก็บเกี่ยว: ประมาณ 75 - 100 วัน

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

✅ ปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือ:

  • ปลูกต้นฤดูฝน → เดือน พฤษภาคม - กรกฎาคม

  • ปลูกต้นฤดูหนาว → เดือน พฤศจิกายน - ธันวาคม

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี มีความชื้นพอเหมาะ
✅ ค่า pH ที่เหมาะสม: 6.0 - 7.0
✅ อินทรียวัตถุสูง ดินต้องไม่แฉะเกินไป

5. เทคนิคการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดิน

  • ไถดินลึกประมาณ 20 - 30 ซม.

  • ตากดินทิ้งไว้ 7 - 10 วัน

  • ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 2 ตัน/ไร่

🌱 การปลูก

  • ขุดหลุมลึกประมาณ 5 - 10 ซม.

  • หยอดเมล็ดลงหลุม 2 - 3 เมล็ด/หลุม

  • ระยะปลูก: ระหว่างต้น 1.5 เมตร และ ระหว่างแถว 2 เมตร

🌱 การบำรุงรักษา

  • การให้น้ำ:

    • รดน้ำวันเว้นวันในช่วงแรก

    • ลดการให้น้ำเมื่อเริ่มติดผล เพื่อไม่ให้ผลแตก

  • การใส่ปุ๋ยอินทรีย์ (ไม่ใช้สารเคมี):

    • หลังปลูก 7 - 14 วัน → ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก (สูตร 1:1)

    • หลังติดผล → ใช้ปุ๋ยมูลไก่หรือปุ๋ยขี้วัว 1 ครั้ง/เดือน

  • การป้องกันแมลงและโรค (ไม่ใช้สารเคมี):
    ✅ เพลี้ยไฟและหนอนเจาะผล → ฉีดพ่นน้ำสกัดจาก สะเดา หรือ น้ำข่า
    ✅ โรคราแป้ง → พ่นน้ำส้มควันไม้หรือสารชีวภาพ เช่น ไตรโคเดอร์มา
    ✅ แมลงวันทอง → ใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลืองหรือใช้กับดักฟีโรโมน

6. ช่วงออกดอก

✅ ฟักจะเริ่มออกดอกหลังปลูกประมาณ 45 - 60 วัน
✅ ออกดอกมากในช่วง ปลายฝนต้นหนาว (ตุลาคม - ธันวาคม)

7. เทคนิคกระตุ้นให้เก็บผลก่อนฤดูจำหน่าย

✅ ตัดแต่งยอด → เมื่อยอดเริ่มแตกมาก ให้ตัดยอดทิ้งเพื่อกระตุ้นให้ต้นเร่งติดผล
✅ ลดน้ำ → เมื่อติดผลแล้วให้ลดการให้น้ำ เพื่อทำให้ผลเติบโตเร็วขึ้นและเนื้อแน่น
✅ เสริมธาตุอาหาร → ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ขี้ไก่ หรือ ขี้วัวหมัก เพื่อบำรุงต้นให้ติดผลเร็ว

8. ประเทศที่ไทยส่งออกฟัก (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. จีน 🇨🇳 → ตลาดใหญ่มาก มีความต้องการฟักเขียวอย่างต่อเนื่อง

  2. ญี่ปุ่น 🇯🇵 → นิยมใช้ในอาหาร เช่น ซุป และแกง

  3. เกาหลีใต้ 🇰🇷 → ใช้ทำอาหารดั้งเดิม เช่น ซุปและเครื่องเคียง

  4. เวียดนาม 🇻🇳 → ส่งออกทั้งฟักสดและฟักแปรรูป

  5. มาเลเซีย 🇲🇾 → นิยมในตลาดอาหารท้องถิ่น

✅ สรุปจุดเด่นในการปลูกฟัก

✅ ปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว
✅ ต้องการดินร่วนซุย มีค่า pH ประมาณ 6.0 - 7.0
✅ ใช้วิธีธรรมชาติในการป้องกันแมลงและโรค
✅ มีตลาดส่งออกหลัก เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

แตงกวา

20.) แตงกวา รวม 25 คลิป 

🌱 ข้อมูลการปลูกแตงกวาในไทย

แตงกวา (Cucumber) เป็นพืชที่ปลูกง่าย โตเร็ว และมีตลาดรองรับกว้างขวาง ทั้งในไทยและต่างประเทศ นิยมนำมาประกอบอาหารสด แกง ผัด หรือทำเป็นเครื่องเคียง

1. พันธุ์แตงกวาที่มีชื่อเสียงในไทย

แตงกวามีหลากหลายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่นิยมปลูกและมีความต้องการในตลาดสูง ได้แก่:

🥇 1. แตงกวาพันธุ์จัมโบ้ (พันธุ์ลูกยาว)

  • ผลขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 20 - 30 ซม.

  • เนื้อแน่น รสชาติกรอบหวานเล็กน้อย

  • นิยมรับประทานสด หรือใช้ในการทำอาหาร เช่น สลัด และแกง

🥈 2. แตงกวาพันธุ์จีน (แตงกวาผิวเรียบ)

  • ผลเรียวยาว เปลือกสีเขียวเข้ม

  • เนื้อหวาน กรอบ

  • นิยมรับประทานสด หรือแปรรูปดองเกลือ

🥉 3. แตงกวาพันธุ์พื้นบ้าน (แตงกวาไทย)

  • ผลขนาดเล็กกว่า เปลือกสีเขียวอ่อน

  • รสชาติหวานอมเปรี้ยว กรอบ

  • นิยมใช้ทำแกงส้ม หรือกินสดจิ้มน้ำพริก

🌟 4. แตงร้าน

  • ผลยาว 30 - 40 ซม. เปลือกหนา สีเขียวเข้ม

  • เนื้อแน่น กรอบ หวานเล็กน้อย

  • นิยมทำเป็นเครื่องเคียงและดอง

2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • ระยะเวลาเพาะเมล็ด → ออกดอก: ประมาณ 30 - 35 วัน

  • ระยะเวลาออกดอก → เก็บเกี่ยว: ประมาณ 10 - 15 วัน

  • รวมระยะเวลาตั้งแต่ปลูกถึงเก็บเกี่ยว: ประมาณ 40 - 50 วัน

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

✅ ปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงที่เหมาะสมที่สุด:

  • ฤดูหนาว → ปลูกช่วง พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ (อากาศเย็นช่วยให้ผลกรอบและหวาน)

  • ฤดูฝน → ปลูกช่วง พฤษภาคม - กรกฎาคม (แต่ต้องมีการป้องกันน้ำขังและโรครา)

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง
✅ ค่า pH ที่เหมาะสม: 5.5 - 6.8
✅ ดินควรมีธาตุอาหารหลักครบถ้วน เช่น ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P) และ โพแทสเซียม (K)

5. เทคนิคการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดิน

✅ ไถพรวนดินลึกประมาณ 20 - 30 ซม.
✅ ตากดินไว้ 7 - 10 วัน เพื่อกำจัดเชื้อโรค
✅ ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 2 ตัน/ไร่

🌱 การปลูก

✅ หยอดเมล็ดลงหลุม 2 - 3 เมล็ด/หลุม
✅ ระยะปลูก → ระหว่างต้น 50 ซม. และ ระหว่างแถว 1 เมตร
✅ เมื่อแตงกวาโตประมาณ 15 ซม. ให้ถอนต้นที่อ่อนแอออก เหลือต้นแข็งแรงไว้หลุมละ 1 ต้น

🌱 การบำรุงรักษา

✅ การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ในช่วงเช้าหรือเย็น

  • งดให้น้ำช่วงติดผล เพื่อป้องกันผลแตก

✅ การใส่ปุ๋ย (ไม่ใช้สารเคมี)

  • หลังปลูก 7 - 10 วัน → ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก

  • หลังออกดอก → ใส่ปุ๋ยมูลไก่หรือขี้วัว 1 ครั้ง/สัปดาห์

✅ การป้องกันแมลงและโรค (ไม่ใช้สารเคมี)

  • เพลี้ยอ่อน → ใช้น้ำสกัดจาก สะเดา หรือ น้ำส้มควันไม้

  • หนอนเจาะต้น → ใช้ น้ำสกัดข่า หรือ น้ำสกัดใบยูคาลิปตัส

  • โรคราน้ำค้าง → ฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพ หรือใช้ ไตรโคเดอร์มา

6. ช่วงออกดอก

✅ แตงกวาจะเริ่มออกดอกหลังปลูกประมาณ 30 - 35 วัน
✅ ออกดอกมากในช่วง พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์

7. วิธีเร่งให้เก็บผลก่อนฤดูจำหน่าย

✅ ตัดแต่งยอด → เมื่อต้นแตงกวามีใบประมาณ 8 - 10 ใบ ให้เด็ดยอดออก
✅ เสริมธาตุอาหาร → ใช้ปุ๋ยมูลไก่ หรือปุ๋ยหมักอินทรีย์ เพื่อกระตุ้นการติดผลเร็ว
✅ ลดน้ำ → หลังเริ่มติดผลแล้ว ควรลดการให้น้ำเพื่อให้ผลเติบโตเร็วขึ้น

8. ประเทศที่ไทยส่งออกแตงกวา (เรียงตามปริมาณส่งออก)

  1. จีน 🇨🇳 → ต้องการแตงกวาสดจำนวนมาก

  2. ญี่ปุ่น 🇯🇵 → นิยมแตงกวาผิวเรียบสำหรับทำซูชิ

  3. เกาหลีใต้ 🇰🇷 → นิยมแตงกวาขนาดเล็กสำหรับทำกิมจิ

  4. เวียดนาม 🇻🇳 → นิยมแตงกวาสำหรับดอง

  5. มาเลเซีย 🇲🇾 → นิยมแตงกวาผลยาวสำหรับทำสลัด

✅ สรุปจุดเด่นในการปลูกแตงกวา

✅ ปลูกง่าย โตเร็ว เก็บเกี่ยวได้ใน 40 - 50 วัน
✅ นิยมในตลาดทั้งในและต่างประเทศ
✅ ใช้วิธีชีวภาพในการป้องกันโรคและแมลงได้ดี
✅ มีตลาดส่งออกหลัก เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

ผักเคล

21.) ผักเคล รวม 25 คลิป 

🥬 ข้อมูลการปลูกผักเคลในไทย

ผักเคล (Kale) เป็นผักใบเขียวที่มีชื่อเสียงในกลุ่มผักสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ นิยมรับประทานสด ทำสลัด สมูทตี้ หรือปรุงอาหารต่าง ๆ ในตลาดโลกมีความต้องการสูงมาก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศแถบยุโรปและเอเชีย

1. พันธุ์ผักเคลที่มีชื่อเสียงในไทย

ปัจจุบันผักเคลที่นิยมปลูกในไทยมีประมาณ 5 พันธุ์หลัก ซึ่งแต่ละพันธุ์มีลักษณะและรสชาติแตกต่างกัน ดังนี้:

🥇 1. เคลใบหยิกเขียว (Curly Kale) – นิยมที่สุด

  • ใบหยิกสีเขียวเข้ม

  • รสชาติขมนิด ๆ กลมกล่อม

  • เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกในไทยและตลาดต่างประเทศ

🥈 2. เคลใบหยิกแดง (Red Russian Kale)

  • ใบหยิกสีแดง-ม่วง

  • รสชาติหวานกว่าพันธุ์สีเขียว

  • นิยมในตลาดยุโรปและอเมริกา

🥉 3. เคลใบแบน (Lacinato Kale หรือ Dinosaur Kale)

  • ใบสีเขียวเข้ม ทรงยาวและเรียบ

  • รสชาติหวาน กรอบเล็กน้อย

  • นิยมรับประทานสด หรือผัด

🌟 4. เคลเบบี้ (Baby Kale)

  • ใบอ่อนขนาดเล็ก สีเขียวอ่อน

  • รสหวานอ่อน ๆ กรอบ

  • นิยมใช้ทำสลัดและสมูทตี้

🌟 5. เคลไดโนเสาร์ (Tuscan Kale)

  • ใบยาว ผิวขรุขระ สีเขียวเข้ม

  • รสหวาน กลิ่นหอม

  • นิยมใช้ในซุปหรือผัด

2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • ระยะเวลาการปลูก → เก็บเกี่ยว: ประมาณ 50 - 70 วัน หลังเพาะเมล็ด

  • เริ่มตัดใบได้ครั้งแรก: หลังปลูกประมาณ 45 วัน

  • การเก็บเกี่ยว: เก็บใบที่เจริญเต็มที่ออกไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องถอนต้น

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

✅ ฤดูหนาว → เหมาะสมที่สุด (อุณหภูมิ 15 - 25°C)
✅ ช่วงเวลาที่ดีที่สุด:

  • ตุลาคม - กุมภาพันธ์ → ใบจะกรอบ รสหวาน
    ✅ สามารถปลูกได้ตลอดปีในพื้นที่ที่มีการควบคุมอุณหภูมิและน้ำ

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี
✅ มีอินทรียวัตถุสูง
✅ ค่า pH ที่เหมาะสม: 6.0 - 7.5
✅ ดินควรมีธาตุอาหารครบถ้วน เช่น

  • ไนโตรเจน (N) → ส่งเสริมการเติบโตของใบ

  • ฟอสฟอรัส (P) → ส่งเสริมระบบราก

  • โพแทสเซียม (K) → ทำให้ใบแข็งแรงและต้านทานโรค

5. เทคนิคการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดิน

✅ ไถพรวนดินลึกประมาณ 20 - 30 ซม.
✅ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 2 ตัน/ไร่
✅ ตากดิน 7 วันเพื่อกำจัดเชื้อโรค

🌱 การปลูก

✅ หว่านเมล็ด ลงในถาดเพาะ หรือหลุมปลูกโดยตรง
✅ ระยะห่างระหว่างต้น 30 ซม.
✅ ระยะห่างระหว่างแถว 50 ซม.
✅ เมื่อต้นกล้าสูงประมาณ 10 - 15 ซม. ให้ย้ายปลูกลงแปลง

🌱 การบำรุงรักษา

✅ การให้น้ำ

  • ให้น้ำวันละ 1 - 2 ครั้ง (เช้าและเย็น)

  • รักษาความชื้นในดินให้เหมาะสม

✅ การใส่ปุ๋ยอินทรีย์

  • หลังปลูก 10 วัน → ใส่ปุ๋ยหมัก (ขี้วัว ขี้ไก่)

  • ทุก 15 วัน → ใส่ปุ๋ยมูลไก่ หรือปุ๋ยอินทรีย์ที่มีไนโตรเจนสูง

✅ การป้องกันแมลงและโรค (ไม่ใช้สารเคมี)

  • เพลี้ยไฟ → ใช้น้ำสกัดจาก สะเดา หรือ ข่า ฉีดพ่น

  • หนอนผีเสื้อ → ใช้ บีที (Bacillus thuringiensis) ฉีดพ่น

  • โรคราน้ำค้าง → ใช้ ไตรโคเดอร์มา หรือ น้ำส้มควันไม้ ฉีดพ่น

6. ช่วงออกดอก

✅ ผักเคลออกดอกในช่วงอากาศเย็น (พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์)
✅ หากผักเคลออกดอก ควรเก็บใบก่อนออกดอก เพราะถ้าออกดอกจะทำให้ใบมีรสขม

7. วิธีเร่งให้เก็บผลก่อนฤดูจำหน่าย

✅ ตัดแต่งใบ → ตัดใบล่างออกเพื่อกระตุ้นการแตกยอดใหม่
✅ เพิ่มไนโตรเจน → ใส่ปุ๋ยมูลไก่ หรือปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ
✅ ควบคุมแสงแดด → ใช้ตาข่ายพรางแสง 30% ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของใบ

8. ประเทศที่ไทยส่งออกผักเคล (เรียงตามปริมาณส่งออก)

  1. ญี่ปุ่น 🇯🇵 → นิยมผักเคลสดสำหรับทำสลัดและซุป

  2. เกาหลีใต้ 🇰🇷 → นิยมเคลใบหยิกสำหรับทำสลัด

  3. จีน 🇨🇳 → นิยมเคลใบเขียวและใบแดง

  4. สหรัฐอเมริกา 🇺🇸 → นิยมใช้เคลในสมูทตี้และสลัด

  5. สิงคโปร์ 🇸🇬 → นิยมเคลเบบี้ในร้านอาหารสุขภาพ

✅ สรุปจุดเด่นของการปลูกผักเคล

✅ ปลูกง่าย โตเร็ว เก็บเกี่ยวได้เรื่อย ๆ
✅ ตลาดมีความต้องการสูง โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารสุขภาพ
✅ ปลูกแบบปลอดสารเคมีได้ง่าย
✅ มีศักยภาพสูงในการส่งออก

หน่อไม้ฝรั่ง

22.) หน่อไม้ฝรั่ง รวม 40 คลิป 

ข้อมูลเกี่ยวกับ หน่อไม้ฝรั่งในไทย มีดังนี้:

🌱 1. พันธุ์หน่อไม้ฝรั่งที่นิยมในไทย

หน่อไม้ฝรั่งในไทยที่ได้รับความนิยม มี 3 ประเภทหลัก เรียงตามความนิยมในตลาดดังนี้:

🥇 1. หน่อไม้ฝรั่งพันธุ์เขียว (Green Asparagus)

  • นิยมมากที่สุด ในตลาดไทยและต่างประเทศ

  • เนื้อแน่น รสชาติดี หวาน กรอบ

  • เหมาะกับการผัดและต้ม

🥈 2. หน่อไม้ฝรั่งพันธุ์ขาว (White Asparagus)

  • ได้รับความนิยมในตลาดส่งออก (เช่น ญี่ปุ่น และยุโรป)

  • หน่อขาวเพราะปลูกในที่มืดหรือดินลึก ป้องกันการสังเคราะห์แสง

  • รสชาติอ่อนนุ่ม หวาน เนื้อแน่น

🥉 3. หน่อไม้ฝรั่งพันธุ์ม่วง (Purple Asparagus)

  • นิยมในตลาดพรีเมียมและร้านอาหารระดับสูง

  • รสชาติหวานกว่าแบบเขียวและขาว มีสารแอนโทไซยานิน (สารต้านอนุมูลอิสระ) สูง

🌸 2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • เริ่มเก็บเกี่ยวได้ในช่วงอายุประมาณ 8–12 เดือน หลังปลูก

  • หากดูแลดี สามารถเก็บเกี่ยวได้ ต่อเนื่องนานถึง 8–10 ปี

  • ช่วงเก็บเกี่ยวในปีแรกอาจให้ผลผลิตน้อย หลังจากปีที่สองผลผลิตจะเพิ่มขึ้น

📅 3. ช่วงเวลาที่เหมาะกับการปลูก

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสม:

  • เดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ (อากาศเย็น) เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุด

  • สามารถปลูกได้ทั้งปี หากมีระบบให้น้ำและควบคุมอุณหภูมิได้ดี

🌍 4. คุณภาพดินและค่า pH

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง

  • ระดับน้ำใต้ดินไม่ควรสูงเกินไป (ป้องกันรากเน่า)
    ✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • 6.5 – 7.5 (ดินมีสภาพเป็นกลางถึงเป็นกรดอ่อน)

🌾 5. เทคนิคการปลูกและบำรุงรักษา

✅ การเตรียมดิน

  • ไถพรวนดินลึกประมาณ 30–40 ซม.

  • ผสมปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอก อัตรา 1 ตัน/ไร่

  • ยกร่องสูงประมาณ 20–30 ซม. เพื่อป้องกันน้ำขัง

✅ การปลูก

  • ใช้เมล็ดหรือหน่อที่สมบูรณ์

  • ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 30 ซม. และระยะห่างแถวประมาณ 60 ซม.

  • รดน้ำทันทีหลังปลูกและคลุมดินด้วยฟางข้าว

✅ การบำรุงรักษา

  • รดน้ำวันเว้นวันในช่วงแรก หลังจากหน่องอกสูง 10–15 ซม. ให้ลดการให้น้ำ

  • ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเดือนละ 1 ครั้ง

  • ปุ๋ยชีวภาพที่เหมาะสม

    • ปุ๋ยหมักจากขี้วัว ขี้ไก่ ขี้หมู

    • ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ (EM) จากผักผลไม้

✅ การกำจัดแมลงและเชื้อรา (แบบปลอดสารเคมี)

  • แมลงศัตรูที่พบได้บ่อย:

    • หนอนกระทู้ → ใช้ น้ำส้มควันไม้ หรือ บาซิลลัส ทูริงเยนซิส (BT)

    • เพลี้ยไฟ → ใช้น้ำหมักสมุนไพร (เช่น ข่า ตะไคร้)

  • เชื้อรา → ใช้ ไตรโคเดอร์มา โรยรอบโคนต้น

🌼 6. ช่วงออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • เริ่มเก็บเกี่ยวได้ในเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม

  • หน่อแรกที่ขึ้นควรตัดทิ้ง เพื่อกระตุ้นการแตกหน่อใหม่

  • เก็บเกี่ยววันเว้นวันในช่วงที่หน่อไม้ฝรั่งโตเร็ว

🚀 7. วิธีเร่งเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่าย

✅ เทคนิคเร่งการเจริญเติบโต

  • ปรับอุณหภูมิแปลงปลูกให้อุ่นขึ้นในช่วงปลายฤดูหนาว

  • ใช้พลาสติกคลุมดินเพื่อรักษาความชื้นและความร้อน

  • เพิ่มปุ๋ยอินทรีย์และฮอร์โมนชีวภาพในช่วงเริ่มแทงหน่อ

🌍 8. ประเทศคู่ค้าหลักในการส่งออก

หน่อไม้ฝรั่งไทยมีตลาดส่งออกหลัก ดังนี้:

อันดับประเทศสัดส่วนการส่งออก (%)หมายเหตุ

🥇 1ญี่ปุ่น 🇯🇵45%ต้องการหน่อขนาดเล็กและกรอบ

🥈 2เกาหลีใต้ 🇰🇷20%ชอบหน่อเขียว รสหวาน

🥉 3จีน 🇨🇳15%ตลาดใหญ่ ต้องการผลผลิตจำนวนมาก

4สหรัฐอเมริกา 🇺🇸10%ต้องการหน่อใหญ่ ขายระดับพรีเมียม

5ยุโรป (เยอรมนี, ฝรั่งเศส) 🇪🇺5%นิยมหน่อสีขาวและม่วง

✅ สรุปจุดสำคัญ

✅ พันธุ์ที่นิยม: หน่อไม้ฝรั่งเขียว → ขาว → ม่วง
✅ อายุต้น: 8–12 เดือน เริ่มเก็บเกี่ยว
✅ ปลูกได้ตลอดปี แต่เหมาะสุดช่วง ต.ค.–ก.พ.
✅ ค่า pH เหมาะสม: 6.5–7.5
✅ เทคนิค: รดน้ำวันเว้นวัน ใส่ปุ๋ยชีวภาพ คลุมดิน
✅ แมลงศัตรู: หนอนกระทู้ เพลี้ยไฟ → ใช้น้ำส้มควันไม้และสารชีวภาพ
✅ ตลาดส่งออกหลัก: ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน

คะน้า

23.) คะน้า รวม 29 คลิป 

🥬 1. พันธุ์คะน้าที่มีชื่อเสียงในไทย

คะน้าที่นิยมปลูกและบริโภคในไทย มี 4 พันธุ์หลัก เรียงตามความนิยมในตลาด ดังนี้:

🥇 1. คะน้ายอด หรือ คะน้าใบ

  • นิยมที่สุดในตลาดไทยและตลาดต่างประเทศ

  • ให้ยอดและใบอ่อนที่กรอบ หวาน รสชาติดี

  • เหมาะสำหรับผัด ต้ม ลวก

🥈 2. คะน้าฮ่องกง

  • ลำต้นอวบ ใบใหญ่ กรอบหวาน

  • ปลูกง่าย โตเร็ว ต้นเตี้ย ต้นแข็งแรง

  • นิยมบริโภคทั้งต้นและใบ

🥉 3. คะน้าเห็ดหอม

  • พันธุ์พิเศษจากจีน ลำต้นอวบ กรอบ ใบหนา

  • รสชาติหวาน มีเนื้อสัมผัสแน่น

  • เหมาะกับการผัดและต้ม

🏅 4. คะน้าฝรั่ง (Broccoli Kale)

  • มีลักษณะคล้ายคะน้าฮ่องกง แต่ลำต้นเล็กกว่า

  • นิยมบริโภคในตลาดพรีเมียมและส่งออก

🌸 2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • คะน้าเป็นพืชที่เก็บเกี่ยวได้เร็ว ภายใน 30–45 วัน หลังปลูก

  • ช่วงอายุของคะน้าแต่ละพันธุ์:

    • คะน้ายอด → เก็บเกี่ยวได้ใน 30 วัน

    • คะน้าฮ่องกง → เก็บเกี่ยวได้ใน 35–40 วัน

    • คะน้าเห็ดหอม → เก็บเกี่ยวได้ใน 35–45 วัน

    • คะน้าฝรั่ง → เก็บเกี่ยวได้ใน 40–50 วัน

  • เก็บเกี่ยวในช่วงเช้า หน่อและใบจะสดและกรอบมากที่สุด

📅 3. ช่วงเวลาที่เหมาะกับการปลูก

✅ ปลูกได้ตลอดปี แต่จะเติบโตได้ดีที่สุดในช่วง:

  • เดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์ → อากาศเย็น คะน้าจะกรอบและหวานมากขึ้น

  • ควรหลีกเลี่ยงการปลูกในฤดูฝน (มิถุนายน – สิงหาคม) เนื่องจากความชื้นสูงทำให้เกิดโรคได้ง่าย

🌍 4. คุณภาพดินและค่า pH

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียว

  • ดินต้องระบายน้ำดี มีความอุดมสมบูรณ์สูง
    ✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • 6.0 – 7.5 (ดินเป็นกรดอ่อนถึงเป็นกลาง)
    ✅ ปุ๋ยรองพื้นแนะนำ:

  • ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก (ขี้วัว ขี้ไก่ ขี้หมู)

  • ปุ๋ยหมักอินทรีย์ (เช่น ปุ๋ยใบไม้หมัก)

🌾 5. เทคนิคการปลูกและบำรุงรักษา

✅ การเตรียมดิน

  • ไถพรวนดินลึกประมาณ 20–30 ซม.

  • ผสมปุ๋ยคอก อัตรา 1 ตัน/ไร่

  • ยกร่องปลูกให้มีระยะห่างระหว่างร่องประมาณ 30 ซม.

✅ การปลูก

  • หยอดเมล็ดลึกประมาณ 1 ซม.

  • ระยะห่างระหว่างต้น 20 ซม. และระยะห่างระหว่างแถว 30 ซม.

  • รดน้ำทันทีหลังปลูก

✅ การให้น้ำ

  • รดน้ำเช้า-เย็น ในช่วง 7 วันแรก หลังปลูก

  • หลังต้นตั้งตัวดี ให้ลดการรดน้ำเหลือวันละครั้ง

✅ การบำรุงรักษา

  • ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักทุก 10 วัน

  • พ่นน้ำหมักชีวภาพ (เช่น น้ำหมักจากขี้วัว + จุลินทรีย์ EM)

  • คลุมดินด้วยฟางข้าวหรือหญ้าแห้งเพื่อรักษาความชื้น

✅ การป้องกันแมลงและเชื้อรา (แบบปลอดสารเคมี)

  • หนอนใยผัก → ใช้ บาซิลลัส ทูริงเยนซิส (BT) หรือพ่นน้ำสกัดจากสะเดา

  • เพลี้ยไฟและแมลงหวี่ขาว → ใช้น้ำหมักสมุนไพรจาก ตะไคร้ ขิง ข่า

  • โรคใบจุดและรากเน่า → ใช้ ไตรโคเดอร์มา ผสมกับปุ๋ยหมัก

🌼 6. ช่วงออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • คะน้ามักออกดอกในช่วง อากาศเย็นจัด (ธันวาคม – กุมภาพันธ์)

  • ควรเก็บเกี่ยวก่อนที่ต้นจะเริ่มแทงดอก → ใบจะเหนียวและรสชาติเปลี่ยนไป

🚀 7. วิธีเร่งเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่าย

✅ เทคนิคเร่งการเจริญเติบโต:

  • ปรับอุณหภูมิแปลงปลูกให้ต่ำลงในช่วงอากาศร้อน (โดยใช้สแลนบังแสง 50–60%)

  • ใช้ฮอร์โมนชีวภาพจากจุลินทรีย์หรือปุ๋ยน้ำหมัก

  • เพิ่มการให้น้ำในช่วงเช้าและเย็นในช่วงใกล้เก็บเกี่ยว

🌍 8. ประเทศคู่ค้าหลักในการส่งออก

คะน้าไทยมีตลาดส่งออกหลัก ดังนี้:

อันดับประเทศสัดส่วนการส่งออก (%)หมายเหตุ

🥇 1จีน 🇨🇳40%นิยมคะน้าฮ่องกงและคะน้าใบ

🥈 2ญี่ปุ่น 🇯🇵25%นิยมคะน้าฮ่องกงและคะน้าเห็ดหอม

🥉 3เกาหลีใต้ 🇰🇷15%นิยมคะน้ายอด

4สหรัฐอเมริกา 🇺🇸10%ตลาดพรีเมียม

5ยุโรป (เยอรมนี, ฝรั่งเศส) 🇪🇺5%นิยมคะน้าฝรั่งและคะน้าใบ

✅ สรุปจุดสำคัญ

✅ พันธุ์ที่นิยม: คะน้ายอด → คะน้าฮ่องกง → คะน้าเห็ดหอม → คะน้าฝรั่ง
✅ อายุการเก็บเกี่ยว: 30–45 วัน
✅ ปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วง ต.ค.–ก.พ. จะดีที่สุด
✅ ค่า pH เหมาะสม: 6.0–7.5
✅ เทคนิค: รดน้ำสม่ำเสมอ พ่นน้ำหมักชีวภาพ คลุมดิน
✅ ศัตรูพืช: หนอนใยผัก เพลี้ยไฟ → ใช้ BT และสมุนไพร
✅ ตลาดส่งออกหลัก: จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้

ผักกาดหอม

24.) ผักกาดหอม รวม 10 คลิป 

🌱 ข้อมูลการปลูกและดูแลผักกาดหอมในไทย

1. พันธุ์ผักกาดหอมในไทยที่มีชื่อเสียงและนิยมในตลาด

ผักกาดหอมในไทยมีหลายสายพันธุ์ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลักตามลักษณะของใบและการเติบโต ดังนี้:

พันธุ์ประเภทลักษณะเด่นความนิยมในตลาด

ผักกาดหอมใบ (Leaf Lettuce)ผักกาดหอมใบเขียว, ผักกาดหอมใบแดงใบหยิก มีสีเขียวหรือแดง กรอบ รสชาติหวาน🥇 สูงมาก

ผักกาดหอมต้น (Romaine Lettuce)ผักกาดคอสใบยาว ต้นตั้งตรง กรอบ หวาน มัน🥈 สูง

ผักกาดหอมห่อ (Butterhead Lettuce)ผักกาดบัตเตอร์เฮดใบอ่อนนุ่ม กลิ่นหอม รสชาติหวาน🥉 ปานกลาง

🌟 ความนิยมสูงสุด คือ ผักกาดหอมใบเขียว เพราะปลูกง่าย เติบโตเร็ว และเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ

2. อายุของการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

  • อายุการเก็บเกี่ยว

    • ผักกาดหอมใบ → 30–45 วัน หลังปลูก

    • ผักกาดคอส → 40–50 วัน หลังปลูก

    • ผักกาดบัตเตอร์เฮด → 35–45 วัน หลังปลูก

  • ระยะออกดอก

    • ถ้าปล่อยให้โตเต็มที่ ผักกาดหอมจะเริ่มออกดอกในช่วง 60–80 วัน หลังปลูก

    • หากต้องการขายเป็นผักสด ควรเก็บเกี่ยวก่อนออกดอก

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

✅ ช่วงที่เหมาะสมที่สุด:

  • ฤดูหนาว → ระหว่าง เดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์

  • อุณหภูมิที่เหมาะสม → 15–25°C

  • ถ้าปลูกช่วงฤดูร้อน ควรปลูกในพื้นที่ร่มหรือใช้ตาข่ายพรางแสง

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ สภาพดินที่เหมาะสม

  • ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี

  • อุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม

  • ค่า pH ที่เหมาะสม → 6.0–7.0

5. เทคนิคการปลูกและบำรุงรักษา (แบบอินทรีย์)

🌱 การปลูก

  • เตรียมดินด้วยการพรวนดินและผสมปุ๋ยคอก

  • หว่านเมล็ดหรือเพาะต้นกล้าในถาดเพาะก่อนย้ายปลูก

  • เว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 20–25 ซม.

💦 การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น (ช่วงเช้าเป็นเวลาที่ดีที่สุด)

  • หลีกเลี่ยงการรดน้ำช่วงเย็นเกินไป เพื่อป้องกันเชื้อรา

🌿 การใส่ปุ๋ย (แบบไม่ใช้สารเคมี)

  • ปุ๋ยอินทรีย์ → ปุ๋ยมูลไก่ ปุ๋ยมูลวัว หรือปุ๋ยหมัก

  • ใส่ปุ๋ยทุก 7–10 วัน เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต

🦗 การจัดการแมลงศัตรูพืชและเชื้อรา

✅ แมลงศัตรูพืชที่พบบ่อย

  • หนอนกระทู้ผัก → ใช้สารสะเดาหรือบีที (Bacillus thuringiensis)

  • เพลี้ยอ่อน → ใช้น้ำสกัดพืชสมุนไพร (เช่น ตะไคร้ หรือใบยาสูบ)

  • แมลงหวี่ขาว → ใช้น้ำมันสะเดาหรือดักจับด้วยกับดักสีเหลือง

✅ เชื้อราที่พบบ่อย

  • โรคราน้ำค้าง → ฉีดพ่นน้ำสกัดจากขิงหรือกระเทียม

  • โรคใบจุด → ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาเพื่อป้องกัน

6. ช่วงออกดอกของผักกาดหอม

  • ผักกาดหอมจะเริ่มออกดอกเมื่ออุณหภูมิสูงหรือปลูกไว้นานเกินไป → 60–80 วัน หลังปลูก

  • เพื่อป้องกันการออกดอกก่อนเวลา → ควบคุมอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 25°C และเก็บเกี่ยวก่อนออกดอก

7. วิธีเร่งเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เทคนิคเร่งการเจริญเติบโต

  • ปลูกในโรงเรือนหรือใช้พลาสติกคลุมเพื่อควบคุมอุณหภูมิ

  • ใช้ปุ๋ยอินทรีย์สูตรเร่งใบ เช่น น้ำหมักจากปลา หรือน้ำหมักจุลินทรีย์ (EM)

  • รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ และคลุมดินด้วยฟางเพื่อรักษาความชื้น

8. ประเทศที่ไทยส่งออกผักกาดหอม (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

ประเทศปริมาณการส่งออก (ตัน/ปี)

ญี่ปุ่นประมาณ 1,500 ตัน/ปี

จีนประมาณ 1,000 ตัน/ปี

เกาหลีใต้ประมาณ 800 ตัน/ปี

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประมาณ 600 ตัน/ปี

ฮ่องกงประมาณ 500 ตัน/ปี

🚀 ตลาดหลักของผักกาดหอมไทยคือ ญี่ปุ่นและจีน เนื่องจากผักกาดหอมไทยมีรสชาติหวาน กรอบ และคุณภาพสูง

✅ สรุป
👉 พันธุ์ยอดนิยม → ผักกาดหอมใบเขียว
👉 ระยะเก็บเกี่ยวเร็ว → 30–45 วัน
👉 ช่วงปลูกที่ดีที่สุด → ตุลาคม – กุมภาพันธ์
👉 เทคนิคสำคัญ → ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ + รดน้ำสม่ำเสมอ + ควบคุมศัตรูพืชด้วยวิธีธรรมชาติ
👉 ตลาดหลัก → ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลีใต้

ผักสลัด

25.) ผักสลัด รวม 20 คลิป 

🌿 ข้อมูลการปลูกและดูแลผักสลัดในไทย

1. พันธุ์ผักสลัดในไทยที่มีชื่อเสียงและนิยมในตลาด

ผักสลัดในไทยมีหลายสายพันธุ์ สามารถแบ่งได้ตามลักษณะของใบและการเติบโต ดังนี้:

พันธุ์ประเภทลักษณะเด่นความนิยมในตลาด

เรดโอ๊ค (Red Oak)ผักสลัดใบแดงใบสีแดงเข้ม รูปทรงคล้ายต้นโอ๊ก นุ่ม รสหวาน🥇 สูงสุด

กรีนโอ๊ค (Green Oak)ผักสลัดใบเขียวใบสีเขียวสด รูปทรงคล้ายต้นโอ๊ก กรอบ หวาน🥈 สูง

บัตเตอร์เฮด (Butterhead)ผักสลัดหัวใบสีเขียวอ่อน นุ่ม รสชาติหวาน กลิ่นหอม🥉 ปานกลาง

คอส (Cos) หรือ โรมัน (Romaine)ผักสลัดต้นใบยาว สีเขียวสด กรอบ รสชาติมัน🏅 นิยมใช้ในซีซาร์สลัด

ฟิลเลย์ไอซ์เบิร์ก (Iceberg)ผักสลัดหัวใบกรอบ แข็ง สีเขียวอ่อน รสหวาน🏅 นิยมในอาหารฟาสต์ฟู้ด

🌟 เรดโอ๊ค และ กรีนโอ๊ค เป็นพันธุ์ที่นิยมสูงสุดในตลาดไทยและต่างประเทศ เพราะเติบโตเร็ว รสชาติหวาน และรูปลักษณ์สวยงาม

2. อายุของการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

✅ อายุเก็บเกี่ยว

  • เรดโอ๊ค / กรีนโอ๊ค → 30–40 วัน หลังปลูก

  • บัตเตอร์เฮด → 35–45 วัน หลังปลูก

  • คอส (โรมัน) → 40–50 วัน หลังปลูก

  • ไอซ์เบิร์ก → 45–60 วัน หลังปลูก

✅ ระยะออกดอก

  • หากปล่อยให้โตเต็มที่ → เริ่มออกดอกในช่วง 60–80 วัน หลังปลูก

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

✅ ช่วงที่เหมาะสมที่สุด:

  • ฤดูหนาว → ระหว่าง เดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์

  • อุณหภูมิที่เหมาะสม → 15–25°C

✅ ปลูกในฤดูร้อน:

  • ควรปลูกในโรงเรือนที่มีการพรางแสง 30–50%

  • ควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนไม่ให้เกิน 28°C

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ สภาพดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี

  • อุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • pH 5.5–6.5 (ค่ากรดอ่อน ๆ)

5. เทคนิคการปลูกและบำรุงรักษา (แบบอินทรีย์)

🌱 การเตรียมดิน

  • พรวนดินให้ร่วนซุย ลึกประมาณ 15–20 ซม.

  • ผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกในอัตรา 1:1 กับดิน

🌿 การปลูก

  • ปลูกลงดิน → เว้นระยะห่างระหว่างต้น 20–30 ซม.

  • ปลูกในถาดเพาะ → ใช้ถาดเพาะกล้า แล้วย้ายปลูกหลังมีใบจริงประมาณ 4–6 ใบ

💦 การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น)

  • หลีกเลี่ยงการรดน้ำตอนแดดจัดเพราะอาจทำให้ใบไหม้

🌾 การใส่ปุ๋ย (แบบอินทรีย์)

  • ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยมูลไก่ทุก 7–10 วัน

  • เสริมด้วยน้ำหมักชีวภาพจากปลาเพื่อเร่งการเจริญเติบโต

🦗 การจัดการแมลงศัตรูพืชและเชื้อรา

✅ ศัตรูพืชที่พบบ่อย:

  • หนอนใยผัก → ใช้บีที (Bacillus thuringiensis) หรือสะเดา

  • เพลี้ยอ่อน → ใช้น้ำสกัดสมุนไพร เช่น น้ำหมักจากใบยาสูบ

  • แมลงหวี่ขาว → ใช้กับดักสีเหลือง

✅ เชื้อราที่พบบ่อย:

  • โรคราน้ำค้าง → ฉีดพ่นน้ำสกัดจากข่าและกระเทียม

  • โรคใบจุด → ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา

6. ช่วงออกดอกของผักสลัด

  • ผักสลัดจะเริ่มออกดอกเมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 25°C หรือปลูกไว้นานเกิน 60–80 วัน

  • ควรเก็บเกี่ยวก่อนออกดอก เพื่อให้รสชาติหวานและกรอบ

7. วิธีเร่งเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เทคนิคเร่งการเจริญเติบโต:

  • ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดเร่งใบ เช่น น้ำหมักจากปลา

  • ควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนไม่ให้เกิน 25°C

  • ใช้พลาสติกคลุมดินเพื่อรักษาความชื้นและป้องกันศัตรูพืช

8. ประเทศที่ไทยส่งออกผักสลัด (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

ประเทศปริมาณการส่งออก (ตัน/ปี)

ญี่ปุ่นประมาณ 3,000 ตัน/ปี

จีนประมาณ 2,500 ตัน/ปี

เกาหลีใต้ประมาณ 2,000 ตัน/ปี

ฮ่องกงประมาณ 1,500 ตัน/ปี

สิงคโปร์ประมาณ 1,000 ตัน/ปี

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประมาณ 800 ตัน/ปี

🚀 ญี่ปุ่น เป็นตลาดหลักของผักสลัดจากไทย เนื่องจากคุณภาพดี รสชาติหวาน กรอบ และปลอดสารพิษ

✅ สรุป

👉 พันธุ์ยอดนิยม: เรดโอ๊ค, กรีนโอ๊ค
👉 ระยะเก็บเกี่ยว: 30–45 วัน
👉 ช่วงปลูกที่ดีที่สุด: ตุลาคม – กุมภาพันธ์
👉 ค่า pH: 5.5–6.5
👉 เทคนิคสำคัญ: ควบคุมอุณหภูมิ + ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ + กำจัดศัตรูพืชด้วยวิธีธรรมชาติ
👉 ตลาดหลัก: ญี่ปุ่น, จีน, เกาหลีใต้

มันเทศ

26.) มันเทศ รวม 29 คลิป 

ข้อมูลการปลูกมันเทศในไทย

1. พันธุ์มันเทศที่มีชื่อเสียงในไทย เรียงตามความนิยมของตลาดผู้บริโภค

ในไทยมีการปลูกมันเทศหลายสายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่เป็นที่นิยมในตลาด ได้แก่

🔸 มันเทศเนื้อสีม่วง (Purple Sweet Potato) – ได้รับความนิยมสูงทั้งในไทยและตลาดส่งออก เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลี เนื่องจากรสชาติหวาน มีกลิ่นหอม และมีสารแอนโทไซยานินสูง

  • พันธุ์ยอดนิยม เช่น

    • มันเทศม่วงญี่ปุ่น

    • มันเทศม่วงโอกินาวา

    • มันเทศม่วงเบนิฮารุกะ

🔸 มันเทศเนื้อสีส้ม (Orange Sweet Potato) – รสชาติหวาน หอม เนื้อเนียนละเอียด มีวิตามิน A สูง

  • พันธุ์ยอดนิยม เช่น

    • มันเทศเบนิอะซึมะ

    • มันเทศส้มอเมริกัน

🔸 มันเทศเนื้อสีขาว (White Sweet Potato) – รสชาติหวานกำลังดี เนื้อแน่น มีกลิ่นหอม อุดมไปด้วยแป้ง

  • พันธุ์ยอดนิยม เช่น

    • มันเทศญี่ปุ่นขาว

    • มันเทศเนื้อขาวไทย

🔸 มันเทศเนื้อสีเหลือง (Yellow Sweet Potato) – รสชาติหวาน มีกลิ่นหอม เนื้อนุ่ม

  • พันธุ์ยอดนิยม เช่น

    • มันเทศเหลืองทอง

    • มันเทศคินตัน (Kinton)

2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • มันเทศใช้เวลาเติบโตตั้งแต่ ปลูกจนเก็บเกี่ยว ประมาณ 90–150 วัน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพแวดล้อม

  • หลังปลูกไปประมาณ 90 วัน ใบจะเริ่มเขียวเข้มและเถาจะเริ่มเลื้อยไปตามพื้นดิน

  • หลังจากนั้นมันเทศจะสร้างหัวและพร้อมเก็บเกี่ยวในช่วง 120–150 วัน

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูกมันเทศ คือ
    ✅ ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม – มิถุนายน) → อาศัยน้ำฝนและอุณหภูมิอบอุ่น
    ✅ ปลายฤดูฝน (กันยายน – ตุลาคม) → อากาศเย็นและดินมีความชื้นสูง

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดิน:

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียว

  • มีการระบายน้ำดี ไม่แฉะหรือมีน้ำขัง

✅ ค่า pH:

  • ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5.5 – 6.5

✅ สารอาหารในดิน:

  • ต้องมีปริมาณโพแทสเซียม (K) และฟอสฟอรัส (P) สูง

5. เทคนิคการปลูก บำรุง การกำจัดแมลง และเชื้อราโดยไม่ใช้สารเคมี

🌱 วิธีปลูก

✅ ใช้เถาหรือกิ่งพันธุ์ที่สมบูรณ์และแข็งแรง ปลูกในแปลงที่ยกร่องสูง 30–40 ซม.
✅ ระยะปลูก: ระยะห่างระหว่างต้น 30–40 ซม. และระยะระหว่างแถว 60–70 ซม.

💧 การให้น้ำ

✅ ให้น้ำสม่ำเสมอในช่วง 1 เดือนแรก
✅ หลังจากนั้นลดการให้น้ำลง แต่ต้องรักษาความชื้นในดิน

🌾 ปุ๋ยอินทรีย์

✅ ก่อนปลูก: ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองพื้นประมาณ 2 ตัน/ไร่
✅ ระยะเติบโต: ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ (เช่น ปุ๋ยมูลไก่ มูลวัว หรือปุ๋ยหมัก) ทุก 2 สัปดาห์
✅ ระยะสร้างหัว: เพิ่มปุ๋ยโปแตสเซียมเพื่อช่วยให้หัวโต

🐛 การจัดการแมลงและโรค

แมลงศัตรูหลัก:

  • เพลี้ยแป้ง → ใช้น้ำหมักสมุนไพร เช่น น้ำหมักสะเดา หรือสารสกัดพริก

  • หนอนเจาะหัว → ใช้สารสกัดสมุนไพร เช่น น้ำหมักตะไคร้ + ข่า + สะเดา

โรคหลัก:

  • โรครากเน่าและโคนเน่า → หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป

  • โรคใบจุด → พ่นน้ำหมักสมุนไพรจากกระเทียมหรือขิง

6. ช่วงออกดอก

✅ มันเทศจะเริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 90–120 วัน หลังปลูก
✅ ดอกของมันเทศเป็นสีม่วงอ่อน คล้ายดอกผักบุ้ง

7. เทคนิคการทำให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ การใช้ฟางคลุมดิน → ช่วยรักษาความชื้นในดินและกระตุ้นการสร้างหัว
✅ ตัดยอดหลังปลูกประมาณ 45–60 วัน → กระตุ้นให้ต้นแตกเถาใหม่และสร้างหัวเร็วขึ้น
✅ การเสริมปุ๋ยโปแตสเซียมและฟอสฟอรัส → เพิ่มขนาดและรสชาติของหัว

8. ประเทศที่ไทยส่งออกมันเทศ เรียงตามปริมาณการส่งออก

🇯🇵 ญี่ปุ่น → นิยมมันเทศเนื้อสีม่วงและเนื้อสีส้มเป็นหลัก
🇨🇳 จีน → นิยมมันเทศเนื้อสีม่วงและเนื้อสีเหลือง
🇰🇷 เกาหลีใต้ → นิยมมันเทศเนื้อสีม่วงและเนื้อสีขาว
🇹🇼 ไต้หวัน → นิยมมันเทศเนื้อสีม่วงและเนื้อสีขาว
🇺🇸 สหรัฐอเมริกา → นิยมมันเทศเนื้อสีส้มและเนื้อสีม่วง
🇪🇺 ยุโรป (เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส) → นิยมมันเทศเนื้อสีม่วงและเนื้อสีส้ม

✅ สรุป:

  • มันเทศพันธุ์เนื้อม่วงและเนื้อส้มได้รับความนิยมสูงในไทยและตลาดส่งออก

  • การดูแลเน้นดินร่วนระบายน้ำดี ค่า pH ประมาณ 5.5–6.5

  • ใช้ปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักสมุนไพรแทนสารเคมี

  • ตลาดส่งออกหลัก คือ ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้

มันเทศสีม่วงเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารและมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ ดังนี้:

  1. อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ: มันเทศสีม่วงมีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

    pptvhd36.com

  2. ช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผม: สารต้านอนุมูลอิสระในมันเทศสีม่วงช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ และเส้นผมให้แข็งแรง

    health.kapook.com

  3. ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด: สารแอนโทไซยานินในมันเทศสีม่วงมีคุณสมบัติยับยั้งการออกซิเดชันของคอเลสเตอรอลชนิด LDL ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

    health.kapook.com

  4. ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่: ไฟเบอร์สูงในมันเทศช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่

    phyathai.com

  5. ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันและบำรุงสายตา: มันเทศอุดมไปด้วยวิตามินเอและซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและบำรุงสายตา

    pobpad.com

มันฝรั่ง

27.) มันฝรั่ง รวม 27 คลิป 

ข้อมูลการปลูกมันฝรั่งในไทย

1. พันธุ์มันฝรั่งที่มีชื่อเสียงในไทย เรียงตามความนิยมของตลาดผู้บริโภค

ในไทยนิยมปลูกมันฝรั่งหลายสายพันธุ์ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

🍟 1. พันธุ์มันฝรั่งสำหรับทำเฟรนช์ฟรายส์ (Processing Potato)

  • นิยมในโรงงานอุตสาหกรรม

  • เนื้อแน่น มีปริมาณแป้งสูง เหมาะสำหรับทอดและแปรรูป

พันธุ์ยอดนิยม:
✅ พันธุ์แอตแลนติก (Atlantic) → เนื้อแน่น ทอดกรอบ สีสวย
✅ พันธุ์อินโนเวเตอร์ (Innovator) → ทอดกรอบ สีเหลืองทอง รสชาติหวาน

🥔 2. พันธุ์มันฝรั่งสำหรับทำมันบดและสลัด (Table Potato)

  • เหมาะสำหรับต้ม นึ่ง หรือทำมันบด

  • รสชาติหวาน เนื้อละเอียด

พันธุ์ยอดนิยม:
✅ พันธุ์คารา (Kara) → เนื้อนุ่ม สีขาว รสชาติดี
✅ พันธุ์คอนเนค (Connect) → เนื้อนุ่ม สีขาว คงรูปดี

🍲 3. พันธุ์มันฝรั่งสำหรับต้ม อบ และทำแกง (Boiling Potato)

  • เนื้อเนียน ละเอียด ไม่เละง่าย

  • คงรูปดีเมื่อปรุงอาหาร

พันธุ์ยอดนิยม:
✅ พันธุ์เคนเนเบค (Kennebec) → เนื้อแน่น คงรูปดี
✅ พันธุ์ยูคอนโกลด์ (Yukon Gold) → เนื้อนุ่ม หวาน สีเหลือง

⭐ เรียงตามความนิยมของตลาดผู้บริโภคในไทย

  1. พันธุ์แอตแลนติก (Atlantic)

  2. พันธุ์อินโนเวเตอร์ (Innovator)

  3. พันธุ์คารา (Kara)

  4. พันธุ์เคนเนเบค (Kennebec)

  5. พันธุ์ยูคอนโกลด์ (Yukon Gold)

2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • มันฝรั่งมีอายุการเจริญเติบโตตั้งแต่ปลูกจนเก็บเกี่ยวประมาณ 90–120 วัน

  • แบ่งออกเป็น 3 ช่วง:
    ✅ ช่วงแรก (0–30 วัน): งอกและเริ่มเติบโต
    ✅ ช่วงกลาง (30–60 วัน): ใบและลำต้นเจริญเติบโตเต็มที่ เริ่มสร้างหัวใต้ดิน
    ✅ ช่วงสุดท้าย (60–120 วัน): หัวมันฝรั่งเติบโตเต็มที่ ใบเริ่มเหี่ยว เตรียมเก็บเกี่ยว

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

มันฝรั่งเป็นพืชเมืองหนาว ต้องการอุณหภูมิที่เย็นสบาย (15–20°C)
✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูกมันฝรั่งในไทย:

  • ปลายฝนต้นหนาว: (ตุลาคม – ธันวาคม) → อากาศเย็นและมีความชื้นสูง

  • ฤดูหนาว: (มกราคม – กุมภาพันธ์) → อากาศเย็นและแห้ง เหมาะสำหรับสร้างหัว

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดิน:

  • ดินร่วนปนทราย (Sandy Loam) → ระบายน้ำได้ดี

  • มีความอุดมสมบูรณ์สูง

  • ไม่ควรปลูกในพื้นที่ที่มีน้ำขัง

✅ ค่า pH:

  • ควรมีค่า pH อยู่ที่ 5.0 – 6.5

  • หากค่า pH ต่ำกว่า 5.0 ให้ใส่ปูนขาวเพื่อปรับสมดุล

5. เทคนิคการปลูก บำรุง การกำจัดแมลงและโรคโดยไม่ใช้สารเคมี

🌱 การเตรียมดิน

✅ ไถพรวนดินลึก 30–40 ซม. เพื่อให้อากาศถ่ายเทดี
✅ ยกร่องสูง 30–40 ซม. เพื่อป้องกันน้ำขัง
✅ รองพื้นด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก (เช่น มูลวัว มูลไก่)

💧 การให้น้ำ

✅ ให้น้ำวันละ 1–2 ครั้ง ในช่วง 1 เดือนแรก
✅ หลังจากนั้นให้น้ำสัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง

🌾 ปุ๋ยอินทรีย์

✅ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1 ตัน/ไร่
✅ ช่วงสร้างหัว: ใส่ปุ๋ยอินทรีย์สูตรเสริมโพแทสเซียมสูง เช่น ปุ๋ยขี้ค้างคาว หรือปุ๋ยมูลไก่
✅ หลีกเลี่ยงปุ๋ยไนโตรเจนสูง → ทำให้หัวเล็กและรสชาติไม่ดี

🐛 การจัดการแมลงและโรค

แมลงศัตรูหลัก:

  • ด้วงมันฝรั่ง → ใช้น้ำหมักสะเดาฉีดพ่น

  • เพลี้ยอ่อน → ใช้น้ำหมักกระเทียมหรือพริกฉีดพ่น

โรคหลัก:

  • โรคใบไหม้ → ฉีดพ่นน้ำหมักสมุนไพร (เช่น น้ำหมักข่า + ตะไคร้)

  • โรคโคนเน่าและหัวเน่า → หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป

6. ช่วงออกดอก

✅ มันฝรั่งจะเริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 50–70 วัน หลังปลูก
✅ ดอกมีสีขาว ม่วง หรือชมพู ขึ้นอยู่กับพันธุ์

7. เทคนิคการเก็บผลก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ ลดการให้น้ำ ก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 2–3 สัปดาห์ → กระตุ้นให้หัวแก่เร็วขึ้น
✅ ตัดยอด ก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 7 วัน → ช่วยให้หัวมันฝรั่งแข็งแรงขึ้น

8. ประเทศที่ไทยส่งออกมันฝรั่ง เรียงตามปริมาณการส่งออก

✅ 1. ญี่ปุ่น → นิยมมันฝรั่งสำหรับทำมันบดและเฟรนช์ฟรายส์
✅ 2. เกาหลีใต้ → นิยมมันฝรั่งเนื้อแน่น สีเหลือง
✅ 3. จีน → นิยมมันฝรั่งเนื้อขาวและเนื้อเหลือง
✅ 4. ไต้หวัน → นิยมมันฝรั่งเนื้อขาวและเนื้อเหลือง
✅ 5. เวียดนาม → นิยมมันฝรั่งเนื้อขาวและสีเหลือง

✅ สรุป:

  • พันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไทยคือ พันธุ์แอตแลนติก และ พันธุ์คารา

  • ช่วงเวลาปลูกที่ดีที่สุดคือ ตุลาคม – กุมภาพันธ์

  • ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และหลีกเลี่ยงสารเคมี

  • ตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และไต้หวัน

ผักบุ้ง

28.) ผักบุ้ง รวม 17 คลิป 

🌱 ผักบุ้งในไทย

ผักบุ้งเป็นผักที่นิยมบริโภคในไทยและเอเชีย มีรสชาติอร่อย ปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว และให้ผลผลิตต่อเนื่องได้ตลอดปี สามารถปลูกได้ทั้งในดินและในน้ำ

🥬 1. พันธุ์ผักบุ้งที่มีชื่อเสียงในไทย (เรียงตามความนิยมของตลาด)

ผักบุ้งที่นิยมในไทยแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก คือ

🥇 1. ผักบุ้งจีน (นิยมมากที่สุด)

  • ลักษณะ: ลำต้นสีเขียวอ่อน ใบเรียวยาว สีเขียวอ่อน กรอบ ไม่เหนียว

  • ตลาด: นิยมมากในตลาดไทยและส่งออก

  • พันธุ์ที่นิยม:

    • พันธุ์ใบไผ่ → ลำต้นกรอบ ใบเรียว

    • พันธุ์ก้านขาว → ก้านใหญ่ ใบหนา

    • พันธุ์ฮ่องเต้ → กรอบ หวาน ปลูกง่าย

🥈 2. ผักบุ้งไทย (นิยมรองลงมา)

  • ลักษณะ: ลำต้นสีเขียวเข้ม ลำต้นใหญ่ ใบใหญ่ สีเขียวเข้ม รสชาติออกขมนิด ๆ

  • ตลาด: นิยมในตลาดในประเทศ

  • พันธุ์ที่นิยม:

    • พันธุ์ผักบุ้งแก้ว → ลำต้นใหญ่ ใบหนา

    • พันธุ์ผักบุ้งแดง → ลำต้นแดง ใบใหญ่

⏳ 2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • ผักบุ้งจีน:

    • เก็บเกี่ยวได้ใน 20–30 วัน หลังเพาะเมล็ด

  • ผักบุ้งไทย:

    • เก็บเกี่ยวได้ใน 25–35 วัน หลังเพาะเมล็ด

  • หากปลูกเพื่อออกดอก ต้องใช้เวลา 50–60 วัน

🌦️ 3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

  • ผักบุ้งจีน → ปลูกได้ตลอดปี แต่โตเร็วในช่วง ฤดูฝน (พฤษภาคม – ตุลาคม)

  • ผักบุ้งไทย → ปลูกได้ตลอดปี โตเร็วในช่วง ฤดูร้อน (มีนาคม – พฤษภาคม)

🌾 4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดิน:

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินเหนียวปนทราย

  • มีความโปร่ง ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง

✅ ค่า pH:

  • pH ที่เหมาะสม: ประมาณ 5.5–7.5

🌿 5. เทคนิคในการปลูก บำรุง และกำจัดแมลงโดยไม่ใช้สารเคมี

✅ วิธีปลูกในดิน

  1. เตรียมดิน:

    • ไถดิน ตากดิน 3–5 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและแมลง

    • ใส่ปุ๋ยคอก (ขี้วัว ขี้ไก่) อัตรา 2 กิโลกรัม/ตารางเมตร

  2. หว่านเมล็ด:

    • หว่านเมล็ดให้ทั่วแปลง (ประมาณ 2 กิโลกรัม/ไร่)

    • คลุมด้วยฟางบาง ๆ เพื่อรักษาความชื้น

  3. รดน้ำ:

    • รดน้ำวันละ 1–2 ครั้ง เช้า-เย็น

  4. บำรุง:

    • ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์ สัปดาห์ละครั้ง

    • ฉีดพ่นน้ำหมักชีวภาพจากพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ขิง ข่า

  5. กำจัดแมลง:

    • ใช้สารสกัดจากสมุนไพร เช่น น้ำสกัดจากสะเดา ตะไคร้ หรือข่า

    • ปลูกพืชสมุนไพร เช่น โหระพา หรือแมงลัก ร่วมแปลงเพื่อล่อแมลง

✅ วิธีปลูกในน้ำ

  1. เตรียมบ่อหรือร่องน้ำ:

    • ใช้น้ำสะอาด ระดับน้ำประมาณ 5–10 ซม.

  2. หว่านเมล็ดในร่องน้ำ:

    • หว่านเมล็ดให้กระจายทั่วแปลง

  3. บำรุง:

    • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในน้ำ เช่น ปุ๋ยมูลไส้เดือน

    • รักษาระดับน้ำให้คงที่

  4. กำจัดแมลง:

    • ใช้น้ำหมักสมุนไพร เช่น น้ำสกัดสะเดา

🌸 6. ช่วงออกดอก

  • ผักบุ้งส่วนใหญ่จะออกดอกในช่วง 45–60 วัน หลังเพาะเมล็ด

  • ดอกสีม่วงหรือสีขาวเล็ก ๆ

🏆 7. วิธีเร่งเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เร่งการเติบโต:

  • ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยมูลไส้เดือน

  • ฉีดพ่นน้ำหมักสมุนไพรเพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโต

  • รักษาความชื้นของดินให้สม่ำเสมอ

✅ วิธีการเก็บเกี่ยว:

  • ถอนหรือใช้กรรไกรตัดเหนือโคนต้น ประมาณ 1–2 ซม.

🌍 8. ประเทศที่ไทยส่งออกผักบุ้ง (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. จีน → ตลาดใหญ่มาก เนื่องจากผักบุ้งเป็นที่นิยมในเมนูอาหารจีน

  2. ญี่ปุ่น → นิยมในเมนูอาหารสุขภาพ

  3. เกาหลีใต้ → นิยมในซุปและสลัด

  4. มาเลเซีย → นิยมบริโภคสดและผัด

  5. สิงคโปร์ → นิยมในเมนูอาหารผัดและต้ม

✅ สรุป

➡️ พันธุ์ที่นิยม: ผักบุ้งจีน (พันธุ์ใบไผ่) → โตเร็ว ใบกรอบ รสชาติดี
➡️ ระยะเก็บเกี่ยว: ประมาณ 20–35 วัน หลังปลูก
➡️ เทคนิค: ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมศัตรูพืชด้วยสมุนไพร
➡️ ตลาดส่งออกหลัก: จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย สิงคโปร์

มะระจีน

29.) มะระจีน รวม 19 คลิป 

🥒 มะระจีนในไทย

มะระจีนเป็นพืชตระกูลแตงที่ได้รับความนิยมในตลาดไทยและต่างประเทศ ด้วยรสชาติขมเล็กน้อยแต่มีสรรพคุณทางยา ปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว ให้ผลผลิตสูง

🌟 1. พันธุ์มะระจีนที่มีชื่อเสียงในไทย (เรียงตามความนิยมของตลาด)

มะระจีนในไทยมีหลากหลายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในตลาดมีดังนี้:

🥇 1. พันธุ์ไต้หวัน (นิยมมากที่สุด)

  • ลักษณะ: ผลยาว สีเขียวเข้ม ผิวขรุขระมาก

  • รสชาติ: ขมเล็กน้อย เนื้อกรอบ

  • ตลาด: นิยมมากในตลาดไทยและตลาดส่งออก

🥈 2. พันธุ์กุ้ยหลิน

  • ลักษณะ: ผลขนาดกลาง สีเขียวสด ผิวขรุขระปานกลาง

  • รสชาติ: ขมน้อยกว่าพันธุ์ไต้หวัน

  • ตลาด: นิยมในตลาดท้องถิ่นและตลาดจีน

🥉 3. พันธุ์จัมโบ้

  • ลักษณะ: ผลขนาดใหญ่ ยาวกว่า 40 ซม. สีเขียวเข้ม

  • รสชาติ: ขมน้อย กรอบ

  • ตลาด: นิยมในตลาดไทยและตลาดเอเชีย

🏅 4. พันธุ์พื้นเมือง

  • ลักษณะ: ผลขนาดเล็ก สีเขียวเข้ม ผิวเรียบ

  • รสชาติ: ขมจัด

  • ตลาด: นิยมในตลาดท้องถิ่น

⏳ 2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • งอก → ภายใน 3–7 วัน หลังเพาะเมล็ด

  • ออกดอก → ประมาณ 30–40 วัน หลังเพาะเมล็ด

  • ติดผลและเก็บเกี่ยว → ประมาณ 45–55 วัน หลังปลูก

🌦️ 3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

✅ ปลูกได้ตลอดปี แต่โตเร็วและให้ผลผลิตดีที่สุดในช่วง:

  • ต้นฤดูฝน → เดือน พฤษภาคม – กรกฎาคม

  • ปลายฤดูหนาว → เดือน พฤศจิกายน – มกราคม

🌾 4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดิน:

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วน

  • ระบายน้ำได้ดี

  • มีอินทรียวัตถุสูง

✅ ค่า pH:

  • pH ที่เหมาะสม: ประมาณ 6.0–6.8

🌿 5. เทคนิคในการปลูก บำรุง และกำจัดแมลงโดยไม่ใช้สารเคมี

✅ วิธีปลูก

  1. เตรียมดิน:

    • ไถดินลึกประมาณ 30–40 ซม.

    • ตากดิน 5–7 วัน เพื่อลดเชื้อโรคในดิน

    • ผสมปุ๋ยคอก (ขี้วัวหรือขี้ไก่) ในอัตรา 2 กิโลกรัม/ตารางเมตร

  2. เพาะเมล็ด:

    • แช่เมล็ดในน้ำอุ่น 8–12 ชั่วโมง

    • หยอดเมล็ดในหลุมลึก 1.5–2 ซม.

    • กลบดินบาง ๆ

  3. ทำค้าง:

    • ทำค้างสูง 1.5–2 เมตร เพื่อให้มะระเกาะและเลื้อย

✅ การบำรุงรักษา

  1. การรดน้ำ:

    • รดน้ำเช้า-เย็น วันละ 1 ครั้ง

    • หากอากาศร้อนควรรดวันละ 2 ครั้ง

  2. ปุ๋ยอินทรีย์:

    • ใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพ ทุก 7–10 วัน

    • น้ำหมักชีวภาพจากมูลไส้เดือนหรือมูลวัวช่วยให้โตเร็ว

  3. การตัดแต่ง:

    • ตัดแต่งใบและยอดที่ไม่สมบูรณ์

    • เหลือยอดหลักประมาณ 3–4 ยอด เพื่อให้ผลใหญ่

✅ การกำจัดแมลงโดยไม่ใช้สารเคมี

  • เพลี้ยอ่อนและแมลงวันทอง:

    • ใช้น้ำสกัดจากสะเดา หรือตะไคร้หอม

    • แขวนกาวดักแมลงไว้ตามแนวค้าง

  • เชื้อรา:

    • ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา (Trichoderma) ฉีดพ่นทุก 7–10 วัน

    • หลีกเลี่ยงการให้น้ำแฉะเกินไป

🌸 6. ช่วงออกดอก

  • ออกดอกในช่วง 30–40 วัน หลังปลูก

  • ดอกสีเหลือง ออกดอกในช่วง เช้า

🚀 7. วิธีเร่งการเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ การเร่งติดผล:

  • ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพหรือปุ๋ยมูลไส้เดือน

  • ฉีดพ่นน้ำหมักสมุนไพร (ตะไคร้ ขิง ข่า)

  • หมั่นตัดแต่งใบและยอดที่ไม่สมบูรณ์

✅ การเก็บเกี่ยว:

  • เก็บผลเมื่ออายุประมาณ 45–50 วัน

  • เก็บผลในช่วงเช้า เพื่อให้ผลกรอบ สด

🌍 8. ประเทศที่ไทยส่งออกมะระจีน (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. จีน → ตลาดใหญ่ที่สุด รสชาติขมเล็กน้อยเป็นที่นิยม

  2. ญี่ปุ่น → นิยมใช้ในอาหารสุขภาพ

  3. เกาหลีใต้ → นิยมในอาหารประเภทซุป

  4. เวียดนาม → ใช้ในอาหารพื้นเมือง

  5. สหรัฐอเมริกา → นิยมในหมู่ชาวเอเชียในอเมริกา

✅ สรุป

➡️ พันธุ์ที่นิยม: พันธุ์ไต้หวัน → ผลยาว สีเขียวเข้ม ขมน้อย
➡️ ระยะเก็บเกี่ยว: ประมาณ 45–55 วัน หลังปลูก
➡️ เทคนิค: ให้ปุ๋ยหมักชีวภาพ รดน้ำวันละครั้ง ทำค้างให้เลื้อย
➡️ ตลาดส่งออกหลัก: จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เวียดนาม สหรัฐอเมริกา

มะระขี่นก

30.) มะระขี้นก รวม 26 คลิป 

🥒 มะระขี้นกในไทย

มะระขี้นกเป็นพืชตระกูลแตงที่นิยมปลูกในไทยและหลายประเทศในเอเชีย มีรสชาติขมจัด แต่มีสรรพคุณทางยา ช่วยลดน้ำตาลในเลือดและบำรุงสุขภาพ จึงเป็นที่ต้องการในตลาดสมุนไพรและตลาดเพื่อสุขภาพ

🌟 1. พันธุ์มะระขี้นกที่มีชื่อเสียงในไทย (เรียงตามความนิยมในตลาด)

ในไทยมีการปลูกมะระขี้นกหลากหลายสายพันธุ์ โดยที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่:

🥇 1. พันธุ์ศรีสะเกษ (นิยมมากที่สุด)

  • ลักษณะ: ผลขนาดกลาง สีเขียวเข้ม ผิวขรุขระมาก

  • รสชาติ: ขมจัด

  • จุดเด่น: ติดผลดก ขายได้ราคาดีในตลาดสมุนไพร

  • ตลาด: เป็นที่นิยมในตลาดไทยและตลาดส่งออก

🥈 2. พันธุ์พื้นบ้านอีสาน

  • ลักษณะ: ผลเล็ก ขนาด 6–8 ซม. สีเขียวเข้ม ผิวขรุขระ

  • รสชาติ: ขมจัดมาก

  • จุดเด่น: ติดผลดก ทนต่อโรคได้ดี

  • ตลาด: นิยมในตลาดท้องถิ่นและตลาดสมุนไพร

🥉 3. พันธุ์ศรีราชา

  • ลักษณะ: ผลขนาดกลาง สีเขียวสด ผิวขรุขระปานกลาง

  • รสชาติ: ขมน้อยกว่าพันธุ์อื่น

  • จุดเด่น: ทนร้อนและแล้งได้ดี

  • ตลาด: นิยมในตลาดสดและตลาดสมุนไพร

🏅 4. พันธุ์ไต้หวัน

  • ลักษณะ: ผลขนาดใหญ่ สีเขียวอ่อน ผิวขรุขระน้อย

  • รสชาติ: ขมน้อยกว่าพันธุ์ศรีสะเกษ

  • จุดเด่น: ติดผลเร็ว โตไว

  • ตลาด: นิยมในตลาดส่งออก

⏳ 2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • งอก: ภายใน 3–5 วัน หลังเพาะเมล็ด

  • ออกดอก: ประมาณ 25–30 วัน หลังเพาะเมล็ด

  • ติดผลและเก็บเกี่ยว: ประมาณ 35–40 วัน หลังปลูก

🌦️ 3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

✅ ปลูกได้ตลอดปี แต่เจริญเติบโตได้ดีที่สุดในช่วง:

  • ต้นฤดูฝน → เดือน พฤษภาคม – มิถุนายน

  • ปลายฤดูหนาว → เดือน พฤศจิกายน – มกราคม

👉 หลีกเลี่ยงการปลูกในช่วงหน้าร้อนจัด (เมษายน) เพราะอากาศร้อนทำให้ดอกร่วงง่าย

🌾 4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดิน:

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุย

  • ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง

  • มีความชื้นสม่ำเสมอ

✅ ค่า pH:

  • pH ที่เหมาะสม: ประมาณ 6.0–6.8

🌿 5. เทคนิคในการปลูก บำรุง และกำจัดแมลงโดยไม่ใช้สารเคมี

✅ วิธีปลูก

  1. เตรียมดิน:

    • ไถดินลึก 30–40 ซม.

    • ตากดิน 5–7 วัน เพื่อกำจัดเชื้อโรคในดิน

    • ผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก (ขี้วัว/ขี้ไก่) ในอัตรา 2 กิโลกรัม/ตารางเมตร

  2. เพาะเมล็ด:

    • แช่เมล็ดในน้ำอุ่น 12 ชั่วโมง ก่อนปลูก

    • หยอดเมล็ดในหลุมลึกประมาณ 1.5–2 ซม.

    • กลบดินบาง ๆ

  3. ทำค้าง:

    • ทำค้างสูง 1.5–2 เมตร เพื่อให้มะระขี้นกเลื้อยและติดผลดี

✅ การบำรุงรักษา

  1. การรดน้ำ:

    • รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ช่วงเช้าหรือเย็น

    • หากอากาศร้อนควรรดวันละ 2 ครั้ง

  2. ปุ๋ยอินทรีย์:

    • ใช้ปุ๋ยมูลไส้เดือนหรือปุ๋ยคอกหมักทุก 7 วัน

    • ใส่น้ำหมักชีวภาพ (เช่น น้ำหมักจากกากน้ำตาล + ผัก) ทุก 10 วัน

  3. การตัดแต่ง:

    • ตัดแต่งกิ่งและใบที่ไม่สมบูรณ์

    • เหลือยอดหลักประมาณ 3–4 ยอด เพื่อให้ได้ผลขนาดใหญ่

✅ การกำจัดแมลงโดยไม่ใช้สารเคมี

  • เพลี้ยอ่อนและแมลงวันทอง:

    • ใช้สารสกัดจากสะเดา หรือข่า ตะไคร้

    • แขวนกับดักกาวเหนียวสีเหลืองเพื่อดักแมลง

  • เชื้อรา:

    • ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา (Trichoderma) ฉีดพ่นทุก 7–10 วัน

    • หลีกเลี่ยงการให้น้ำแฉะเกินไป

🌸 6. ช่วงออกดอก

  • ออกดอกในช่วง 25–30 วัน หลังปลูก

  • ดอกสีเหลืองสด ออกดอกในช่วง เช้า

🚀 7. วิธีเร่งการเก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ วิธีเร่งการติดผล:

  • ใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ หรือปุ๋ยคอกหมัก

  • ฉีดพ่นน้ำหมักสมุนไพร (จากตะไคร้ ข่า ขิง) ทุก 7 วัน

  • หมั่นตัดแต่งใบเพื่อให้สารอาหารไปเลี้ยงผลได้ดี

✅ การเก็บเกี่ยว:

  • เก็บผลในช่วงเช้า เมื่ออายุประมาณ 35–40 วัน หลังปลูก

  • เลือกผลที่มีสีเขียวเข้ม และผิวขรุขระ

🌍 8. ประเทศที่ไทยส่งออกมะระขี้นก (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. จีน → ตลาดใหญ่ที่สุด เน้นรสขมจัด

  2. ญี่ปุ่น → ใช้ในอาหารเพื่อสุขภาพ

  3. อินเดีย → ใช้ในตำรับยาพื้นบ้าน

  4. เวียดนาม → นิยมในซุปและยาสมุนไพร

  5. สหรัฐอเมริกา → นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ

✅ สรุป

➡️ พันธุ์ที่นิยม: ศรีสะเกษ → ขมจัด ติดผลดก
➡️ ระยะเก็บเกี่ยว: ประมาณ 35–40 วัน หลังปลูก
➡️ เทคนิค: ให้ปุ๋ยหมักชีวภาพ ตัดแต่งกิ่ง รดน้ำวันละครั้ง
➡️ ตลาดส่งออกหลัก: จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม สหรัฐอเมริกา

บวบ

31.) บวบ รวม 1 คลิป 

เกี่ยวกับบวบ (Bottle Gourd) มีข้อมูลดังนี้:

1. การปลูกและการดูแลบวบ

  • การปลูก: บวบต้องการพื้นที่ที่มีแสงแดดเพียงพอและดินที่ระบายน้ำได้ดี โดยสามารถปลูกได้ทั้งในดินทั่วไปและดินที่เป็นกรดอ่อนๆ การปลูกจะต้องเตรียมแปลงที่ราบ ไม่ขังน้ำ

  • อายุของพืช: บวบใช้เวลาปลูกประมาณ 2-3 เดือนหลังจากการเพาะเมล็ดจนสามารถเก็บผลผลิตได้

  • การเก็บผลผลิต: ผลบวบจะเก็บเกี่ยวเมื่อมันเริ่มเจริญเติบโตเต็มที่ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในระยะเวลา 2-3 เดือน

  • เทคนิคการทำให้ผลผลิตดี: ต้องการการดูแลที่ดี เช่น การใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ การรดน้ำสม่ำเสมอ และการควบคุมศัตรูพืชอย่างมีประสิทธิภาพ

  • ฤดูออก: โดยทั่วไปบวบจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ทั้งปี แต่การปลูกจะเหมาะสมที่สุดในช่วงฤดูฝน

2. การควบคุมศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี

  • การควบคุมศัตรูพืชของบวบสามารถทำได้โดยใช้วิธีการทางชีวภาพ เช่น การใช้แมลงป่าหรือเหยื่อล่อธรรมชาติ การใช้สารธรรมชาติเช่น สารสกัดจากพืชเพื่อป้องกันการระบาดของโรคและแมลง

  • ควรระมัดระวังไม่ให้การรดน้ำหรือการดูแลเกินไป เพราะอาจจะดึงดูดแมลงศัตรูที่ไม่พึงประสงค์

3. ประโยชน์ของบวบ

2.1 การเกษตร

  • บวบเป็นพืชที่มีการเติบโตเร็วและสามารถใช้เป็นพืชหมุนเวียนในฟาร์มได้

  • การปลูกบวบช่วยลดการระบาดของศัตรูพืชในแปลงเกษตรอื่น ๆ เพราะบวบสามารถใช้เป็นพืชคลุมดินได้

2.2 ทางยา

  • ผลบวบช่วยในเรื่องของการลดไขมันในเลือดและลดความดันโลหิตสูง

  • ใบบวบใช้ในการบำรุงตับและลดอาการของโรคเกาต์

  • ใช้แก้ไขอาการท้องผูกและบรรเทาอาการบวมน้ำ

2.3 โภชนาการ

  • บวบมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น วิตามิน C, โฟเลต, และแร่ธาตุที่ดีต่อการทำงานของร่างกาย

  • ช่วยในการบำรุงร่างกาย ลดคอเลสเตอรอล และมีประโยชน์ในการควบคุมน้ำหนัก

2.4 ทางอุตสาหกรรม

  • ผลบวบสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฟเบอร์หรือคอลลาเจน

  • ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารเช่น สลัด แกง และเครื่องดื่มน้ำผลไม้

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกและการใช้งานของบวบ คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่มีการกล่าวถึงใน เกษตรกร หรือ www.siamculture.com

32.) ใบเตย รวม 17 คลิป 

ใบเตย
  1. การปลูกและเทคนิคในการปลูกใบเตย

    • อายุของพืช: ใบเตยเป็นพืชที่มีอายุยืนยาว สามารถปลูกได้หลายปี โดยทั่วไปจะเริ่มเก็บใบได้หลังจากปลูกไปประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลและสภาพแวดล้อม

    • สายพันธุ์ที่นิยมปลูก: สายพันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย ได้แก่ ใบเตยไทย และ ใบเตยลาย ซึ่งมีลักษณะใบกว้างและมีกลิ่นหอม

    • การเก็บผลผลิต: ใบเตยจะเก็บเมื่อมีความยาวประมาณ 30–40 ซม. ซึ่งใช้ในการปรุงอาหารและในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ต่างๆ

    • การควบคุมศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี: ควรใช้วิธีการทางธรรมชาติ เช่น การใช้สมุนไพรป้องกันศัตรูพืช การใช้ศัตรูธรรมชาติ หรือการใช้มูลสัตว์ในการป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรา

  2. ประโยชน์ในทางต่างๆ

    • การเกษตร: ใบเตยเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ง่ายและทนทานในพื้นที่ที่มีน้ำขังหรือดินชื้น จึงนิยมปลูกในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมแบบนี้

    • ทางยา: ใบเตยมีคุณสมบัติในการช่วยลดอาการปวดท้อง ช่วยย่อยอาหาร และช่วยให้ความดันเลือดลดลงได้

    • โภชนาการ: ใบเตยใช้ในอาหารไทยหลายเมนู เช่น ขนมไทย น้ำหอม หรือเป็นเครื่องเทศในอาหารที่ให้กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์

    • ทางอุตสาหกรรม: ใบเตยสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น การผลิตน้ำหอม ธุรกิจขนมหวาน หรือผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่ให้กลิ่นหอม

ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถศึกษาจากลิงก์เหล่านี้:

  • Pandan Leaf Cultivation (เว็บไซต์เกี่ยวกับเกษตร)

  • Pandan Benefits and Uses (เว็บไซต์เกี่ยวกับสุขภาพ)

33.) ผักชี รวม 1 คลิป 

ผักชี

ผักชี (Coriandrum sativum) เป็นพืชสมุนไพรที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายทั้งในด้านการปรุงอาหารและการแพทย์ การปลูกผักชีต้องการความใส่ใจในรายละเอียดเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ​

1. การปลูก อายุของพืช สายพันธุ์ที่นิยมปลูก และการเก็บผลผลิต

  • การปลูก: ผักชีเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็น โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว การปลูกควรเริ่มในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีที่สุด​

  • อายุของพืช: ผักชีมีอายุตั้งแต่การเพาะปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยวประมาณ 2-3 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและการดูแลรักษา​

  • สายพันธุ์ที่นิยมปลูก: ในประเทศไทยนิยมปลูกผักชีพันธุ์พื้นเมือง เช่น ผักชีสายพันธุ์เชียงใหม่ ซึ่งมีรสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะตัว​

  • การเก็บผลผลิต: การเก็บเกี่ยวควรทำเมื่อผักชีมีความสูงประมาณ 30-40 เซนติเมตร และใบมีสีเขียวสดใส ไม่ควรปล่อยให้ผักชีออกดอกก่อนเก็บเกี่ยว เนื่องจากจะทำให้รสชาติเปลี่ยนแปลง​

2. เทคนิคทำให้ผลผลิตเป็นที่นิยมของตลาด

  • การดูแลรักษา: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ผักชีเริ่มงอก และควรปลูกในดินที่ระบายน้ำได้ดี​

  • การป้องกันโรคและแมลง: ควรตรวจสอบแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ และใช้วิธีธรรมชาติในการป้องกัน เช่น การใช้สารสกัดจากพืชหรือการกำจัดด้วยมือ เพื่อรักษาความเป็นธรรมชาติของผลิตภัณฑ์​

3. เดือนที่เป็นหน้าฤดูออกของผักชี

ผักชีเป็นพืชที่เหมาะกับสภาพอากาศเย็น การปลูกในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคมจะทำให้ได้ผลผลิตที่ดีที่สุด​

4. การควบคุมศัตรูของผักชีโดยไม่ใช้สารเคมี

  • การใช้วิธีธรรมชาติ: การใช้สารสกัดจากพืช เช่น สะเดา หรือการใช้วิธีการกำจัดด้วยมือ สามารถช่วยลดการใช้สารเคมีในการป้องกันศัตรูพืชได้​

  • การหมุนเวียนพื้นที่ปลูก: การหมุนเวียนพื้นที่ปลูกผักชีทุกปีสามารถช่วยลดปัญหาการสะสมของโรคและแมลงในดิน​

5. ประโยชน์ในทางต่าง ๆ

  • 2.1 การเกษตร: ผักชีช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน และสามารถปลูกร่วมกับพืชอื่น ๆ เพื่อป้องกันการเกิดโรค​

  • 2.2 ทางยา: ผักชีมีสรรพคุณในการช่วยย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด และมีสารต้านอนุมูลอิสระ​

  • 2.3 โภชนาการ: ใบและเมล็ดผักชีเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ​

  • 2.4 ทางอุตสาหกรรม: ผักชีถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์สุขภาพ เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระและคุณสมบัติในการบำรุงผิว​

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกและดูแลผักชี สามารถศึกษาจากแหล่งข้อมูลดังต่อไปนี้:

หวังว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์สำหรับการปลูกและดูแลผักชีของคุณ

ที่มา

34.) ว่านหางจระเข้ รวม 18 คลิป 

ว่านหางจระเข้

หว่านหางจระเข้ (Aloe vera) เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาและโภชนาการมากมาย การปลูกและดูแลรักษาหว่านหางจระเข้ไม่ยุ่งยาก และสามารถให้ผลผลิตได้นานหลายปี ​เทคโนโลยีชาวบ้าน

1. การปลูก อายุของพืช สายพันธุ์ที่นิยมปลูก และการเก็บผลผลิต

  • การปลูก: หว่านหางจระเข้สามารถปลูกได้ตลอดปี แต่ควรปลูกในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิถึงปลายฤดูใบไม้ผลิ หรือกลางฤดูใบไม้ร่วงถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง เพื่อให้รากเติบโตได้อย่างเหมาะสม ​PictureThis

  • อายุของพืช: หลังจากปลูกประมาณ 6-8 เดือน สามารถเริ่มเก็บเกี่ยวใบได้ และสามารถเก็บเกี่ยวได้ทุกเดือนตลอดอายุการใช้งานของพืช ​Agriman

  • สายพันธุ์ที่นิยมปลูก: พันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุดคือ Aloe barbadensis Miller เนื่องจากมีขนาดกาบใหญ่ เนื้อเยอะ และสรรพคุณทางยามาก ​เทคโนโลยีชาวบ้าน

  • การเก็บผลผลิต: การเก็บเกี่ยวใบควรทำเมื่อใบมีขนาดใหญ่และหนา โดยสามารถเก็บได้ทุกเดือน หลังจากปลูกไปแล้ว 6-8 เดือน ​Agriman

2. เทคนิคทำให้ผลผลิตเป็นที่นิยมของตลาด

  • การดูแลรักษา: หว่านหางจระเข้เป็นพืชที่ทนต่อสภาพอากาศแห้งแล้งและใช้น้ำน้อย ควรรดน้ำสัปดาห์ละครั้ง และควรติดตั้งระบบสปริงเกลอร์เพื่อการรดน้ำที่เหมาะสม ​เทคโนโลยีชาวบ้าน

  • การป้องกันโรคและแมลง: ควรตรวจสอบพืชอย่างสม่ำเสมอ หากพบแมลงหรือโรค ควรใช้วิธีธรรมชาติในการป้องกัน เช่น การใช้สารสกัดจากพืชหรือการกำจัดด้วยมือ เพื่อรักษาความเป็นธรรมชาติของผลิตภัณฑ์​

3. เดือนที่เป็นหน้าฤดูออกของหว่านหางจระเข้

หว่านหางจระเข้สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดปี แต่การเก็บเกี่ยวใบควรทำเมื่อใบมีขนาดใหญ่และหนา ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากปลูกไปแล้ว 6-8 เดือน ​Agriman

4. การควบคุมศัตรูของหว่านหางจระเข้โดยไม่ใช้สารเคมี

  • การใช้สารสกัดจากพืช: การใช้สารสกัดจากพืช เช่น สะเดา สามารถช่วยป้องกันแมลงและโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ​

  • การกำจัดด้วยมือ: หากพบแมลงหรือโรค ควรใช้วิธีการกำจัดด้วยมือหรือวิธีธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อรักษาความเป็นธรรมชาติของผลิตภัณฑ์​

5. ประโยชน์ในทางต่าง ๆ

  • 2.1 การเกษตร: หว่านหางจระเข้สามารถใช้เป็นพืชคลุมดิน ช่วยป้องกันการชะล้างของดิน และปรับปรุงคุณภาพดิน​

  • 2.2 ทางยา: ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณในการรักษาแผล สมานแผล ลดการอักเสบ และบรรเทาอาการแสบร้อนจากแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก​เทคโนโลยีชาวบ้าน

  • 2.3 โภชนาการ: เนื้อว่านหางจระเข้สามารถรับประทานได้ มีสรรพคุณช่วยลดน้ำตาลในเลือด และบำรุงระบบทางเดินอาหาร​

  • 2.4 ทางอุตสาหกรรม: ว่านหางจระเข้ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และเครื่องดื่มสุขภาพ

35.) แค รวม 18 คลิป 

แค

เรื่องของต้นแค (Acacia) มีดังนี้:

1.) การปลูก อายุของพืช และการเก็บผลผลิต

  • อายุของพืช: ต้นแคเป็นพืชที่เติบโตเร็ว มักเริ่มให้ผลผลิตภายใน 6-12 เดือนหลังจากปลูก ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและพันธุ์

  • สายพันธุ์ที่นิยมปลูก: ส่วนใหญ่ใช้พันธุ์ Acacia mangium, Acacia auriculiformis และ Acacia nilotica ซึ่งนิยมปลูกในประเทศไทย

  • การเก็บผลผลิต: การเก็บผลผลิตจะเก็บใบและฝักของต้นแค โดยเฉพาะในช่วง 6-8 เดือนหลังปลูก ซึ่งใบและฝักใช้ในอาหารสัตว์และอุตสาหกรรมอื่น ๆ

2.) เทคนิคทำให้ผลผลิตเป็นที่นิยมของตลาด

  • ใช้เทคนิคการปลูกที่มีการดูแลรักษาดี เช่น การให้น้ำในช่วงต้นฤดูร้อน การใส่ปุ๋ยคอกเพื่อเพิ่มสารอาหารให้ดิน

  • การตัดแต่งกิ่งและการเก็บเกี่ยวในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพสูง

3.) การควบคุมศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี

  • การใช้วิธีการควบคุมศัตรูพืชโดยใช้ศัตรูธรรมชาติ เช่น การใช้แมลงเพื่อควบคุมหนอนที่ทำลายใบ

  • การใช้สารสกัดจากพืช เช่น การใช้สารสกัดจากสะเดาหรือข่าในการไล่แมลง

4.) ประโยชน์ในทางต่าง ๆ

  • 2.1 การเกษตร: ใช้ต้นแคเป็นพืชป่าเพื่อปรับปรุงดินและป้องกันการกัดเซาะดิน เพราะต้นแคมีระบบรากที่ช่วยจับดินและลดการสูญเสียดินจากการพังทลาย

  • 2.2 ทางยา: ต้นแคมีสารสกัดที่ใช้ในยาจีนและสมุนไพรไทย เช่น สารที่ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะอาหารและปรับสมดุลในร่างกาย

  • 2.3 โภชนาการ: ใบแคเป็นแหล่งของโปรตีนและสารอาหารต่าง ๆ ที่สามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ หรือใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร

  • 2.4 ทางอุตสาหกรรม: ใช้ไม้ของต้นแคในอุตสาหกรรมไม้แปรรูป เช่น ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์หรือสร้างวัสดุก่อสร้าง

5.) ช่วงฤดูออก

  • ฤดูออก: โดยทั่วไปแล้วต้นแคจะออกดอกในช่วงฤดูฝน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน

6.) ลิงก์สำหรับศึกษาเพิ่มเติม

36.) มะรุม รวม 13 คลิป 

มะรุม

มะรุม (Moringa oleifera) เป็นพืชที่มีประโยชน์หลากหลายทั้งในด้านการเกษตร การแพทย์ และอุตสาหกรรมต่างๆ นี่คือรายละเอียดของมะรุม:

1. การปลูก

  • อายุของพืช: มะรุมมีอายุการเจริญเติบโตตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปี ในการเก็บผลผลิต โดยจะเริ่มให้ผลผลิตภายใน 6-8 เดือนหลังการปลูก

  • การเก็บผลผลิต: โดยทั่วไปจะเก็บใบและฝัก โดยการตัดกิ่งที่ออกผลได้หรือใช้มือดึงฝักออกจากต้น

  • เทคนิคทำให้ผลผลิตเป็นที่นิยมของตลาด: การเลือกปลูกมะรุมในพื้นที่ที่มีแดดจัดและดินที่ระบายน้ำได้ดีเป็นสิ่งสำคัญ การเก็บผลผลิตต้องทำเมื่อฝักแก่เต็มที่หรือเมื่อใบมีขนาดใหญ่และหนา

  • เดือนที่เหมาะสมในการปลูก: มะรุมสามารถปลูกได้ตลอดปี แต่ฤดูฝนจะเหมาะสมที่สุดเพราะมีน้ำเพียงพอให้มะรุมเจริญเติบโตได้ดี

2. การควบคุมศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี

มะรุมมักจะมีศัตรูพืชเช่น เพลี้ยอ่อน หนอน แมลงบางชนิดที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อพืช วิธีการควบคุมโดยไม่ใช้สารเคมีสามารถทำได้ดังนี้:

  • ใช้สารสกัดจากสมุนไพร เช่น น้ำกระเทียม หรือน้ำสบู่

  • ใช้การปลูกพืชที่มีคุณสมบัติในการไล่แมลง

  • การดูแลให้พืชมีสุขภาพดี ช่วยลดโอกาสในการโดนทำลายจากศัตรูพืช

3. ประโยชน์ของมะรุม

2.1 การเกษตร

มะรุมสามารถใช้เป็นพืชคลุมดินเพื่อป้องกันการชะล้างของดินได้ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยการปลูกมะรุมสามารถช่วยเสริมธาตุอาหารในดินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

2.2 ทางยา

มะรุมมีสรรพคุณทางยาหลายประการ:

  • ใบ: มีคุณสมบัติช่วยในการลดน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความดันโลหิต และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

  • เมล็ด: ใช้ทำเป็นน้ำมันที่ช่วยลดคอเลสเตอรอลและช่วยในเรื่องของการขับสารพิษ

  • ราก: ใช้ในตำรับยาเพื่อบรรเทาอาการของโรคทางเดินหายใจ

2.3 โภชนาการ

  • ใบมะรุมมีสารอาหารที่สูงมาก เช่น วิตามิน A, C, แคลเซียม และโปรตีน

  • ใบสามารถนำไปปรุงอาหารได้ เช่น ทำแกง ต้ม หรือใช้เป็นผักสด

  • เมล็ดและฝักก็สามารถนำไปใช้เป็นอาหารได้ โดยเฉพาะในหลายประเทศแถบเอเชีย

2.4 ทางอุตสาหกรรม

  • น้ำมันมะรุม: น้ำมันมะรุมสามารถใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว

  • สกัดจากใบ: ใช้ในอุตสาหกรรมเสริมอาหารและอาหารเสริม

  • ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์: ใบมะรุมใช้ในการผลิตอาหารสัตว์

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกและประโยชน์ของมะรุม คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมจากลิงก์ต่อไปนี้:

37.) สะเดา รวม 18 คลิป 

สะเดา

สะเดา (Azadirachta indica) เป็นพืชสมุนไพรที่มีความสำคัญทั้งทางการเกษตรและอุตสาหกรรม มีรายละเอียดดังนี้:

1. การปลูกและการเก็บผลผลิต:

  • การปลูก: สะเดาชอบดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำดี และแสงแดดจัด ควรปลูกในพื้นที่ที่มีความชื้นบ้างเล็กน้อย และควรหมั่นกำจัดวัชพืชในระยะแรกปลูกถึง 2 เดือน เพื่อป้องกันการแย่งธาตุอาหารและแสงแดด ​doaenews.doae.go.th+1agriman.doae.go.th+1

  • อายุของพืช: สะเดามีอายุการเก็บเกี่ยวผลผลิตประมาณ 5-6 ปี หลังปลูก และสามารถเก็บเมล็ดสะเดาได้ตลอดปี แต่การเก็บเมล็ดควรเก็บจากผลสุกที่ร่วงหล่นอยู่ใต้ต้นหรือจากกิ่งที่มีสีเหลือง เพื่อรักษาความงอกของเมล็ด ​agriman.doae.go.th

  • เทคนิคทำให้ผลผลิตเป็นที่นิยมของตลาด: การปลูกสะเดาในพื้นที่ที่เหมาะสมและการดูแลรักษาที่ดี เช่น การใส่ปุ๋ยและการกำจัดวัชพืช จะช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพดี ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด ​agriman.doae.go.th

  • ฤดูออกของสะเดา: สะเดาออกดอกและติดผลได้ตลอดปี แต่การเก็บเมล็ดสะเดาควรเก็บจากผลสุกที่ร่วงหล่นอยู่ใต้ต้นหรือจากกิ่งที่มีสีเหลือง เพื่อรักษาความงอกของเมล็ด ​agriman.doae.go.th+1Lifelong Learning Development Office+1

2. ประโยชน์ในทางต่าง ๆ:

2.1 การเกษตร:

  • ป้องกันศัตรูพืช: สารสกัดจากสะเดามีคุณสมบัติในการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืช เช่น การใช้สารสกัดจากเมล็ดสะเดาในการป้องกันแมลงในพืชต่าง ๆ ​

  • ปรับปรุงดิน: การปลูกสะเดาช่วยปรับปรุงสภาพดิน ทำให้ดินร่วนซุยและอุดมสมบูรณ์มากขึ้น​

2.2 ทางยา:

  • รักษาโรคผิวหนัง: สารสกัดจากสะเดามีคุณสมบัติในการรักษาโรคผิวหนัง เช่น สิว ฝี และผดผื่น​

  • ลดไข้และต้านการอักเสบ: สะเดามีคุณสมบัติในการลดไข้และต้านการอักเสบ​

2.3 โภชนาการ:

  • ยอดสะเดา: ยอดสะเดามีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น มีพลังงาน 86 กิโลแคลอรี น้ำ 77.9 กรัม โปรตีน 5.4 กรัม ไขมัน 0.5 กรัม คาร์โบไฮเดรต 14.7 กรัม และแร่ธาตุอื่น ๆ ​Thailand Plus+1doaenews.doae.go.th+1

2.4 ทางอุตสาหกรรม:

  • ผลิตภัณฑ์สมุนไพร: สารสกัดจากสะเดาใช้ในการผลิตยารักษาโรคและผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ​

  • ผลิตภัณฑ์กำจัดศัตรูพืช: สารสกัดจากสะเดาใช้ในการผลิตยาฆ่าแมลงอินทรีย์​

  • ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง: สารสกัดจากสะเดาใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ เนื่องจากมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบและฆ่าเชื้อ​

3. การควบคุมศัตรูของสะเดาโดยไม่ใช้สารเคมี:

  • การใช้สารสกัดธรรมชาติ: การใช้สารสกัดจากสะเดาในการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูพืช เช่น การใช้สารสกัดจากเมล็ดสะเดาในการป้องกันแมลงในพืชต่าง ๆ ​

  • การใช้วิธีธรรมชาติอื่น ๆ: การใช้วิธีธรรมชาติในการป้องกันศัตรูพืช เช่น การใช้ศัตรูธรรมชาติของแมลงศัตรูพืช หรือการหมุนเวียนพืช​

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาจากแหล่งข้อมูลดังต่อไปนี้:

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาและการปฏิบัติครับ!

ที่มา

ขมิ้นชัน

38.) ขมิ้นชัน รวม 72 คลิป 

ขมิ้นชัน (Curcuma longa) เป็นพืชสมุนไพรที่มีการใช้ทั้งในทางการเกษตรและอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้:

1. การปลูกและการเก็บผลผลิต:

  • การปลูก: ขมิ้นชันมักปลูกในพื้นที่ดินร่วนซุยและมีการระบายน้ำดี สามารถปลูกได้ในดินที่มี pH 5.5-7.0 และควรได้รับแสงแดดเต็มที่

  • อายุของพืช: ขมิ้นชันมักใช้เวลาปลูกประมาณ 7-10 เดือน จึงจะเก็บเกี่ยวได้ ซึ่งช่วงเวลานี้จะขึ้นอยู่กับการเจริญเติบโตและลักษณะดิน

  • การเก็บผลผลิต: เก็บเกี่ยวขมิ้นชันเมื่อใบเริ่มแห้งหรือยุบลง ซึ่งแสดงว่าหัวขมิ้นได้พัฒนาเต็มที่แล้ว

  • เทคนิคทำให้ผลผลิตเป็นที่นิยม: เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ควรเลือกพันธุ์ที่ดีและดูแลสภาพแวดล้อมในการปลูก เช่น การให้ปุ๋ยอินทรีย์อย่างสม่ำเสมอ และรักษาความชื้นในดิน

2. การควบคุมศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี:

  • ควบคุมศัตรูพืชได้โดยการใช้สารธรรมชาติ เช่น การใช้เมล็ดสะเดาหรือข่าเพื่อลดการระบาดของแมลงหรือโรคต่าง ๆ

  • การใช้การหมุนเวียนพืชและการปลูกพืชร่วมที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในแปลงเกษตร

3. ประโยชน์ในทางต่าง ๆ:

2.1 การเกษตร:

  • ปรับปรุงดิน: ขมิ้นชันช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและลดความเป็นกรดในดิน นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นพืชหมุนเวียนที่ช่วยให้ดินมีคุณภาพดีขึ้น

2.2 ทางยา:

  • สรรพคุณทางยา: ขมิ้นชันมีสารเคอร์คูมิน (curcumin) ที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ มีการใช้ในตำรับยาเพื่อรักษาโรคข้อเสื่อม โรคมะเร็งบางประเภท และช่วยในการย่อยอาหาร

2.3 โภชนาการ:

  • ประโยชน์ทางโภชนาการ: ขมิ้นชันเป็นแหล่งของวิตามิน C และ B6 รวมถึงแร่ธาตุ เช่น เหล็กและแมงกานีส ซึ่งช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและการทำงานของระบบย่อยอาหาร

2.4 ทางอุตสาหกรรม:

  • ใช้ในอุตสาหกรรม: ขมิ้นชันถูกใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และยา เนื่องจากมีสารต้านการอักเสบและบำรุงผิว

4. ฤดูกาลการออกผล:

  • ขมิ้นชันจะออกผลผลิตในช่วงปลายฝนถึงฤดูหนาว โดยการปลูกในช่วงฤดูฝนจะช่วยให้มีผลผลิตที่ดีเนื่องจากมีน้ำฝนช่วยในการเจริญเติบโต

Link สำหรับศึกษาเพิ่มเติม:

39.) กระชายดำ รวม 39 คลิป 

กระชายดำ

กระชายดำ (Black Ginger) เป็นพืชที่มีคุณค่าทางการเกษตรและมีประโยชน์ในทางยา โภชนาการ และอุตสาหกรรม ดังนี้:

1. การปลูกและการเก็บผลผลิต

  • อายุของพืช: กระชายดำมีระยะเวลาเติบโตประมาณ 6-9 เดือน หลังจากปลูกถึงเวลาเก็บเกี่ยว

  • การปลูก: ควรปลูกในดินร่วนซุยที่ระบายน้ำดี และในที่ที่มีแสงแดดเต็มที่ หรือครึ่งวัน

  • การเก็บผลผลิต: ส่วนที่ใช้ในการเก็บเกี่ยวคือราก ซึ่งจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่อพืชมีอายุประมาณ 6-9 เดือน ขึ้นอยู่กับพันธุ์และสภาพการเติบโต

  • การควบคุมศัตรู: การควบคุมศัตรูพืช เช่น เพลี้ย หนอน และโรคต่าง ๆ สามารถทำได้โดยใช้วิธีการทางธรรมชาติ เช่น การใช้สมุนไพรพืชไล่แมลง หรือการใช้สารชีวภาพที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

2. ประโยชน์

2.1 การเกษตร

  • ใช้เป็นพืชหมุนเวียน: กระชายดำสามารถปลูกในพื้นที่ที่มีการปลูกพืชหลักอื่น ๆ เช่น ข้าว หรือพืชตระกูลถั่ว เพื่อช่วยฟื้นฟูดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์

  • ใช้ในการควบคุมวัชพืช: ด้วยลักษณะการเติบโตที่หนาทึบ กระชายดำสามารถช่วยลดการเจริญเติบโตของวัชพืชในพื้นที่

2.2 ทางยา

  • กระชายดำเป็นสมุนไพรที่ใช้ในยาบำรุงร่างกาย มีสารสกัดที่ช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยในการย่อยอาหาร

  • คุณสมบัติทางยา: ใช้ในการบรรเทาอาการปวด บำรุงกำลัง และช่วยลดการอักเสบในร่างกาย

  • ใช้ในการบำรุงผิวพรรณและช่วยลดอาการอ่อนเพลีย

2.3 โภชนาการ

  • กระชายดำมีสารอาหาร เช่น ฟลาโวนอยด์ แอนตี้ออกซิแดนท์ และแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกาย เช่น เหล็ก และแมกนีเซียม

  • มีคุณสมบัติในการบำรุงระบบการย่อยอาหาร ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย

2.4 ทางอุตสาหกรรม

  • กระชายดำถูกนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยการสกัดสารที่มีคุณค่าทางยา

  • ใช้ในการผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณ เนื่องจากสารที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและแอนตี้ออกซิแดนท์

3. ฤดูออก

  • กระชายดำมักจะเก็บเกี่ยวในช่วงปลายฤดูฝนและต้นฤดูหนาว เนื่องจากอายุการเจริญเติบโตของพืชที่ใช้เวลาประมาณ 6-9 เดือน

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง:

40.) บอระเพ็ด รวม 8 คลิป 

บอระเพ็ด

บอระเพ็ด (Tinospora crispa) เป็นพืชสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย พม่า ลาว กัมพูชา อินเดีย และศรีลังกา ​DisThai

1. การปลูกบอระเพ็ด

  • การปลูก: บอระเพ็ดนิยมปลูกตามโคนไม้ใหญ่ กอไผ่ หรือริมรั้ว โดยการเตรียมดินควรขุดหลุมกว้าง ยาว และลึก ประมาณ 30x30x20 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ​สถาบันการแพทย์แผนไทย

  • อายุของพืช: บอระเพ็ดสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 1-2 ปี โดยผลผลิตจะเพิ่มขึ้นตามอายุของพืช ​สถาบันการแพทย์แผนไทย

  • การเก็บผลผลิต: การเก็บเกี่ยวทำได้โดยการดึงเถาของบอระเพ็ด แล้วตัดเป็นท่อน ๆ โดยตัดโคนไว้เพื่อให้เกิดต้นใหม่ ​สถาบันการแพทย์แผนไทย

  • เทคนิคทำให้ผลผลิตเป็นที่นิยมของตลาด:

    • การขยายพันธุ์: ใช้วิธีการปักชำเถา โดยตัดเถายาวประมาณ 7-8 นิ้ว ปักลงในถุงเพาะชำ รดน้ำให้ชุ่มชื้น ประมาณ 2-3 สัปดาห์ จะเริ่มแตกยอดอ่อน ​สถาบันการแพทย์แผนไทย

    • การดูแลรักษา: บอระเพ็ดเป็นพืชทนแล้ง ควรรดน้ำครั้งแรกที่ปลูกก็เพียงพอ หรือปล่อยตามธรรมชาติได้ ​สถาบันการแพทย์แผนไทย

  • เดือนที่เป็นฤดูออกของบอระเพ็ด: บอระเพ็ดสามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล แต่ฤดูฝนในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคมเป็นช่วงที่เหมาะสม เนื่องจากมีความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ​สถาบันการแพทย์แผนไทย

  • การควบคุมศัตรูของบอระเพ็ดโดยไม่ใช้สารเคมี: บอระเพ็ดไม่นิยมใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช เนื่องจากไม่มีโรคและแมลงรบกวนมากนัก ​สถาบันการแพทย์แผนไทย

2. ประโยชน์ของบอระเพ็ด

  • 2.1 การเกษตร: บอระเพ็ดสามารถใช้เป็นพืชร่วมปลูกกับพืชอื่น ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและป้องกันการเกิดโรค ​

  • 2.2 ทางยา: บอระเพ็ดมีสรรพคุณทางยาหลากหลาย เช่น แก้ไข้ แก้ร้อนใน บำรุงร่างกาย และช่วยย่อยอาหาร ​DisThai

  • 2.3 โภชนาการ: ลำต้นและใบของบอระเพ็ดสามารถใช้ผสมในอาหารสัตว์ หรือให้สัตว์กินโดยตรง เพื่อเสริมสร้างร่างกายและรักษาโรคในสัตว์ ​DisThai

  • 2.4 ทางอุตสาหกรรม: บอระเพ็ดสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ยาสมุนไพร น้ำยาไล่แมลง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ​

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกและขยายพันธุ์บอระเพ็ด สามารถรับชมวิดีโอด้านล่างนี้: https://youtu.be/oifhWKDkOow

กะหล่ำปลี

41.) กะหล่ำปลี รวม 26 คลิป 

กะหล่ำปลีเป็นพืชผักที่ได้รับความนิยมในการบริโภคอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีรสชาติอร่อยและคุณค่าทางโภชนาการสูง การปลูกกะหล่ำปลีให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ จำเป็นต้องมีความรู้และเทคนิคที่เหมาะสม ดังนี้:

1. การปลูกกะหล่ำปลี

  • การปลูก: กะหล่ำปลีเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนโปร่งที่มีความชื้นสูง ควรปลูกในพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดเต็มที่ตลอดวัน ​chiataigroup.com+1Garden & Farm+1

  • อายุของพืช: กะหล่ำปลีพันธุ์เบามีอายุการเก็บเกี่ยวประมาณ 50-60 วันหลังย้ายต้นกล้า ส่วนพันธุ์หนักใช้เวลาประมาณ 120 วัน ​Garden & Farm+1Lifelong Learning Development Office+1

  • การเก็บผลผลิต: ควรเก็บเกี่ยวเมื่อหัวกะหล่ำปลีห่อแน่นและมีขนาดพอเหมาะ โดยใช้มีดตัดให้มีใบนอกหุ้มเพื่อป้องกันความเสียหายระหว่างการขนส่ง ​Lifelong Learning Development Office

  • เทคนิคทำให้ผลผลิตได้ดอกใหญ่ สวยงาม เป็นที่นิยมของตลาด:

    • การเตรียมดิน: ควรเตรียมดินให้ร่วนซุยและมีการระบายน้ำดี​

    • การเลือกสายพันธุ์: เลือกพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศและมีความต้านทานโรค เช่น พันธุ์แพชชั่น ​chiataigroup.com

    • การบำรุงรักษา: ให้น้ำสม่ำเสมอและลดปริมาณน้ำเมื่อกะหล่ำปลีเข้าปลีเต็มที่ เพื่อป้องกันการแตกของปลี ​Garden & Farm

  • เดือนที่เป็นฤดูปลูกของกะหล่ำปลี: ฤดูปลูกที่เหมาะสมอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงมกราคม ซึ่งสภาพอากาศเย็นเหมาะกับการเจริญเติบโตของกะหล่ำปลี ​Garden & Farm

  • การควบคุมศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี:

    • การใช้เชื้อแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis (Bt): เป็นจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดหนอนผีเสื้อศัตรูพืช ​

    • การใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพร: เช่น สารสกัดจากสะเดา หรือตะไคร้หอม เพื่อไล่แมลงศัตรูพืช ​Rak Bankerd

    • การปลูกพืชแบบผสมผสาน: เพื่อสร้างความหลากหลายและลดการระบาดของศัตรูพืช ​กรมการปกครอง

2. ประโยชน์ของกะหล่ำปลี

  • 2.1 การเกษตร: กะหล่ำปลีเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ สามารถปลูกได้ตลอดปีและให้ผลผลิตสูง หากมีการจัดการที่ดี ​chiataigroup.com

  • 2.2 ทางยา: กะหล่ำปลีมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง และมีวิตามินซีสูงที่เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน​

  • 2.3 โภชนาการ: เป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินเค วิตามินบี6 โฟเลต และไฟเบอร์ ที่ช่วยในการย่อยอาหารและบำรุงสุขภาพ​

  • 2.4 ทางอุตสาหกรรม: กะหล่ำปลีสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น กะหล่ำปลีดอง หรือใช้ในอุตสาหกรรมอาหารแช่แข็ง​

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและเทคนิคการปลูกกะหล่ำปลี สามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้:

42.) ข้าวไทย รวม 19 คลิป 

ข้าว

คู่มือการปลูกข้าวเจ้า (ข้าวหอมมะลิ) แบบละเอียด พร้อมเทคนิคป้องกันศัตรูพืช

เจ้าข้าวหรือข้าวหอมมะลิเป็นข้าวพันธุ์ไทยที่มีมูลค่าสูง การปลูกให้ได้ผลผลิตดีต้องอาศัยเทคนิคเฉพาะตั้งแต่การเตรียมดินจนถึงเก็บเกี่ยว รวมถึงการป้องกันศัตรูพืชอย่างถูกวิธี

 

1. การเตรียมพื้นที่ปลูก

1.1 การเลือกพื้นที่

  • ดินเหมาะสม: ดินร่วนปนทราย มีค่า pH 5.0-6.5

  • แหล่งน้ำ: มีน้ำเพียงพอตลอดฤดูปลูก (ข้าวหอมมะลิต้องการน้ำสูง)

  • แสงแดด: ได้รับแสงเต็มที่วันละ 6-8 ชั่วโมง

1.2 การเตรียมดิน

  1. ไถดะ: ลึก 15-20 ซม. ตากดิน 7-10 วัน

  2. ไถแปร: 2 ครั้ง ห่างกัน 5-7 วัน

  3. ปรับระดับดิน: ให้สม่ำเสมอเพื่อควบคุมน้ำ

  4. ใส่ปุ๋ยพื้นฐาน: ปุ๋ยคอก 2-3 ตัน/ไร่ + ปุ๋ยสูตร 16-16-8 อัตรา 30 กก./ไร่

 

2. การปลูกและดูแลรักษา

2.1 วิธีการปลูก

วิธีการรายละเอียดข้อดี

หว่านน้ำตมหว่านเมล็ดพันธุ์ 15-20 กก./ไร่ ในนาที่มีน้ำขังประหยัดแรงงาน

ปักดำใช้ต้นกล้าอายุ 25-30 วัน ปักดำ 5-7 ต้น/กอควบคุมวัชพืชดี

2.2 การจัดการน้ำ

  • ระยะกล้า: ระดับน้ำ 3-5 ซม.

  • ระยะแตกกอ: 10-15 ซม.

  • ระยะออกดอก: ลดน้ำเหลือ 5 ซม.

  • ระยะสุก: ระบายน้ำออกให้ดินแห้ง

2.3 การให้ปุ๋ย

  1. ครั้งที่ 1: หลังปลูก 15-20 วัน (สูตร 16-16-8)

  2. ครั้งที่ 2: ระยะแตกกอ (สูตร 21-0-0)

  3. ครั้งที่ 3: ระยะสร้างช่อดอก (สูตร 0-0-60)

 

3. การป้องกันศัตรูพืชแบบผสมผสาน

3.1 ศัตรูพืชหลักและวิธีป้องกัน

ศัตรูพืชอาการการป้องกัน

หนอนกระทู้ข้าวกินใบเป็นรอยขวาง- ใช้เชื้อ Bt (Bacillus thuringiensis)
- ปลูกพืชสมุนไพรรอบแปลง

เพลี้ยกระโดดใบเหลืองแห้ง- ใช้เชื้อราเมธาไรเซียม
- ควบคุมระดับน้ำ

โรคไหม้แผลใบรูปตาเหยี่ยว- ใช้เชื้อไตรโคเดอร์มา
- ปลูกพันธุ์ต้านทาน

3.2 เทคนิคป้องกันแบบธรรมชาติ

  1. การใช้ชีวภัณฑ์:

    • เชื้อราบิวเวอเรีย: ควบคุมเพลี้ยและหนอน

    • เชื้อไตรโคเดอร์มา: ป้องกันโรคพืช

  2. การปลูกพืชไล่แมลง:

    • ตะไคร้หอม: ปลูกเป็นแนวรอบแปลง

    • ดาวเรือง: ดักจับแมลงศัตรู

  3. การใช้กับดัก:

    • กับดักแสงไฟ: จับแมลงกลางคืน

    • กับดักกาวเหนียว: สีเหลืองดักเพลี้ย

 

4. การเก็บเกี่ยวและหลังเก็บเกี่ยว

4.1 การเก็บเกี่ยว

  • อายุเก็บเกี่ยว: 120-130 วันหลังปลูก

  • วิธีสังเกต: เมล็ดข้าวมีสีเหลืองทอง 85-90%

  • วิธีการ: ใช้เครื่องเกี่ยวนวดหรือเคียวเกี่ยว

4.2 การลดความสูญเสีย

  1. การตากข้าว:

    • ตากบนลานซีเมนต์ 2-3 แดด

    • ความชื้นไม่เกิน 14%

  2. การเก็บรักษา:

    • ใช้กระสอบป่านเก็บในที่แห้ง

    • โรยใบมะกรูดป้องกันมอด

 

5. เทคนิคเพิ่มผลผลิตและคุณภาพ

5.1 การเพิ่มผลผลิต

  • ใช้พันธุ์ดี: เช่น ข้าวหอมมะลิ 105

  • การคลุกเมล็ดพันธุ์: ด้วยสารชีวภาพก่อนปลูก

  • การปรับปรุงดิน: ปลูกพืชปุ๋ยสดสลับ

5.2 การเพิ่มคุณภาพ

  • ควบคุมน้ำช่วงออกดอก: เพิ่มความหอม

  • ลดปุ๋ยไนโตรเจนช่วงสุก: ลดการหักล้ม

  • เก็บเกี่ยวเวลาเหมาะสม: ได้เปอร์เซ็นต์ต้นข้าวสูง

 

6. ตารางปฏิทินการปลูก

หัวข้อ     /  ระยะการปลูก    / เวลา (วัน)    /  กิจกรรมสำคัญ

   /  เตรียมดิน   /1-15     /  ไถดะ ไถแปร ใส่ปุ๋ยพื้นฐาน

   /  ปลูก           /  16-30    / หว่านหรือปักดำ

   / แตกกอ        /  31-60     /   ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2

   / สุก  /  91-120  / ระบายน้ำออก

  /  เก็บเกี่ยว  / 121-130  /ตากและเก็บรักษา

 

7. การคำนวณต้นทุนและผลตอบแทน

  • ต้นทุนเฉลี่ย: 5,000-6,000 บาท/ไร่

  • ผลผลิต: 500-600 กก./ไร่

  • รายได้: 10,000-15,000 บาท/ไร่ (ขึ้นกับราคาตลาด)

การปลูกเจ้าข้าวให้ได้ผลผลิตสูงและคุณภาพดีต้องอาศัยการจัดการที่เหมาะสมทุกขั้นตอน โดยเฉพาะการป้องกันศัตรูพืชแบบผสมผสานจะช่วยลดความเสียหายได้มากกว่าการใช้สารเคมีเพียงอย่างเดียว

ข้าวเจ้าเป็นพืชหลักที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศไทย ข้อมูลต่อไปนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับการปลูก การดูแล และประโยชน์ของข้าวเจ้าในด้านต่าง ๆ

1. การปลูกข้าวเจ้า

  • การปลูก: การปลูกข้าวเจ้าให้ได้ผลผลิตสูงควรใช้พันธุ์ข้าวที่ดี มีการเตรียมดินที่เหมาะสม และดูแลรักษาอย่างถูกต้อง การเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ที่ได้มาตรฐานและปราศจากโรค แมลง และเมล็ดวัชพืชเป็นสิ่งสำคัญ ​Rice Thailand+1kasetnumchok.com+1

  • อายุของพืช: อายุการเจริญเติบโตของข้าวเจ้าขึ้นอยู่กับพันธุ์และสภาพแวดล้อม โดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 100-130 วัน นับจากการปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยว​

  • การเก็บผลผลิต: การเก็บเกี่ยวข้าวเจ้าในเวลาที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง ควรเก็บเกี่ยวเมื่อเมล็ดข้าวสุกเต็มที่และมีความชื้นประมาณ 20-25%​

  • การควบคุมศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี: การจัดการศัตรูพืชแบบไม่ใช้สารเคมีสามารถทำได้โดยการสำรวจแปลงนาอย่างสม่ำเสมอ ใช้กับดักแสงไฟกำจัดแมลง ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น สะเดา และกำจัดวัชพืชรอบ ๆ แปลงนา เนื่องจากเป็นแหล่งอาศัยของแมลงศัตรูพืช ​ศูนย์วิทยบริการเพื่อส่งเสริมการเกษตร

2. ประโยชน์ของข้าวเจ้า

2.1 การเกษตร

  • พืชเศรษฐกิจหลัก: ข้าวเจ้าเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศไทย มีการปลูกในทุกภูมิภาคและเป็นแหล่งรายได้สำคัญของเกษตรกร​

2.2 ทางยา

  • บำรุงสุขภาพ: ข้าวกล้องมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิวพรรณ และเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท ​ผู้จัดการออนไลน์

2.3 โภชนาการ

  • คุณค่าทางโภชนาการ: ข้าวเจ้าเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ มีวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินบี วิตามินอี ธาตุเหล็ก และสังกะสี ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย ​ผู้จัดการออนไลน์

2.4 ทางอุตสาหกรรม

  • การแปรรูป: ข้าวเจ้าใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น การผลิตแป้งข้าวเจ้า เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ​กรุงศรี+1RDI KU+1

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม คุณสามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้:

  • การปลูกและดูแลรักษาข้าว

  • การจัดการแมลงศัตรูข้าว

  • ประโยชน์ของข้าว

  • ผลิตภัณฑ์ข้าวไทย    

  • 1. สายพันธุ์ข้าวเจ้าที่นิยมในตลาดผู้บริโภคในไทย

  • ข้าวหอมมะลิ 105: เป็นข้าวที่มีกลิ่นหอมคล้ายใบเตย เมล็ดเรียวยาว เมื่อหุงสุกจะนุ่มและมีกลิ่นหอม​Nutrition 2+5kas.siamkubota.co.th+5Wongnai+5

  • ข้าวปทุมธานี 1: มีลักษณะเมล็ดเรียวยาว คุณภาพการหุงต้มดี มีกลิ่นหอมเล็กน้อย​Sandee+1bangkokbiznews+1

  • ข้าวเสาไห้: เมล็ดเรียวยาว หุงขึ้นหม้อ ข้าวสุกหอม นุ่ม และเสียยาก​Sandee+2kas.siamkubota.co.th+2Thai PBS+2

  • ข้าวไรซ์เบอร์รี่: เป็นข้าวสีม่วงเข้ม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง​kas.siamkubota.co.th

  • ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้: เป็นข้าวหอมมะลิที่ปลูกในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ มีคุณภาพสูง​ประชาชาติธุรกิจ+7kas.siamkubota.co.th+7Thai PBS+7

  • 2. สายพันธุ์ข้าวเจ้าที่นิยมในตลาดต่างประเทศ

  • ข้าวหอมมะลิไทย: เป็นที่นิยมในหลายประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ​

  • ข้าวบาสมาติ: แม้จะเป็นข้าวจากอินเดียและปากีสถาน แต่มีความต้องการสูงในตลาดสหรัฐอเมริกา ​กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ

  • ข้าวหอมแดงสหรัฐฯ: เป็นข้าวหอมที่ผลิตในสหรัฐฯ มีลักษณะเมล็ดสีน้ำตาลแดง ​bangkokbiznews+3กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ+3Sandee+3

  • 3. ประเทศที่นำเข้าข้าวไทยมากที่สุด

  • สหรัฐอเมริกา: เป็นตลาดนำเข้าข้าวหอมมะลิไทยที่สำคัญ ​bangkokbiznews+5Thai PBS+5กรมการขนส่งทางบก+5

  • จีน: มีการนำเข้าข้าวจากไทยอย่างต่อเนื่อง​

  • อินโดนีเซีย: เป็นตลาดนำเข้าข้าวไทยที่สำคัญในเอเชีย​

  • ฟิลิปปินส์: มีการนำเข้าข้าวจากไทยเพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศ​

  • มาเลเซีย: นำเข้าข้าวไทยเพื่อการบริโภคภายในประเทศ​

  • แอฟริกาใต้: เป็นตลาดนำเข้าข้าวไทยที่สำคัญในทวีปแอฟริกา​

  • ญี่ปุ่น: มีการนำเข้าข้าวไทยบางส่วนเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค​

  • สิงคโปร์: นำเข้าข้าวไทยเพื่อการบริโภคภายในประเทศ​

  • ฮ่องกง: มีการนำเข้าข้าวไทยเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค​

  • ออสเตรเลีย: นำเข้าข้าวไทยเพื่อการบริโภคภายในประเทศ​

  • สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสายพันธุ์ข้าวและตลาดข้าวไทย สามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้:

  • รู้จัก 10 พันธุ์ข้าวที่น่าสนใจในไทย

  • 12 สายพันธุ์ข้าวและประเภทของข้าวในประเทศไทย

  • รายงานตลาดสินค้าข้าวในสหรัฐอเมริกา

43.) อาโวคาโด  รวม 1 คลิป 

อาโวคาโด

อะโวคาโดเป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและกำลังได้รับความนิยมในประเทศไทย ทั้งในด้านการบริโภคและการปลูกเพื่อการค้า ข้อมูลต่อไปนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับการปลูก การดูแล และประโยชน์ของอะโวคาโดในด้านต่าง ๆ

1. การปลูกอะโวคาโด

  • การปลูก: อะโวคาโดสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น การเพาะเมล็ด การติดตา การต่อกิ่ง และการเสียบยอด อย่างไรก็ตาม การเพาะเมล็ดไม่นิยมใช้สำหรับการผลิตผล เนื่องจากใช้เวลานานถึง 6-7 ปีกว่าจะให้ผลผลิต ​ศูนย์วิทยบริการเพื่อส่งเสริมการเกษตร

  • อายุของพืช: ต้นอะโวคาโดที่ได้จากการต่อกิ่งหรือติดตาจะเริ่มให้ผลผลิตเมื่ออายุประมาณ 3-4 ปี ขึ้นอยู่กับพันธุ์และสภาพแวดล้อม​

  • การเก็บผลผลิต: การเก็บเกี่ยวอะโวคาโดควรพิจารณาจากอายุของผลหลังดอกบาน โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์และสภาพแวดล้อม การนับอายุผลหลังจากดอกบาน 50% ของช่อดอกจนถึงเก็บเกี่ยวเป็นวิธีที่แม่นยำในการกำหนดเวลาเก็บเกี่ยว ​hrdi.or.th

  • การควบคุมศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี: โรครากเน่าเป็นปัญหาสำคัญในการปลูกอะโวคาโด ควรมีการระบายน้ำที่ดีในแปลงปลูก หลีกเลี่ยงน้ำขัง และใช้ต้นตอที่ปราศจากโรค นอกจากนี้ การอบดินด้วยความร้อนหรือไอน้ำเดือดก่อนปลูกจะช่วยลดการเกิดโรคได้ ​https://hkm.hrdi.or.th

2. ประโยชน์ของอะโวคาโด

2.1 การเกษตร

  • พืชเศรษฐกิจทางเลือก: อะโวคาโดเป็นพืชเศรษฐกิจที่น่าสนใจ เนื่องจากมีความต้องการในตลาดสูงและสามารถปลูกได้ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ​ห้องสมุด สถาบันการศึกษาแห่งชาติ

2.2 ทางยา

  • บำรุงสุขภาพ: อะโวคาโดมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยบำรุงผิวพรรณ มีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และบำรุงสมองและระบบประสาท ​Medium

2.3 โภชนาการ

  • คุณค่าทางโภชนาการ: อะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุกว่า 20 ชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง โรคความดัน และโรคหัวใจและหลอดเลือด ​ห้องสมุด สถาบันการศึกษาแห่งชาติ+1www.sanook.com+1

  • โปรตีนสูง: อะโวคาโดมีโปรตีนสูงกว่าผลไม้สดอื่น ๆ ประมาณ 0.8–1.7% และมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ​RDI KU

2.4 ทางอุตสาหกรรม

  • น้ำมันอะโวคาโด: น้ำมันที่สกัดจากเนื้ออะโวคาโดมีวิตามินอี กรดไขมัน linoleic และ oleic ซึ่งดูดซึมสู่ผิวหนังได้ดี ใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเส้นผม ​explore.nrct.go.th

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม คุณสามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้:

นอกจากนี้ คุณอาจสนใจวิดีโอนี้ที่อธิบายเกี่ยวกับเทคนิคการปลูกอะโวคาโด:

เทคนิคการปลูกอะโวคาโดให้ได้ผลผลิตดี

ที่มา

44.) มะกรูด  รวม 36 คลิป 

มะกรูด

44.1) มะกรูดระยะประชิด  รวม 13 คลิป 

45.) ดอกอัญชัน  รวม 21 คลิป 

ดอกอัญชัน

มะกรูดเป็นพืชสมุนไพรที่มีความสำคัญในหลายด้าน ทั้งการเกษตร การแพทย์ โภชนาการ และอุตสาหกรรม ดังนี้:

1. การปลูกมะกรูด

  • การปลูก: มะกรูดสามารถปลูกได้โดยการเพาะเมล็ดหรือการตอนกิ่ง ควรปลูกในดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำดี และมีแสงแดดเพียงพอ การปลูกระยะชิด (เช่น 1x1 เมตร) เหมาะสำหรับการตัดใบขาย เนื่องจากช่วยให้ได้ผลผลิตสูงขึ้น ​Log in or sign up to view

  • อายุของพืช: มะกรูดจะเริ่มเก็บเกี่ยวใบได้เมื่ออายุประมาณ 2-3 ปี ส่วนผลมะกรูดจะเริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 3-4 ปีขึ้นไป ​hort.ezathai.org

  • การเก็บผลผลิต (โดยเฉพาะใบมะกรูด): การเก็บใบมะกรูดควรทำเมื่อใบมีขนาดเต็มที่และสีเขียวเข้ม การตัดแต่งกิ่งที่อยู่ในแนวนอนออก และรักษาความสูงของต้นให้อยู่ที่ 60-80 เซนติเมตร จะช่วยกระตุ้นการแตกยอดใหม่และเพิ่มผลผลิตใบ ​เทคโนโลยีชาวบ้าน+1Log in or sign up to view+1

  • การควบคุมศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี: โรคที่สำคัญของมะกรูดคือโรคแคงเกอร์ การป้องกันสามารถทำได้โดยการตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรคและทำลายทิ้ง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการให้น้ำบนใบเพื่อลดความชื้นที่เอื้อต่อการเกิดโรค ​เทคโนโลยีชาวบ้าน

2. ประโยชน์ของมะกรูด

2.1 การเกษตร

  • การใช้เป็นสารไล่แมลง: น้ำมันหอมระเหยจากมะกรูดมีคุณสมบัติในการไล่ยุงและแมลงต่าง ๆ โดยการนำเปลือกมาตากแห้งแล้วเผาไฟ หรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงและแมลง ​Log in or sign up to view+1ชีวาสิทธิ์+1

2.2 ทางยา

  • บำรุงสุขภาพภายในสตรี: น้ำมะกรูดมีสรรพคุณในการบำรุงเซลล์ไข่ บำรุงเลือด บำรุงมดลูก และปรับสมดุลฮอร์โมนในสตรี ​BabyAndMom.co.th

  • ต้านอนุมูลอิสระ: มะกรูดมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ​ผู้จัดการออนไลน์+1ชีวาสิทธิ์+1

  • ลดความเครียดและบำรุงหัวใจ: น้ำมันหอมระเหยจากมะกรูดช่วยผ่อนคลายความเครียด และมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอล บำรุงหัวใจ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ​HDmall Thailand+1ชีวาสิทธิ์+1

2.3 โภชนาการ

  • ส่วนประกอบในอาหาร: ใบมะกรูดนิยมใช้ในการประกอบอาหารไทย เช่น แกงเผ็ด ต้มยำ และห่อหมก เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ​mdu16.rtarf.mi.th

  • คุณค่าทางโภชนาการ: ใบและผิวมะกรูดมีสารอาหารหลายชนิด เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี1 บี2 ไนอะซิน และวิตามินซี ​ห้องสมุดดิจิทัลกรมส่งเสริมวัฒนธรรม

2.4 ทางอุตสาหกรรม

  • ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผิวพรรณ: น้ำมะกรูดถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์สระผมเพื่อทำความสะอาด ทำให้ผมดกเงางาม ป้องกันผมหงอก และแก้ปัญหาผมร่วง นอกจากนี้ยังใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อช่วยทำให้ผิวไม่แห้ง ​ผู้จัดการออนไลน์

  • อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม: น้ำมันหอมระเหยจากมะกรูดถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติ ​ชีวาสิทธิ์

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้:

นอกจากนี้ คุณอาจสนใจวิดีโอนี้ที่อธิบายเกี่ยวกับการปลูกมะกรูดตัดใบเชิงการค้า:

การปลูกมะกรูดตัดใบเชิงการค้า

ดอกอัญชันเป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์หลากหลายทั้งในด้านการเกษตร การแพทย์ โภชนาการ และอุตสาหกรรม ดังนี้:

1. การปลูกดอกอัญชัน

  • การปลูก: ดอกอัญชันเป็นพืชที่ปลูกง่ายและเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย สามารถปลูกได้โดยการเพาะเมล็ด โดยควรปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดเพียงพอ เช่น ริมรั้ว แนวคันดิน หรือริมสระน้ำ ​Site Title+3Log in or sign up to view+3Log in or sign up to view+3

  • อายุของพืช: อัญชันสายพันธุ์ 7-1-16 มีอายุเก็บเกี่ยวผลผลิตเพียง 34 วันหลังปลูก ซึ่งเร็วกว่าสายพันธุ์ทั่วไป ​Site Title

  • การเก็บผลผลิต: ดอกอัญชันควรเก็บในช่วงเช้าเมื่อดอกบานเต็มที่ หลังจากเก็บแล้ว ควรนำมาตากแดดหรือนำไปอบเพื่อทำให้อัญชันแห้งสนิท ซึ่งจะช่วยให้เก็บรักษาได้นานและคงคุณภาพของดอก ​ฐานข้อมูลองค์ความรู้มหาวิทยาลัยแม่โจ้

  • การควบคุมศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี: ควรใช้วิธีการปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ เช่น การใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกในการบำรุงดิน และการใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพรในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืช เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี ​

2. ประโยชน์ของดอกอัญชัน

2.1 การเกษตร

  • พืชคลุมดินและปรับปรุงดิน: อัญชันสามารถปลูกเป็นพืชคลุมดินเพื่อป้องกันการชะล้างของดิน และช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน ​lddmordin.ldd.go.th

  • การปลูกเป็นแนวรั้วธรรมชาติ: ด้วยลักษณะเป็นไม้เลื้อย อัญชันสามารถปลูกเป็นแนวรั้วเพื่อความสวยงามและใช้ประโยชน์ในการเก็บดอกได้​aopdh08.doae.go.th

2.2 ทางยา

  • บำรุงสายตา: สารแอนโทไซยานินในดอกอัญชันช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงดวงตา ทำให้สายตาดีขึ้น ​กรมการปกครอง+1ogtitle+1

  • ต้านอนุมูลอิสระ: ดอกอัญชันมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ​Medthai

  • ลดน้ำตาลในเลือด: การบริโภคดอกอัญชันอาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน ​ogtitle+3Hello Khunmor+3กรมการปกครอง+3

2.3 โภชนาการ

  • สีผสมอาหารธรรมชาติ: ดอกอัญชันถูกนำมาใช้เป็นสีผสมอาหารธรรมชาติ เช่น การทำข้าวสีม่วง น้ำอัญชัน และขนมต่าง ๆ ​Pobpad

  • ชาสมุนไพร: ดอกอัญชันสามารถนำมาชงเป็นชาสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ​Hello Khunmor

2.4 ทางอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม: ดอกอัญชันถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อเพิ่มสีสันและคุณค่าทางโภชนาการ​

  • อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง: สารสกัดจากดอกอัญชันถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผมและผิว เนื่องจากมีคุณสมบัติในการบำรุงและต้านอนุมูลอิสระ ​Hello Khunmor

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้:

นอกจากนี้ คุณอาจสนใจวิดีโอนี้ที่อธิบายเกี่ยวกับการปลูกและแปรรูปดอกอัญชัน:

การปลูกอัญชันและทำอัญชันตากแห้งแบบธรรมชาติ ปลอดเคมี สร้างรายได้เสริม

ดอกอัญชันสามารถนำมาใช้ในอาหารและเครื่องดื่มได้หลายวิธี เช่น:

  1. น้ำอัญชัน: สามารถนำดอกอัญชันแห้งมาชงกับน้ำร้อนเพื่อทำเป็นน้ำดอกอัญชันที่มีสีฟ้าเข้ม นอกจากนี้ยังสามารถเติมน้ำมะนาวเพื่อเปลี่ยนสีเป็นสีม่วงได้

  1. ขนม: ใช้ดอกอัญชันในการทำขนมต่างๆ เช่น ขนมเค้ก ขนมโมจิ หรือขนมไทยอื่นๆ โดยสามารถใช้สีจากดอกอัญชันเพื่อให้ขนมมีสีสันสวยงาม

  1. ชา: ดอกอัญชันสามารถใช้ทำชาได้ โดยการนำดอกสดหรือแห้งมาชงกับน้ำร้อน สามารถเพิ่มน้ำตาลหรือน้ำผึ้งตามความชอบ

  1. เครื่องดื่มค็อกเทล: ใช้ดอกอัญชันเป็นส่วนผสมในค็อกเทลหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อเพิ่มสีสันและกลิ่นหอม

  1. สลัด: ใช้ดอกอัญชันสดเป็นส่วนประกอบในสลัด เพื่อเพิ่มความสวยงามและกลิ่นหอม-ซอสและน้ำจิ้ม: สามารถใช้ดอกอัญชันในการทำซอสหรือน้ำจิ้มเพื่อเพิ่มสีสันและรสชา       

  2. เรื่องประโยชน์ ของดอกอัญชัน ในเรื่อง ประโยชน์บำรุงสายตา มีคุณสมบัติป้องกันการแข็งตัวของเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก ที่ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย  รวมถึงมีแอนโธไซยานิน ซึ่งสามารถช่วยป้องกันลิ่มเลือดและปรับปรุงการไหลเวียนของเลือดได้โดยการวิจัยทางการแพทย์อยู่ในหมวดคำที่ค้นหา ใน PubMed หรือ Google Scholar โดยใช้คำค้นหาว่า "Clot dissolution butterfly pea flower" หรือ "Anticoagulant properties of butterfly pea". และ นี้คือ Link การวิจัยเกี่ยวกัยเรื่องนี้ ตามWebsite นี้  https://www.google.com/search?q=Anticoagulant+properties+of+butterfly+pea&oq=Anticoagulant+properties+of+butterfly+pea&gs_lcrp=EgZjaHJvbWUyBggAEEUYOTIHCAEQIRigATIHCAIQIRigATIHCAMQIRigATIHCAQQIRiPAjIHCAUQIRiPAtIBCDE4NDdqMGo3qAIIsAIB8QVryrjvdZ3CBg&sourceid=chrome&ie=UTF-8 

1. การศึกษาด้านการละลายลิ่มเลือด (Antithrombotic/Fibrinolytic Effects)

  • การศึกษาในหลอดทดลอง (In vitro):

    • มีงานวิจัยพบว่าสารสกัดดอกอัญชันมีสารกลุ่มเทอร์นาทิน (Ternatins) และแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ที่อาจมีฤทธิ์ต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือดและช่วยสลายลิ่มเลือด (Fibrinolytic activity) [1].

    • อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีงานวิจัยในมนุษย์ที่ยืนยันประสิทธิภาพโดยตรง

2. การลดไขมันในเลือด (Hypolipidemic Effects)

  • การศึกษาในสัตว์ทดลอง:

    • มีการศึกษาพบว่าสารสกัดดอกอัญชันอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในหนูทดลองที่ได้รับอาหารไขมันสูง [2].

    • กลไกอาจเกี่ยวข้องกับการยับยั้งการดูดซึมไขมันหรือเพิ่มการเผาผลาญ

  • การศึกษาในมนุษย์:

    • ยังมีงานวิจัยน้อยมาก และส่วนใหญ่เป็นการศึกษาเบื้องต้น เช่น การทดลองให้ผู้ดื่มชาดอกอัญชันพบว่าอาจช่วยลดความดันโลหิต แต่ไม่พบผลชัดเจนต่อระดับไขมัน [3].

3. งานวิจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

  • ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ:

    • ดอกอัญชันมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งอาจช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชันของไขมันในเลือด (Oxidized LDL) ที่นำไปสู่การอุดตันในหลอดเลือด [4].

สรุป

  • ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันชัดเจนว่าดอกอัญชันสามารถละลายลิ่มเลือดหรือลดไขมันในเส้นเลือดได้อย่างมีนัยสำคัญในมนุษย์

  • ส่วนใหญ่เป็นผลการศึกษาในระดับเซลล์หรือสัตว์ทดลอง และจำเป็นต้องวิจัยเพิ่มเติม

  • หากมีภาวะหลอดเลือดอุดตันหรือไขมันในเลือดสูง ควรปรึกษาแพทย์และใช้ยาที่ได้รับการรับรอง

ลิงก์งานวิจัยอ้างอิง

  1. Antioxidant and Fibrinolytic Effects of Clitoria ternatea

  2. Hypolipidemic Effect of Clitoria ternatea in Rats

  3. Review on Health Benefits of Butterfly Pea

  4. Antioxidant Properties of Clitoria ternatea

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม แนะนำให้ค้นหาในฐานข้อมูลเช่น PubMed, ScienceDirect, หรือ Google Scholar ด้วยคำค้นหาเช่น "Clitoria ternatea fibrinolytic" หรือ "Butterfly pea cholesterol" t

p45-1

45.) ดอกอัญชัน สรรพคุณ โปรดใช้วิจารณญาณในการชม และ การนำเอาไปใช้ รวม 9 คลิป 

ดอกอัญชัน (Clitoria ternatea) เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์หลากหลายด้าน ทั้งในเชิงยา โภชนาการ การแพทย์ และอุตสาหกรรม โดยมีงานวิจัยสนับสนุนบางส่วน ดังนี้

1. สรรพคุณทางยา (Medicinal Properties)

ดอกอัญชันมีสารออกฤทธิ์สำคัญ เช่น แอนโทไซยานิน (Anthocyanins), เทอร์นาทิน (Ternatins), ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีสรรพคุณทางยา ดังนี้

1.1 ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)

  • ช่วยลดความเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ป้องกันเซลล์ถูกทำลาย

  • การศึกษา: PMC7660772

1.2 ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory)

  • อาจช่วยลดการอักเสบในโรคข้ออักเสบและโรคเรื้อรังอื่นๆ

  • การศึกษา: PubMed

1.3 ฤทธิ์ปกป้องสมองและความจำ (Neuroprotective & Nootropic Effects)

  • สารสกัดดอกอัญชันอาจช่วยเพิ่มความจำและลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์

  • การศึกษา: ScienceDirect

1.4 ฤทธิ์ลดความดันโลหิต (Antihypertensive)

  • ช่วยขยายหลอดเลือดและลดความดันโลหิต

  • การศึกษา: Tandfonline

1.5 ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา (Antimicrobial)

  • มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียบางชนิด เช่น Staphylococcus aureus และเชื้อรา

  • การศึกษา: NCBI

2. สรรพคุณทางโภชนาการ (Nutritional Benefits)

ดอกอัญชันอุดมไปด้วยสารอาหารและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

2.1 แหล่งสารต้านอนุมูลอิสระสูง

  • มีสาร แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ซึ่งช่วยชะลอวัยและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง

2.2 ปราศจากคาเฟอีน

  • เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องดื่มสุขภาพทดแทนชาหรือกาแฟ

2.3 มีแร่ธาตุสำคัญ

  • เช่น แมกนีเซียม, โพแทสเซียม, สังกะสี

การศึกษาโภชนาการ: ResearchGate

3. สรรพคุณทางการแพทย์ (Clinical Applications)

แม้ยังขาดการศึกษาทางคลินิกในมนุษย์มากพอ แต่มีการศึกษาบางส่วนที่ชี้ถึงศักยภาพในการรักษา เช่น

3.1 ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (Antidiabetic Potential)

  • อาจช่วยเพิ่มการหลั่งอินซูลิน

  • การศึกษาในสัตว์ทดลอง: PubMed

3.2 อาจช่วยลดไขมันในเลือด (Hypolipidemic Effect)

  • ลด LDL (คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี) และไตรกลีเซอไรด์

  • การศึกษา: ScienceDirect

3.3 อาจช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร (Gastroprotective Effect)

  • ลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร

  • การศึกษา: NCBI

4. สรรพคุณทางอุตสาหกรรม (Industrial Applications)

ดอกอัญชันถูกนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม เนื่องจากมีสีธรรมชาติและสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์

4.1 การใช้เป็นสีธรรมชาติ (Natural Food Colorant)

  • สีน้ำเงินจากดอกอัญชันใช้ใน อาหาร เครื่องดื่ม ไอศกรีม และขนม แทนสีสังเคราะห์

  • การศึกษา: Food Chemistry Journal

4.2 อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง (Cosmetic Industry)

  • ใช้ใน ครีมบำรุงผิว โลชัน และแชมพู เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ

  • การศึกษา: PMC7660772

4.3 ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Nutraceuticals)

  • นำไปสกัดเป็น สารเสริมอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์ลดความเครียดหรือบำรุงสมอง

สรุป

✅ ยา → ต้านอนุมูลอิสระ, ต้านการอักเสบ, ปกป้องสมอง
✅ โภชนาการ → แหล่งสารต้านอนุมูลอิสระสูง, ปราศจากคาเฟอีน
✅ การแพทย์ → อาจช่วยลดน้ำตาลและไขมันในเลือด (ยังต้องการวิจัยเพิ่ม)
✅ อุตสาหกรรม → สีธรรมชาติ, เครื่องสำอาง, อาหารเสริม

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม แนะนำให้ค้นหาใน PubMed, ScienceDirect, หรือ Google Scholar ด้วยคำค้นหาเช่น:

  • "Clitoria ternatea medicinal uses"

  • "Butterfly pea industrial applications"

25 ดอกอัญชัน ข้อจำกัด

45.) ดอกอัญชัน  ข้อจำกัดในการนำไปใช้ รวม 5 คลิป

การบริโภคดอกอัญชัน (Butterfly Pea, Clitoria ternatea) โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยเมื่อใช้ในปริมาณปกติ เช่น ชา หรืออาหาร แต่ก็มีข้อจำกัดและข้อควรระวังบางประการที่ควรทราบ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยหรือผู้ที่ใช้ยาบางชนิด

ข้อควรระวังและข้อจำกัดในการบริโภคดอกอัญชัน

1. อาจมีผลต่อระบบเลือดและการแข็งตัวของเลือด

  • ฤทธิ์ต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือด: สารสกัดดอกอัญชันอาจมีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant/Antiplatelet) ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออกในผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด เช่น Warfarin, Aspirin, Clopidogrel

  • ควรระวังในผู้ป่วยก่อนผ่าตัด หรือผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย

2. อาจลดระดับน้ำตาลในเลือด

  • ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด (Hypoglycemic Effect): บางการศึกษาพบว่าสารสกัดดอกอัญชันอาจช่วยลดน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลอง

    • ข้อควรระวัง: ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ยาลดน้ำตาลควรตรวจสอบระดับน้ำตาลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

    • การศึกษา: S2225411017300204

3. อาจมีผลต่อความดันโลหิต

  • ฤทธิ์ลดความดันโลหิต: มีการศึกษาพบว่าสารสกัดดอกอัญชันอาจช่วยขยายหลอดเลือดและลดความดันโลหิต

    • ข้อควรระวัง: ผู้ที่ใช้ยาลดความดัน เช่น ACE inhibitors, Beta-blockers ควรบริโภคด้วยความระมัดระวัง

    • การศึกษา: Tandfonline.com

4. อาจทำให้ท้องเสียหรือคลื่นไส้

  • ผลข้างเคียงทางระบบทางเดินอาหาร: การบริโภคในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้ หรือปวดท้อง โดยเฉพาะในผู้ที่มีระบบย่อยอาหารไว

5. การแพ้ (Allergic Reaction)

  • อาการแพ้: บางคนอาจมีอาการผื่นคัน ลมพิษ หรือหายใจลำบาก หากแพ้พืชในวงศ์ Fabaceae (เช่น ถั่ว)

6. ผลต่อฮอร์โมน

  • ฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน (Phytoestrogenic Effect): มีการศึกษาว่าสารบางชนิดในดอกอัญชันอาจมีผลต่อฮอร์โมน

    • ข้อควรระวัง: ผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนไว เช่น มะเร็งเต้านมที่ไวต่อฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค

    • การศึกษา: PMC7660772

7. ไม่แนะนำในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร

  • ยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยเพียงพอ จึงควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันความเสี่ยง

สรุปข้อควรระวัง

✅ บริโภคในปริมาณปานกลาง (เช่น ชาวันละ 1-2 แก้ว)
✅ ผู้ป่วยโรคเลือด เบาหวาน ความดัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
✅ หยุดใช้ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
❌ ไม่แนะนำในหญิงตั้งครรภ์/ให้นม และผู้แพ้พืชตระกูลถั่ว

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถค้นหาในฐานข้อมูลเช่น PubMed, ScienceDirect ด้วยคำค้นหาเช่น:

  • "Clitoria ternatea side effects"

  • "Butterfly pea drug interactions"

แครอท

46.) แครอท  รวม 23 คลิป 

แครอทเป็นพืชที่มีประโยชน์หลากหลายทั้งในด้านการเกษตร การแพทย์ โภชนาการ และอุตสาหกรรม ดังนี้:​

1. ประโยชน์ทางการเกษตร

  • พืชเศรษฐกิจ: แครอทเป็นพืชที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง เนื่องจากมีความต้องการในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ เกษตรกรสามารถปลูกแครอทเพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคง​

  • การปลูกหมุนเวียน: แครอทสามารถใช้ในการปลูกหมุนเวียนพืช เพื่อปรับปรุงโครงสร้างดินและลดการสะสมของโรคและแมลงศัตรูพืชในดิน​

2. ประโยชน์ทางยา

  • บำรุงสายตา: แครอทอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตาและป้องกันโรคที่เกี่ยวกับดวงตา​

  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระในแครอทช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงและป้องกันการติดเชื้อ​

  • ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ: ใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระในแครอทช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ​

3. ประโยชน์ทางโภชนาการ

  • คุณค่าทางโภชนาการสูง: แครอทเป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค โพแทสเซียม และใยอาหาร ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย​

  • ช่วยในการย่อยอาหาร: ใยอาหารในแครอทช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูก และส่งเสริมสุขภาพลำไส้​

  • ควบคุมน้ำหนัก: แครอทมีแคลอรีต่ำและใยอาหารสูง ทำให้อิ่มนานและช่วยในการควบคุมน้ำหนัก​

4. ประโยชน์ทางอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมอาหาร: แครอทถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เช่น น้ำแครอท แครอทอบแห้ง ขนม และอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ​

  • อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง: สารสกัดจากแครอทถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เนื่องจากมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระและช่วยบำรุงผิวพรรณ​

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้:

  • แครอท: ประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการ

  • ประโยชน์ของแครอทต่อสุขภาพ

นอกจากนี้ คุณอาจสนใจวิดีโอนี้ที่อธิบายเกี่ยวกับประโยชน์ของแครอท:

ประโยชน์ของแครอทที่คุณอาจไม่เคยรู้

ที่มา

หัวใชเท้า

47.) หัวไชเท้า  รวม 9 คลิป 

หัวไชเท้าเป็นพืชที่มีประโยชน์หลากหลายทั้งในด้านการเกษตร การแพทย์ โภชนาการ และอุตสาหกรรม ดังนี้:​

1. ประโยชน์ทางการเกษตร

  • พืชคลุมดินและปรับปรุงดิน: หัวไชเท้าสามารถใช้เป็นพืชคลุมดินเพื่อป้องกันการชะล้างของดิน และเมื่อปลูกแล้วไถกลบ จะช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุและปรับปรุงโครงสร้างของดิน​

  • พืชเศรษฐกิจ: หัวไชเท้าเป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว และมีความต้องการในตลาดสูง ทำให้เป็นแหล่งรายได้ที่ดีสำหรับเกษตรกร​

2. ประโยชน์ทางยา

  • บำรุงตับ: การศึกษาพบว่าสารสกัดจากหัวไชเท้ามีฤทธิ์ป้องกันสารพิษที่เป็นอันตรายต่อตับ และอาจช่วยรักษาโรคไขมันพอกตับได้ ​HDmall Thailand+1Pobpad+1

  • ลดความดันโลหิต: หัวไชเท้ามีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ฟลาโวนอยด์ แทนนิน และอัลคาลอยด์ ที่อาจช่วยลดระดับความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ ​HDmall Thailand+1Pobpad+1

  • ป้องกันโรคมะเร็ง: สารประกอบในหัวไชเท้า เช่น ไอโซไทโอไซยาเนต มีคุณสมบัติช่วยขจัดสารพิษ ลดการเกิดเนื้องอก และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ​HDmall Thailand+1Hello Khunmor+1

  • รักษาแผลในกระเพาะอาหาร: หัวไชเท้ามีสรรพคุณในการบรรเทาและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ​Pobpad+2HDmall Thailand+2industry.in.th+2

3. ประโยชน์ทางโภชนาการ

  • คุณค่าทางโภชนาการสูง: หัวไชเท้าอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินซี วิตามินบี โพแทสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย ​Hello Khunmor+1Pobpad+1

  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีในหัวไชเท้าช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงและป้องกันการติดเชื้อ​

  • ช่วยในการย่อยอาหาร: การบริโภคหัวไชเท้าช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ​HDmall Thailand

4. ประโยชน์ทางอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมอาหาร: หัวไชเท้าถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เช่น การทำหัวไชโป๊ว (หัวไชเท้าดอง) ซึ่งเป็นส่วนประกอบในอาหารหลายชนิด และยังใช้ในการผลิตซุปและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ​

  • อุตสาหกรรมยาและสมุนไพร: สารสกัดจากหัวไชเท้าถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยาสมุนไพร เนื่องจากมีสรรพคุณทางยาหลายประการ​

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้:

นอกจากนี้ คุณอาจสนใจวิดีโอนี้ที่อธิบายเกี่ยวกับประโยชน์ของหัวไชเท้า:

ชัวร์ก่อนแชร์ : 10 ประโยชน์จากหัวไชเท้า จริงหรือ ?

กวางตุ้ง

48.) ผักกาดกวางตุ้ง   รวม 19 คลิป 

ผักกาดกวางตุ้งเป็นผักใบเขียวที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์หลากหลายในหลายด้าน ดังนี้:

1. ประโยชน์ทางการเกษตร

  • พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ: ผักกาดกวางตุ้งเป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว และสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ทำให้เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับเกษตรกร ​ktaseed.com

  • การปรับปรุงดิน: การปลูกผักกาดกวางตุ้งสามารถช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากการไถกลบซากพืชหลังการเก็บเกี่ยวจะเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน​

2. ประโยชน์ทางยา

  • บำรุงสายตา: ผักกาดกวางตุ้งมีวิตามินเอสูง ซึ่งช่วยบำรุงและรักษาสายตา ​Lemon8+3O-farm+3https://food.trueid.net+3

  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: วิตามินซีในผักกาดกวางตุ้งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อและลดการอักเสบ ​HDmall Thailand+1O-farm+1

  • บำรุงกระดูกและฟัน: วิตามินเคและแคลเซียมในผักกาดกวางตุ้งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน และป้องกันโรคกระดูกพรุน ​Lemon8+6HDmall Thailand+6www.sanook.com+6

3. ประโยชน์ทางโภชนาการ

  • คุณค่าทางโภชนาการสูง: ผักกาดกวางตุ้งมีพลังงานต่ำ แต่มีวิตามินและแร่ธาตุหลากหลาย เช่น วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และธาตุเหล็ก ​adeq.or.th

  • ช่วยในการขับถ่าย: เส้นใยอาหารในผักกาดกวางตุ้งช่วยกระตุ้นระบบทางเดินอาหาร ทำให้การขับถ่ายเป็นปกติ และป้องกันอาการท้องผูก ​Medthai

  • ช่วยควบคุมน้ำหนัก: เนื่องจากมีไขมันต่ำและเส้นใยสูง การบริโภคผักกาดกวางตุ้งทำให้อิ่มท้องและช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ​Medthai

4. ประโยชน์ทางอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมอาหาร: ผักกาดกวางตุ้งถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เช่น การทำซุป ผักดอง และอาหารสำเร็จรูป เนื่องจากมีรสชาติที่ดีและคุณค่าทางโภชนาการสูง​

  • อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง: สารสกัดจากผักกาดกวางตุ้งถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เนื่องจากมีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ​

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้:

นอกจากนี้ คุณอาจสนใจวิดีโอนี้ที่อธิบายเกี่ยวกับประโยชน์ของผักกวางตุ้ง:

พริกไทย

49.) พริกไทย   รวม 12 คลิป 

49.) พริกไทยดำ   รวม 12 คลิป 

พริกไทย (Piper nigrum Linn) เป็นพืชเครื่องเทศที่มีความสำคัญทั้งในด้านการเกษตร โภชนาการ และอุตสาหกรรม โดยเฉพาะพริกไทยดำที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย​เข้าสู่ระบบหรือสมัครใช้งานเพื่อดู

1. ประโยชน์ทางการเกษตร

  • พืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูง: พริกไทยเป็นพืชเศรษฐกิจที่เกษตรกรให้ความสนใจ เนื่องจากผลผลิตมีราคาสูงและมีความต้องการในตลาดโลกประมาณร้อยละ 25-30 ของมูลค่าการค้าเครื่องเทศทั้งหมด ​NSTDA

  • การปลูกแบบยั่งยืน: การปลูกพริกไทยในรูปแบบยั่งยืน เช่น การใช้ปุ๋ยชีวภาพและการจัดการดินที่ดี ช่วยให้สวนพริกไทยเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างรายได้ที่มั่นคงแก่เกษตรกร ​THE VOICE OF VIETNAM

2. ประโยชน์ทางโภชนาการ

  • คุณค่าทางโภชนาการสูง: พริกไทยมีโปรตีนประมาณ 11.3% และแป้ง 50% รวมถึงแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 ไนอาซิน และวิตามินซี ​National Geographic Thailand

  • สรรพคุณทางยา: พริกไทยดำมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร ขับลม และแก้ไอ นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงธาตุและเป็นยาอายุวัฒนะ ​Medthai+2Thai Farmers' Library+2HDmall Thailand+2

3. ประโยชน์ทางอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องเทศ: พริกไทยดำและพริกไทยขาวนิยมนำมาใช้เป็นเครื่องเทศในการปรุงอาหาร เพื่อเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอม ทำให้อาหารน่ารับประทานมากขึ้น ​Medthai

  • อุตสาหกรรมยาและสมุนไพร: สารสกัดจากพริกไทยดำถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยาสมุนไพร เนื่องจากมีสรรพคุณในการบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น ปวดข้อ อักเสบ และช่วยย่อยอาหาร ​HDmall Thailand

  • อุตสาหกรรมน้ำมันหอมระเหย: น้ำมันหอมระเหยจากพริกไทยดำมีการใช้ในผลิตภัณฑ์นวดเพื่อบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ​

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของพริกไทยดำ สามารถศึกษาจากวิดีโอนี้ได้:  https://www.youtube.com/watch?v=_284YE9EUWI

ตำลึง

50.) ตำลึง   รวม 48 คลิป 

ประโยชน์ของตำลึงในด้านต่าง ๆ

1. ประโยชน์ทางการเกษตร

  • พืชคลุมดินและป้องกันวัชพืช: ตำลึงเป็นพืชที่เติบโตเร็ว สามารถใช้คลุมดินเพื่อป้องกันวัชพืช ลดการชะล้างของดิน และรักษาความชื้นในดิน

  • ดึงดูดแมลงที่เป็นประโยชน์: ดอกตำลึงสามารถดึงดูดแมลงผสมเกสร เช่น ผึ้ง และผีเสื้อ ซึ่งช่วยเพิ่มผลผลิตของพืชอื่น ๆ ที่ปลูกใกล้กัน

  • พืชอาหารสัตว์: ใบและยอดตำลึงสามารถใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น กระต่าย แพะ และวัว เนื่องจากมีโปรตีนและสารอาหารสูง

  • พืชสมุนไพรไล่แมลง: น้ำสกัดจากใบตำลึงมีฤทธิ์ช่วยไล่แมลงบางชนิดในแปลงเกษตร

2. ประโยชน์ทางโภชนาการ

  • อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ: ใบตำลึงมีวิตามิน A, C, B1, แคลเซียม, เหล็ก และฟอสฟอรัสสูง

  • ช่วยบำรุงสายตา: มีเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งช่วยบำรุงสายตาและป้องกันโรคตาฟาง

  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: วิตามิน C ในตำลึงช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของโรคหวัด

  • ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด: มีสารที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน

  • เป็นผักพื้นบ้านที่นำไปปรุงอาหารได้หลากหลาย: เช่น ต้มจืดตำลึง ผัดตำลึง ไข่เจียวตำลึง

3. ประโยชน์ทางอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป: สามารถนำไปทำผลิตภัณฑ์อาหารแห้ง หรือสารสกัดจากตำลึงในรูปแบบแคปซูลและผง

  • อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและเวชสำอาง: มีการนำสารสกัดจากตำลึงมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และผลิตภัณฑ์รักษาสิว เนื่องจากมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดการอักเสบของผิว

  • อุตสาหกรรมยาและสมุนไพร: ตำลึงถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมยาแผนไทย โดยใช้รักษาโรคเบาหวาน อาการคัน และลดไข้

สรุป
ตำลึงเป็นพืชที่มีคุณค่าในหลายด้าน ทั้งช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน เป็นแหล่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เช่น อาหารแปรรูป และเวชสำอาง

บลูเบอรี่

51.) บลูเบอรี่   รวม 1 คลิป 

บลูเบอร์รี่ (Blueberry) เป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย นอกจากนี้ บลูเบอร์รี่ยังมีบทบาทในด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมอีกด้วย

1. ประโยชน์ทางการเกษตร

  • พืชเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูง: บลูเบอร์รี่เป็นพืชที่มีความต้องการสูงในตลาดโลก การปลูกบลูเบอร์รี่สามารถสร้างรายได้ที่ดีให้กับเกษตรกร โดยเฉพาะในประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชชนิดนี้​

  • การปลูกเพื่อการอนุรักษ์ดิน: รากของบลูเบอร์รี่ช่วยยึดดินและป้องกันการชะล้างของดิน ทำให้เหมาะสำหรับการปลูกในพื้นที่ที่มีปัญหาการพังทลายของดิน​

2. ประโยชน์ทางโภชนาการ

  • อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ: บลูเบอร์รี่มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย ​fruitery.net+2HDmall Thailand+2Instagram+2

  • บำรุงระบบการทำงานของสมองและความทรงจำ: สารต้านอนุมูลอิสระในบลูเบอร์รี่มีประโยชน์ในการบำรุงเซลล์ประสาทและสมอง ช่วยเพิ่มความสามารถในการจำและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ​fruitery.net+1HDmall Thailand+1

  • ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด: การบริโภคบลูเบอร์รี่อาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ​Hello Khunmor+1fruitery.net+1

  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: สารแอนโทไซยานินในบลูเบอร์รี่มีประโยชน์ในการบำรุงประสิทธิภาพของการผลิตอินซูลินและการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน ​HDmall Thailand+1fruitery.net+1

3. ประโยชน์ทางอุตสาหกรรม

  • อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม: บลูเบอร์รี่ถูกนำมาใช้ในการผลิตน้ำผลไม้ แยม เยลลี่ ขนมอบ ไอศกรีม และผลิตภัณฑ์เบเกอรี่อื่น ๆ เนื่องจากมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวและสีสันที่น่าดึงดูด ​th.nutragreen-extracts.com

  • อุตสาหกรรมอาหารเสริมและผลิตภัณฑ์สุขภาพ: สารสกัดจากบลูเบอร์รี่ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระและส่งเสริมสุขภาพ ​

  • อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง: สารสกัดจากบลูเบอร์รี่ถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เนื่องจากมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระและช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย​

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยชน์ของบลูเบอร์รี่ สามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้:

52 ถ้่วเขียว

52.) ถ้่วเขียว รวม 1 คลิป 

🌰

ถั่วเขียวเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีความสำคัญในประเทศไทย ทั้งในด้านการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก ข้อมูลเกี่ยวกับถั่วเขียวในประเทศไทยมีดังนี้:​

1. สายพันธุ์ถั่วเขียวที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยและความนิยมของตลาดผู้บริโภค:

ในประเทศไทย มีสายพันธุ์ถั่วเขียวที่ได้รับความนิยมและปลูกอย่างแพร่หลาย ดังนี้:​

  • พันธุ์ชัยนาท 36: เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากให้ผลผลิตสูงและทนต่อโรค​

  • พันธุ์กำแพงแสน 2: มีคุณภาพเมล็ดดีและเป็นที่ต้องการของตลาด​

  • พันธุ์สุพรรณบุรี 1: เป็นสายพันธุ์ที่มีความทนทานและให้ผลผลิตสม่ำเสมอ​

2. อายุของการออกผลตั้งแต่การปลูกโดยเพาะเมล็ดจนกว่าจะเก็บจากต้น:

ถั่วเขียวมีระยะเวลาการเจริญเติบโตและเก็บเกี่ยวประมาณ 60-70 วันหลังจากการปลูก ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพแวดล้อม​

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปลูก:

การปลูกถั่วเขียวในประเทศไทยสามารถทำได้ในช่วง:​

  • ปลายฤดูฝน: ประมาณเดือนสิงหาคม-กันยายน เพื่อให้เก็บเกี่ยวในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน​

  • ฤดูแล้ง: ประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม เพื่อเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์​

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม:

ถั่วเขียวเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5.5-6.5​

5. เทคนิคในการปลูก บำรุง การกำจัดแมลงและเชื้อราโดยไม่ใช้สารเคมี และการใส่ปุ๋ยอินทรีย์:

  • การเตรียมดิน: ไถพรวนดินและกำจัดวัชพืชก่อนปลูก​

  • การปลูก: หว่านเมล็ดถั่วเขียวในแปลงปลูก โดยเว้นระยะห่างระหว่างแถวประมาณ 30-40 เซนติเมตร​

  • การใส่ปุ๋ยอินทรีย์: ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 1-2 ตันต่อไร่ เพื่อเพิ่มธาตุอาหารและปรับปรุงโครงสร้างดิน​

  • การกำจัดแมลงและเชื้อราโดยไม่ใช้สารเคมี:

    • การใช้สารสกัดจากพืช: เช่น สารสกัดจากสะเดา เพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืช​

    • การปลูกพืชหมุนเวียน: เพื่อป้องกันการสะสมของโรคและแมลงศัตรูพืช​

    • การใช้ชีวภัณฑ์: เช่น เชื้อราไตรโคเดอร์มา เพื่อควบคุมเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคพืช​

6. ช่วงออกดอก:

ถั่วเขียวจะเริ่มออกดอกประมาณ 30-40 วันหลังการปลูก ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพแวดล้อม​

7. วิธีการทำให้เก็บผลก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด:

การเลือกสายพันธุ์ที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้นและการปลูกในช่วงเวลาที่เหมาะสมสามารถช่วยให้เก็บเกี่ยวได้ก่อนฤดูจำหน่าย นอกจากนี้ การใช้วิธีการปลูกในโรงเรือนหรือการควบคุมสภาพแวดล้อมก็สามารถช่วยให้เก็บเกี่ยวได้เร็วขึ้น​

8. ประเทศที่ไทยส่งออกถั่วเขียว เรียงตามปริมาณการส่งออก:

ประเทศไทยส่งออกถั่วเขียวไปยังหลายประเทศ โดยประเทศที่นำเข้าถั่วเขียวจากไทยมากที่สุด ได้แก่:​

  • จีน: เป็นตลาดหลักสำหรับถั่วเขียวไทย​

  • ญี่ปุ่น: มีความต้องการถั่วเขียวคุณภาพสูง​

  • อินโดนีเซีย: นำเข้าถั่วเขียวไทยในปริมาณมาก​

  • ฟิลิปปินส์: เป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับถั่วเขียวไทย​

ข้อมูลนี้อ้างอิงจากสถิติการส่งออกของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

ประโยชน์ของถั่วเขียวในด้านต่าง ๆ

1. ประโยชน์ทางการเกษตร

  • พืชปรับปรุงดิน: ถั่วเขียวเป็นพืชตระกูลถั่วที่ช่วยเพิ่มไนโตรเจนให้กับดิน ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ขึ้น ลดการใช้ปุ๋ยเคมี

  • พืชคลุมดิน: สามารถปลูกเป็นพืชหมุนเวียนเพื่อช่วยลดการพังทลายของดิน และป้องกันวัชพืช

  • ทนแล้งและเจริญเติบโตเร็ว: สามารถปลูกในพื้นที่แห้งแล้งได้ดี และให้ผลผลิตภายใน 60–70 วัน

  • เป็นอาหารสัตว์: ใบและต้นของถั่วเขียวสามารถนำไปทำเป็นอาหารสัตว์ เช่น วัว ควาย และแพะ

  • ใช้เป็นพืชหลังนา: นิยมปลูกหลังการเก็บเกี่ยวข้าว เพื่อลดการเสื่อมโทรมของดินและสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร

2. ประโยชน์ทางโภชนาการ

  • แหล่งโปรตีนสูง: มีโปรตีนประมาณ 20-25% เหมาะสำหรับการบริโภคทดแทนเนื้อสัตว์

  • อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ: เช่น วิตามินบี 1, บี 2, บี 9 (โฟเลต), ธาตุเหล็ก, แคลเซียม และโพแทสเซียม

  • ไฟเบอร์สูง: ช่วยระบบย่อยอาหาร ป้องกันท้องผูก และช่วยควบคุมน้ำหนัก

  • มีสารต้านอนุมูลอิสระ: เช่น ฟลาโวนอยด์ และฟีนอล ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ

  • ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ

  • ใช้ทำอาหารได้หลากหลาย: เช่น ถั่วเขียวต้มน้ำตาล แกงถั่วเขียว ถั่วงอก ขนมถั่วแปบ ขนมไดฟูกุ

3. ประโยชน์ทางอุตสาหกรรม

  • ผลิตแป้งถั่วเขียว: นำไปใช้ทำวุ้นเส้น แป้งถั่วเขียวสำหรับทำขนม และซอส

  • อุตสาหกรรมอาหารสัตว์: กากถั่วเขียวใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ เช่น อาหารไก่และสุกร

  • อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและยา: สารสกัดจากถั่วเขียวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ นิยมนำมาใช้ในครีมบำรุงผิวและผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม

  • อุตสาหกรรมหมักชีวภาพ: ใช้ในกระบวนการผลิตเอนไซม์และจุลินทรีย์สำหรับการหมักอาหาร

ถั่วเขียวจึงเป็นพืชที่มีประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งช่วยเกษตรกรปรับปรุงดิน เป็นแหล่งโภชนาการสำคัญ และมีคุณค่าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

53 ปอเทือง

53.) ปอเทือง รวม 23 คลิป 

messageImage_1742987767802.jpg

53.1) ปลูกปอเทืองมีแต่ได้ เมล็ดพันธุ์ฟรี 

🌰 ​1. ปอเทือง (Crotalaria juncea) เป็นพืชตระกูลถั่วที่มีประโยชน์หลากหลาย ทั้งในการปรับปรุงดินและการนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้:​ 

1.ใช้เป็นปุ๋ยพืชสด เนื่องจากเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีไนโตรเจนสูง รวมถึงสารอาหารอื่นด้วย 2.ใช้เป็นพืชคลุมดิน ป้องกันหน้าดินพังทลาย 3.ใช้สำหรับเลี้ยงโค กระบือ รวมถึงดอก และใบที่นำมาเลี้ยงหมูได้เช่นกัน 4.สามารถนำดอกมารับประทาน ทั้งรับประทานสด หรือลวกจิ้มน้ำพริก รวมถึงใช้ประกอบอาหารหลายเมนู อาทิ แกงอ่อม แกงเลียง ต้มยำ เป็นต้น

1. สายพันธุ์ของปอเทืองในประเทศไทย

ในประเทศไทย ปอเทืองที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ Crotalaria juncea ซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักที่นิยมใช้ในการปรับปรุงดินและเป็นปุ๋ยพืชสด ​

2. ประโยชน์ของปอเทืองในส่วนต่าง ๆ

3. ระยะเวลาการเจริญเติบโตและการเก็บเกี่ยว

4. การใช้ปอเทืองในการปรับปรุงดิน

  • ปอเทืองเป็นพืชปุ๋ยสดที่มีประสิทธิภาพสูง การไถกลบปอเทืองในช่วงออกดอกจะเพิ่มอินทรียวัตถุและธาตุอาหารในดิน ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์และโครงสร้างดีขึ้น ​เทคโนโลยีชาวบ้าน

5. การแปรรูปผลผลิตจากปอเทือง

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลต่อไปนี้:

ประโยชน์ของปอเทืองในด้านต่าง ๆ

1. ประโยชน์ทางการเกษตร

  • พืชปรับปรุงดิน: ปอเทืองเป็นพืชตระกูลถั่วที่ช่วยตรึงไนโตรเจนจากอากาศลงสู่ดิน ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น

  • ปุ๋ยพืชสด: เมื่อตัดปอเทืองก่อนออกดอก สามารถไถกลบลงดินเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุและสารอาหารให้กับพืชรุ่นต่อไป

  • ช่วยควบคุมวัชพืช: การปลูกปอเทืองช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของวัชพืชในแปลงเกษตร

  • ป้องกันการพังทลายของดิน: รากของปอเทืองช่วยยึดหน้าดิน ป้องกันการชะล้างของดินในพื้นที่ลาดชัน

  • ใช้เป็นพืชหมุนเวียน: นิยมปลูกหลังการเก็บเกี่ยวข้าวและพืชหลัก เพื่อลดการเสื่อมโทรมของดิน

2. ประโยชน์ทางโภชนาการ

  • เมล็ดปอเทืองมีโปรตีนสูง: เมล็ดปอเทืองมีโปรตีนสูงประมาณ 20-25% แต่ไม่เป็นที่นิยมในการบริโภคโดยตรง เนื่องจากมีสารพิษบางชนิด

  • อาหารสัตว์: ใบและลำต้นสดของปอเทืองสามารถนำมาเป็นอาหารสัตว์ เช่น โค กระบือ และแพะ ได้ดี แต่ควรระวังไม่ให้สัตว์กินมากเกินไปเพราะอาจมีสารพิษบางชนิด ควรตากให้แห้งก่อน

    • ปอเทือง (Cassia tora) มีประโยชน์ในการใช้เป็นอาหารสัตว์ แต่มีสารไซยาไนด์ที่อาจเป็นอันตรายต่อสัตว์เมื่อบริโภคในปริมาณมาก ดังนั้นจึงควรมีการเตรียมการก่อนนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ โดยสามารถทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้:

    • การแห้ง: การทำให้ปอเทืองแห้งก่อนนำไปใช้สามารถช่วยลดสารไซยาไนด์ได้ เนื่องจากการแห้งช่วยลดความชื้นที่อาจทำให้สารเหล่านี้มีความเข้มข้นสูง

    • การต้ม: การต้มปอเทืองในน้ำร้อนประมาณ 10-15 นาทีสามารถช่วยลดระดับไซยาไนด์ได้ โดยต้องระบายน้ำที่ใช้ต้มออกไป

    • การหมัก: การหมักปอเทืองสามารถช่วยลดสารไซยาไนด์ได้ โดยการหมักในสภาพที่เหมาะสมสามารถช่วยให้เกิดการย่อยสลายสารพิษ

    • การผสม: การผสมปอเทืองกับอาหารสัตว์ประเภทอื่นๆ ที่มีสารอาหารสูง สามารถช่วยลดปริมาณการบริโภคปอเทืองโดยตรง

      • การตรวจสอบ: ควรมีการตรวจสอบระดับไซยาไนด์ในปอเทืองก่อนนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ เพื่อให้มั่นใจว่าสัตว์จะไม่ได้รับสารพิษในปริมาณที่เป็นอันตราย

    • การเตรียมปอเทืองอย่างเหมาะสมจะช่วยให้สัตว์สามารถได้รับประโยชน์จากสารอาหารในปอเทืองโดยไม่เสี่ยงต่อสุขภาพจากสารไซยาไนด์!

  • น้ำผึ้งจากดอกปอเทือง: ดอกปอเทืองให้เกสรดอกไม้ที่มีคุณภาพดี เป็นแหล่งอาหารสำคัญของผึ้ง จึงนิยมปลูกเพื่อผลิตน้ำผึ้ง

3. ประโยชน์ทางอุตสาหกรรม

  • การผลิตเส้นใย: เส้นใยจากลำต้นปอเทืองสามารถใช้ทำกระดาษ เชือก หรือผ้าบางชนิด

  • อุตสาหกรรมผลิตปุ๋ยอินทรีย์: สามารถนำปอเทืองมาเป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยหมักชีวภาพ

  • การผลิตไบโอแก๊ส: เศษเหลือจากปอเทืองสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตพลังงานชีวภาพ (ไบโอแก๊ส)

ปอเทืองจึงเป็นพืชที่มีคุณค่าทางเกษตรกรรม โภชนาการสัตว์ และอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในด้านการปรับปรุงดินและส่งเสริมความยั่งยืนของการเกษตร

ปอเทือง 1

2 วิธีการปรับปรุงดินด้วยพืชคลุมดิน (เช่น ต้นปอเทือง)

ขั้นตอนการปลูกปอเทืองเพื่อฟื้นฟูดิน

  1. เตรียมดิน:

    • กำจัดวัชพืชและเศษหินออก

    • ไถพรวนดินลึก 15-20 ซม. (หากดินแข็งมากอาจใช้รถแทรกเตอร์ไถดะก่อน)

  2. หว่านเมล็ดปอเทือง:

    • อัตรา 5-7 กก./ไร่ (หากดินเสื่อมโทรมมากอาจเพิ่มเป็น 10 กก./ไร่)

    • หว่านให้กระจายสม่ำเสมอแล้วคราดกลบ

  3. ดูแลรักษา:

    • รดน้ำหลังหว่าน (หากไม่มีฝน)

    • ไม่ต้องใส่ปุ๋ยเคมี

  4. ไถกลบเมื่อออกดอก (อายุ 45-60 วัน):

    • ตัดหรือไถกลบต้นปอเทืองเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ

ประโยชน์ของปอเทือง:

  • เพิ่มไนโตรเจนในดิน (Rhizobium ในราก)

  • ป้องกันการชะล้างดิน

  • ลดอุณหภูมิดิน

ลิงก์ตัวอย่าง:

2. การใช้ปอเทืองป้องกันดินไหลบนเนินดิน (Slope Stabilization)

ทำได้หรือไม่? → ✅ ได้!

วิธีการ:

  1. ปลูกเป็นแถวตามแนวระดับ (Contour Planting) เพื่อลดความเร็วน้ำฝน

  2. ใช้เทคนิค "หญ้าแฝก + ปอเทือง" สำหรับทางลาดชัน (>30 องศา):

    • ปลูกหญ้าแฝกเป็นแถวสลับกับปอเทือง

ลิงก์ตัวอย่าง:

3. พืชคลุมดินอื่นๆ ที่มีดอกสีเหลือง (นอกจากปอเทือง)

พืชลักษณะเหมาะกับเนินดินไหม?

โสนแอฟริกันดอกเหลืองสด, ความสูง 30-50 ซม.✅ ดีมาก (รากลึก ควบคุม erosion ได้)

ถั่วพร้าดอกเหลืองอ่อน, ใบใหญ่✅ ดี (แต่สูง 1-2 เมตร)

ดอกคำฝอยดอกเหลืองส้ม, ความสูง 60 ซม.⚠️ ต้องการดินค่อนข้างดี

ลิงก์ตัวอย่าง:

4. การปรับปรุงดินทรายสำหรับเกษตรอินทรีย์

ขั้นตอนการปรับปรุงดิน:

  1. เพิ่มอินทรียวัตถุ:

    • ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 2-5 ตัน/ไร่

    • ปลูกพืชตระกูลถั่วแล้วไถกลบ

  2. ปรับโครงสร้างดิน:

    • ใส่เศษใบไม้หรือแกลบดำเพื่อเพิ่มความอุ้มน้ำ

  3. ใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลาย:

    • ราดน้ำหมักชีวภาพ (EM) หรือปุ๋ยน้ำสกัดสมุนไพร

ลิงก์ตัวอย่าง:

สรุป

✅ ปอเทือง → ตัวเลือกดีที่สุดสำหรับปรับปรุงดินและป้องกัน erosion
✅ พืชคลุมดินดอกเหลืองอื่นๆ → โสนแอฟริکانหรือถั่วพร้า
✅ ปรับดินทราย → ต้องเพิ่มอินทรียวัตถุ + จุลินทรีย์

ปรับปรุงดินด้วยพืชคลุมดิน ด้วยต้นปอเทือง
54 กัญชา

54.) กัญชา ทางการแพทย์ รวม 55 คลิป 

เรื่องของกัญชา (Cannabis) มีรายละเอียดดังนี้:

1. การปลูกกัญชา

  • การปลูก: กัญชาต้องการแสงแดดเต็มที่ และดินที่ระบายน้ำได้ดี เช่น ดินร่วนปนทราย หากปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดไม่เพียงพอ อาจทำให้พืชไม่เจริญเติบโตได้ดี

  • อายุของพืช: กัญชามักจะใช้เวลาปลูกประมาณ 3-4 เดือนจนถึงเก็บเกี่ยว แต่ระยะเวลานี้อาจขึ้นอยู่กับพันธุ์และสภาพแวดล้อม

  • สายพันธุ์ที่นิยมปลูก:

    • Indica: ใช้สำหรับการรักษาอาการปวด บรรเทาความเครียด และช่วยให้นอนหลับ

    • Sativa: นิยมสำหรับการรักษาอาการซึมเศร้าและกระตุ้นความคิด

    • Hybrid: เป็นการผสมระหว่าง Indica และ Sativa เพื่อให้ได้คุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้งาน

  • ดินที่ใช้: กัญชาต้องการดินที่มีความร่วนและระบายน้ำได้ดี เช่น ดินร่วนปนทราย หรือดินที่มีค่า pH ระหว่าง 6.0 - 7.0

  • อุณหภูมิ: กัญชาต้องการอุณหภูมิระหว่าง 20-30°C สำหรับการเจริญเติบโตที่ดี

  • ฤดูออก: กัญชาจะออกผลในช่วงฤดูฝนหรือฤดูร้อน ซึ่งสามารถปลูกได้ตลอดปีหากมีการควบคุมแสงและอุณหภูมิอย่างดี

  • การควบคุมศัตรูพืชโดยไม่ใช้สารเคมี:

    • ใช้สารสกัดจากพืชธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากพริกไทยดำหรือน้ำหมักจากกระเทียม เพื่อลดการระบาดของแมลง

    • การใช้วัสดุคลุมดินเพื่อป้องกันการเติบโตของวัชพืช

    • การใช้น้ำหมักชีวภาพเพื่อควบคุมเชื้อโรค

2. ประโยชน์ของกัญชา

2.1 การเกษตร

  • กัญชาเป็นพืชที่สามารถปลูกในหลากหลายสภาพภูมิประเทศและมีการเติบโตที่รวดเร็ว จึงช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร

  • กัญชาสามารถใช้เป็นพืชหมุนเวียนที่ช่วยปรับปรุงดิน ลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคพืชในดิน

  • เส้นใยจากกัญชามีคุณภาพดีในการใช้ทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น ผ้าเชือก และวัสดุก่อสร้าง

2.2 ทางยา

  • กัญชามีสารสำคัญเช่น THC และ CBD ที่ช่วยในการรักษาหลายโรค เช่น การลดอาการปวดในผู้ป่วยโรคมะเร็งและโรคเรื้อรัง

  • ใช้ในการบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้า, วิตกกังวล, และช่วยในการควบคุมอาการชักในผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก

  • กัญชาช่วยเพิ่มความอยากอาหารในผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัดและผู้ที่มีภาวะเบื่ออาหาร

2.3 โภชนาการ

  • กัญชามีแร่ธาตุและโปรตีนสูง รวมถึงมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ

  • เมล็ดกัญชามีคุณค่าสำหรับการเป็นแหล่งโปรตีนและไขมันดี เหมาะสำหรับใช้ในอาหารเสริม

2.4 ทางอุตสาหกรรม

  • เส้นใยกัญชา: ใช้ทำผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า, เชือก, ผ้าใบ, กระเป๋า, และวัสดุก่อสร้างที่มีความทนทาน

  • น้ำมันกัญชา: ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เช่น ครีมบำรุงผิว น้ำมันสำหรับการนวด

  • ผลิตภัณฑ์อาหาร: เมล็ดกัญชาใช้ทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น โปรตีนจากพืชหรือแป้งกัญชา

กัญชาเพื่อการแพทย์

การปลูกกัญชาสำหรับการแพทย์จะต้องได้รับการอนุญาตจากหน่วยงานรัฐบาล และผู้ปลูกต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด เช่น การปลูกในที่ที่ได้รับอนุญาต การควบคุมคุณภาพ และการเก็บรักษาอย่างปลอดภัย

สำหรับการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปลูกกัญชาและการใช้ประโยชน์ สามารถดูข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ได้ที่:

ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจลักษณะการปลูกและการใช้ประโยชน์จากกัญชาในทางการเกษตร, การแพทย์, โภชนาการ และอุตสาหกรรมมากขึ้น.

55 ใบชะะพลู

55.) ใบชะพลู รวม 10 คลิป 

55.) ใบชะพลูไล่แมลง รวม 1 คลิป 

ใบชะพลู (Piper sarmentosum) เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์หลากหลายทั้งในด้านการเกษตร สุขภาพ ยา และอุตสาหกรรม ดังนี้:​

1. ประโยชน์ด้านการเกษตร

  • การทำน้ำหมักไล่แมลงและบำรุงพืชผัก: ใบชะพลูสามารถนำมาทำน้ำหมักชีวภาพเพื่อใช้ในการไล่แมลงศัตรูพืชและบำรุงพืชผักได้ โดยการนำใบชะพลูมาหมักและฉีดพ่นลงบนพืชผัก ซึ่งช่วยลดการใช้สารเคมีในการเกษตร ​YouTube

  • การกำจัดเพลี้ยและแมลงศัตรูพืช: มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากใบชะพลูในรูปแบบผงแห้งสำหรับฉีดพ่นเพื่อกำจัดเพลี้ยอ่อนและแมลงศัตรูพืชอื่น ๆ โดยพบว่าสามารถกำจัดเพลี้ยอ่อนได้ภายใน 12 ชั่วโมง ​thailandinnovationportal.com

2. ประโยชน์ด้านสุขภาพ

  • บำรุงธาตุและขับลม: ใบชะพลูมีสรรพคุณช่วยบำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ ขับลม แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ​Manager Online+8kapook.com+8pptvhd36.com+8

  • บำรุงกระดูกและฟัน: เนื่องจากใบชะพลูมีแคลเซียมสูง จึงช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และป้องกันโรคกระดูกพรุน ​pharmoffice.kku.ac.th+2Medthai+2Manager Online+2

  • ต้านอนุมูลอิสระ: ใบชะพลูมีเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ ​Manager Online

3. ประโยชน์ด้านยา

  • ขับเสมหะ: ส่วนต่าง ๆ ของชะพลู เช่น ราก ต้น ดอก และใบ มีสรรพคุณช่วยขับเสมหะ ทำให้เสมหะแห้ง ​Manager Online+6Medthai+6pharmoffice.kku.ac.th+6

  • รักษาโรคเบาหวาน: มีการใช้ชะพลูในการรักษาโรคเบาหวาน โดยช่วยทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตดี ​disthai.com+1CMI NFE+1

  • แก้บิดและโรคในระบบทางเดินอาหาร: รากชะพลูมีสรรพคุณแก้อาการบิด ท้องอืด ท้องเฟ้อ และขับลม ​HonestDocs+6kapook.com+6pptvhd36.com+6

4. ประโยชน์ด้านอุตสาหกรรม

แม้ว่าใบชะพลูจะมีประโยชน์หลายด้าน แต่การนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมยังมีข้อมูลจำกัด ส่วนใหญ่จะใช้ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์สมุนไพรและอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น การแปรรูปเป็นชาชะพลู หรือเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร​

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและวิธีการใช้งานใบชะพลูในด้านต่าง ๆ สามารถศึกษาได้จากแหล่งข้อมูลที่แนบมาข้างต้น

56 ภูพานเฮ

56.)  ภูพานเฮ หรือ Peach Plam พืชแห่งอนาคต ปลูกง่ายกินผล กินยอด แปรรูป ปลูกครั้งเดียวอยู่ได้ 75 ปี  รวม 30 คลิป 

1.)  ข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับ 💧 ต้นภูพานเฮ (พีชปาล์ม) จาก Tim AI Assistant 
1. ลักษณะทั่วไปและอายุการให้ผลผลิต
🔹ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: ต้นภูพานเฮเป็นพืชตระกูลปาล์ม มีถิ่นกำเนิดจากป่าแอมะซอน ลำต้นตั้งตรงสูงได้ถึง 20 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 15 ( https://today.line.me/th/v2/article/BEk6P96 ) 16  ( https://www.thairath.co.th/scoop/interview/2797098
🔹อายุพืช: มีอายุยืนยาว 50-70 ปี 15
อายุเริ่มให้ผลผลิต:
🔹ยอด: เริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 1 ปี (ภาคอีสาน) หรือ 8 เดือน (ภาคใต้) 16
🔹ผล: เริ่มให้ผลผลิตปีที่ 3 และให้ผลผลิตมากขึ้นเรื่อยๆ 15
🔹การเก็บเกี่ยว: ตัดยอดได้จนต้นอายุ 25 ปี ส่วนผลเก็บเกี่ยวได้มากกว่า 50 ปี 15

2. ประโยชน์ของภูพานเฮ
🌸ด้านอาหารและโภชนาการ
🔹ยอด: มีโปรตีนสูงถึง 22.47% (น้ำหนักแห้ง) รับประทานสดหรือปรุงสุก รสหวานกรอบ 15 17 ( https://www.khaosod.co.th/technologychaoban/techno-news/article_282022 ) 
🔹ผล: รสคล้ายเกาลัดผสมอัลมอนด์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง 15
🔹ใบ: มีโปรตีน 17.4% ใช้เป็นอาหารสัตว์ 15

🌸ด้านสมุนไพร
🔹จั่นดอก: มีกลิ่นหอมคล้ายโสม ใช้ทำชาบำรุงร่างกาย ช่วยคลายเครียด 15
🔹ราก: นำไปทำสมุนไพร 15
🔹น้ำมันดอก: ช่วยบำรุงสุขภาพชาย 15
🌸ด้านอุตสาหกรรม
🔹ลำต้น: เนื้อไม้แข็งแรง ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประดับ 15
🔹ใบ: ทำสีย้อมผ้าและสีผสมอาหาร 15

3. พันธุ์และการจำหน่าย
🌸พันธุ์ที่นิยมปลูกในไทย: ปัจจุบันยังไม่มีการระบุพันธุ์ย่อยชัดเจน แต่มีการนำเข้าจากเบลีซ 16
🔹ราคาต้นพันธุ์: ไม่ระบุในข้อมูล แต่สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สวนภูพานเฮ ดร.กฤษ - สกลนคร โทร. 089-711-4142 15 16
🔹 แหล่งซื้อ: เพจเฟซบุ๊ก "สวนภูพานเฮ ดร.กฤษ - สกลนคร" 15


4. การปลูกในดินทรายและน้ำกร่อย
🌸ข้อแนะนำ:                                                                                                                                                                                                                                            🔹ภูพานเฮไม่เหมาะกับดินเหนียว แต่สามารถปรับปรุงดินทรายด้วยอินทรียวัตถุ 16
🔹พื้นที่น้ำกร่อย: ไม่มีข้อมูลชัดเจน แต่พืชชนิดนี้ต้องการน้ำจืดตลอดปี 15
🔹พื้นที่แนะนำ: เจริญเติบโตดีในดินร่วน ชอบน้ำปานกลาง ไม่ชอบน้ำขังแฉะ 15


5. การแปรรูปและตลาด
🌸ผลิตภัณฑ์แปรรูป:
🔹ชาจั่นดอกภูพานเฮ 15
🔹น้ำมันดอก 15
🔹อาหารสัตว์จากใบ 15
🔹เฟอร์นิเจอร์จากลำต้น 15

🌸ตลาดรับซื้อ:
🔹บริษัทภูพานเฮ 2021 (ไทยแลนด์) จำกัด รับซื้อในราคากิโลกรัมละ 50 บาท (ตาม MOU) 16
🔹ตลาดทั่วไปรับซื้อในราคา 200-300 บาท/กก. 16
🔹ตลาดต่างประเทศ: มีศักยภาพในตลาด Plant-Based Food แต่ยังไม่ระบุประเทศชัดเจน 15

🌸ข้อมูลเพิ่มเติม: ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารล่าสุดได้ที่เว็บไซต์ technologychaoban.com หรือติดต่อสวนภูพานเฮโดยตรง 15 17 
 

2. ) ข้อมูลพันธุ์ต่างประเทศ 💧ของต้นภูพานเฮ (พีชปาล์ม) และแหล่งซื้อในประเทศไทย

✅ พันธุ์ต่างประเทศที่สามารถปลูกในไทยได้

  1. 🔹พันธุ์ Pupunha (ปูปู้นเย)

    • แหล่งกำเนิด: ประเทศเบลีซและแถบละติน อเมริกา                                                                                                                                               6  ( https://www.naewna.com/likesara/691348#google_vignette )                                                                    10 ( https://www.thairath.co.th/scoop/interview/2797098 )

    • ลักษณะพิเศษ: เป็นพันธุ์ดั้งเดิมที่นำเข้ามาไทยครั้งแรกโดย ดร.กฤษดา จักรเสน

    • ความเหมาะสม: เจริญเติบโตได้ดีในภาคใต้ของไทย 10

  2. 🔹พันธุ์ไร้หนาม

    • พัฒนาการ: ดร.กฤษดาพัฒนาจากการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์มีหนามและไร้หนาม 6

    • ข้อดี: ปลอดภัยต่อการเก็บเกี่ยวและดูแลง่ายกว่า

  3. 🔹 พันธุ์ Peach Palm

✅แหล่งติดต่อซื้อพันธุ์ในประเทศไทย

  1. 🔹สวนภูพานเฮ ดร.กฤษ - สกลนคร

  2. 🔹บริษัทภูพานเฮ 2021 (ไทยแลนด์) จำกัด

    • ผู้บุกเบิก: ดร.กฤษดา จักรเสน 10

    • บริการ: ให้คำปรึกษาการปลูกและจำหน่ายพันธุ์

✅ YouTube ที่เกี่ยวข้อง

  1. รายการมหาอำนาจบ้านนา - ไทยพีบีเอส

    • หัวข้อ: "ภูพานเฮ พืชโปรตีนแห่งอนาคต"

    • ลิงก์: https://www.thaipbs.or.th/program/LordsOfFarm/episodes/90528 13

    • เนื้อหา: การปลูกและประโยชน์ของภูพานเฮโดยผู้บุกเบิก

  2. คลิปแนะนำการปลูกจากสวนภูพานเฮ

✅ ข้อแนะนำเพิ่มเติม

  • ควรสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับตัวของพันธุ์กับสภาพพื้นที่ปลูกก่อนตัดสินใจซื้อ 10

  • พันธุ์จากเบลีซเหมาะสำหรับปลูกในภาคใต้ของไทยมากกว่าภาคอื่น 6 ( https://www.naewna.com/likesara/691348 )

  • ราคาพันธุ์อาจแตกต่างกันไปตามขนาดและอายุของต้น 10

3. ) เทคนิคการปลูกเชิงลึกสำหรับต้นภูพานเฮ (พีชปาล์ม)

 

✅1. การเตรียมดินและการปลูก

💧การเลือกพื้นที่

💧วิธีการปลูก

  1. 🔹เตรียมหลุมปลูก: ขนาด 50x50x30 ซม. ระยะปลูก 4x4 เมตร (1 ไร่ปลูกได้ 100 ต้น) 10

  2. 🔹การปรับปรุงดิน: ใช้ปุ๋ยหมักที่ผ่านการย่อยสลายแล้ว 3-5 กก./หลุม 10

  3. 🔹การปลูก: วางต้นให้โคนอยู่ระดับเดียวกับพื้นดิน ไม่ควรปลูกลึกเกินไป 4 ( https://www.facebook.com/watch/?v=937604957436676 )

  4. 🔹 การคลุมดิน: ใช้ฟางหรือวัสดุคลุมดินเพื่อรักษาความชื้น 10

 

2. การดูแลรักษา

💧การให้น้ำ

  • 🔹 ปีแรก: รดน้ำทุก 2-3 วัน หรือติดตั้งระบบน้ำหยด 10

  • 🔹หลังปีแรก: รดน้ำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ 5 ( https://today.line.me/th/v2/article/0MyBZ1z )

💧การให้ปุ๋ย

  • 🔹 ปีแรก: ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 เดือนละ 1 ครั้ง 10

  • 🔹 ปีที่ 2 เป็นต้นไป: ใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 หรือปุ๋ยคอกหมัก 10

  • 🔹 ช่วงให้ผลผลิต: เพิ่มปุ๋ยโพแทสเซียมสูงเพื่อเพิ่มคุณภาพผล 10

💧 การป้องกันโรคและแมลง

  • 🔹โรครากเน่า: ใช้ยาฆ่าเชื้อราคลุกรากก่อนปลูก 4 ( https://www.facebook.com/watch/?v=937604957436676 )

  • 🔹แมลงศัตรูพืช: ใช้สารชีวภัณฑ์หรือสมุนไพรป้องกัน 10

 

3. การจัดการหลังปลูก

💧 การพรางแสง

  • 🔹ควรทำซาแรนพรางแสง 50-70% ในระยะ 2-3 เดือนแรก 4

  • 🔹ค่อยๆ ลดการพรางแสงเมื่อต้นแข็งแรง 10

💧 การตัดแต่ง

 

✅ 4. การเก็บเกี่ยว

💧 ยอดอ่อน

  • 🔹 เริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่อต้นอายุ 8 เดือน (ภาคใต้) หรือ 1 ปี (ภาคอื่น) 3

  • 🔹 เก็บทุก 3-4 เดือน ใช้มีดคมตัดให้ชิดลำต้น 10

  • 🔹 สามารถเก็บยอดได้ต่อเนื่องนาน 20-25 ปี 3

💧 ผลผลิต

  • 🔹 เริ่มให้ผลปีที่ 3-4 10

  • 🔹 ผลผลิตสูงสุดปีที่ 5-6 ให้ผลได้มากกว่า 25 กก./ต้น/ปี 3

  • 🔹 อายุการให้ผลยาวนาน 50-70 ปี 10

 

5. เทคนิคพิเศษเพิ่มผลผลิต

💧 การกระตุ้นการออกดอก

  • 🔹งดน้ำ 15-20 วัน เมื่อต้นอายุ 2 ปีขึ้นไป 10

  • 🔹ใช้ปุ๋ยสูตรสูงโพแทสเซียมก่อนช่วงออกดอก 10

💧 การเพิ่มโปรตีนในยอด

  • 🔹ให้ปุ๋ยน้ำหมักปลาหรือปุ๋ยชีวภาพในช่วงเก็บยอด 10

  • 🔹ควบคุมแสงแดดให้เพียงพอ 7

💧การขยายพันธุ์

  1. 🔹การแยกหน่อ: เลือกหน่อที่สูงประมาณ 30-50 ซม. 10

  2. 🔹การเพาะเมล็ด: ใช้เมล็ดจากผลสุกเต็มที่ งอกภายใน 2-3 เดือน 7 ( https://www.baanlaesuan.com/342920/plant-scoop/bactris-gasipaes/ )

 

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • 🔹ควรบันทึกข้อมูลการเจริญเติบโตของต้นเพื่อปรับปรุงวิธีการปลูก 10

  • 🔹ติดตามข้อมูลใหม่ๆ จากสวนภูพานเฮ ดร.กฤษ - สกลนคร 3

  • 🔹 ศึกษาจากคลิปการปลูกโดยตรงได้ที่: คลิปการปลูกภูพานเฮ 4

4.) ข้อมูลการตลาดและช่องทางจำหน่ายต้นภูพานเฮ (พีชปาล์ม)

 

1. ช่องทางการตลาดและจำหน่ายในประเทศไทย

💧 ตลาดหลักในประเทศ

  • 🔹ตลาดเกษตรกร (Farmers' Market): จำหน่ายยอดอ่อนและผลสด

  • 🔹 ร้านอาหารสุขภาพ/ร้านอาหารแนว Plant-based: รับซื้อเป็นวัตถุดิบ

  • 🔹ตลาดออนไลน์:

  • 🔹โรงงานแปรรูปอาหาร: รับซื้อในปริมาณมาก

💧 ราคาจำหน่าย (ปี 2023)

ผลิตภัณฑ์       ราคาต่อกิโลกรัม

ยอดอ่อนสด  /  150-300 บาท

ผลสด        /  200-400 บาท

ต้นพันธุ์     /    500-1,500 บาทต่อ ต้น (ขึ้นกับขนาด)

 

2. ตลาดต่างประเทศที่ต้องการ

ประเทศที่มีความต้องการสูง

  1. 💧 จีน:

    • นำเข้าผลแปรรูปและยอดอ่อน

    • ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสุขภาพ

    • ตลาดหลัก: กวางโจว เซี่ยงไฮ้

  2.  💧ญี่ปุ่น:

    • ต้องการยอดอ่อนสำหรับร้านอาหารชั้นสูง

    • มาตรฐานการรับซื้อเข้มงวด

  3. 💧 เกาหลีใต้:

    • นิยมใช้ในอุตสาหกรรมความงาม

    • รับซื้อน้ำมันจากดอก

  4. 💧 สหรัฐอเมริกา:

    • ตลาดอาหาร Plant-based กำลังเติบโต

    • รับซื้อผ่านบริษัทนำเข้าเฉพาะ

  5. 💧 สหภาพยุโรป:

    • เยอรมนีและเนเธอร์แลนด์เป็นตลาดหลัก

    • ต้องการผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก

 

3. การส่งออกและข้อกำหนด

💧 ข้อกำหนดการส่งออก

  • 🔹ใบรับรอง GAP (Good Agricultural Practice)

  • 🔹 การรับรองออร์แกนิก (สำหรับตลาดยุโรป)

  • 🔹 การบรรจุภัณฑ์ ต้องได้มาตรฐาน

💧ช่องทางการส่งออก

  1. 🔹ผ่านบริษัทนำเข้าเฉพาะ:

    • บริษัท Thai Organic Food Export

    • บริษัท Asia Superfood Trading

  2. 🔹ตลาดออนไลน์ระหว่างประเทศ:

    • Alibaba (สำหรับตลาดจีน)

    • Amazon (สำหรับตลาดสหรัฐฯ)

 

4. แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

💧YouTube ที่เกี่ยวข้อง

  1. 🔹"ตลาดภูพานเฮในจีน" โดย สมาคมส่งเสริมการส่งออกไทย-จีน

  2. 🔹"การแปรรูปภูพานเฮเพื่อส่งออก" โดย กรมส่งเสริมการเกษตร

💧 เว็บไซต์อ้างอิง

 

5. แนวทางการพัฒนาตลาด

💧สำหรับเกษตรกรรายย่อย

  • 🔹รวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง

  • 🔹 พัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น ชาจั่นดอก แป้งจากผล

💧 สำหรับนักลงทุน

  • 🔹 สร้างแบรนด์เฉพาะ สำหรับตลาดพรีเมียม

  • 🔹 ลงทุนในเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อยืดอายุสินค้า

 

✅หมายเหตุ: ควรติดต่อกรมส่งเสริมการเกษตรหรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเพื่อขอข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการส่งออก

5. ) สูตรอาหารและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากต้นภูพานเฮ (พีชปาล์ม)

 

1. สูตรอาหารจากยอดอ่อนและผลภูพานเฮ

💧 อาหารคาว

  1. 🔹 ยอดภูพานเฮผัดน้ำมันหอย

    • ส่วนผสม: ยอดอ่อน 200 กรัม, กระเทียมสับ, น้ำมันหอย, น้ำมันพืช

    • วิธีทำ: ผัดกระเทียมกับน้ำมันจนหอม ใส่ยอดภูพานเฮผัดเร็วๆ เติมน้ำมันหอยเล็กน้อย 10 ( https://www.facebook.com/watch/?v=408359057893485 )

    • คุณค่า: ยอดอ่อนมีโปรตีนสูงถึง 22.47%

  2. 🔹แกงจืดยอดภูพานเฮ

    • ใช้ยอดอ่อนแทนผักกาดขาว มีรสหวานธรรมชาติ

    • เหมาะสำหรับผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ

  3. 🔹ผลภูพานเฮอบเนย

    • นำผลสดมาผ่าครึ่ง ทาเนยและเกลือเล็กน้อย อบที่ 180°C 15 นาที

    • ได้รสสัมผัสคล้ายเกาลัดผสมอัลมอนด์ 10

💧 อาหารหวาน

  1. 🔹ไอศกรีมผลภูพานเฮ

    • ใช้ผลสุกปั่นกับนมสดและน้ำตาลเล็กน้อย

    • มีรสชาติเฉพาะตัวคล้ายวานิลลาผสมฮาเซลนัท

  2. 🔹เค้กยอดภูพานเฮ

    • ใช้ยอดอ่อนบดเป็นส่วนผสมในแป้งเค้ก

    • เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ

 

2. ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากภูพานเฮ

💧 เครื่องดื่ม

  1. 🔹 ชาจั่นดอกภูพานเฮ

    • มีกลิ่นหอมคล้ายโสม

    • ช่วยคลายเครียด บำรุงร่างกาย 10

    • วิธีทำ: ตากจั่นดอกให้แห้ง ใช้ชงกับน้ำร้อน 5-7 นาที

  2. 🔹น้ำผลภูพานเฮ

    • คั้นจากผลสุก เติมน้ำผึ้งเล็กน้อย

    • อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ

💧 ผลิตภัณฑ์สุขภาพ

  1. 🔹 ผงภูพานเฮ

    • ทำจากยอดอ่อนอบแห้งบดเป็นผง

    • ใช้เป็นสารให้โปรตีนในอาหารเสริม

  2. 🔹 น้ำมันดอกภูพานเฮ

    • สกัดเย็นจากดอก มีสรรพคุณบำรุงสุขภาพชาย

    • ใช้ในอุตสาหกรรมความงาม

💧 ผลิตภัณฑ์อื่นๆ

  1. 🔹 แป้งภูพานเฮ

    • ทำจากผลแห้งบด เหมาะสำหรับทำขนม

    • ปราศจากกลูเตน

  2. 🔹 อาหารสัตว์

    • ใช้ใบที่มีโปรตีนสูง 17.4% เป็นอาหารสัตว์ 10

 

3. แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

💧 YouTube ที่เกี่ยวข้อง

  1. 🔹"เมนูจากภูพานเฮ by หมอแนน"

  2. 🔹"การทำชาจั่นดอกภูพานเฮ" โดย สวนภูพานเฮ ดร.กฤษ

💧 เว็บไซต์อ้างอิง

 

✅ ข้อแนะนำ: ยอดอ่อนควรนำมาลวกก่อนรับประทานเพื่อลดความขมเล็กน้อย ส่วนผลสุกสามารถรับประทานสดได้เลย แต่ควรเลือกผลที่สุกเต็มที่เพื่อรสชาติที่ดีที่สุด 10 15 ( https://www.facebook.com/watch/?v=553362619107841 )

6.เทคนิคการแปรรูปขั้นสูง ❤️ จากต้นภูพานเฮ (พีชปาล์ม)

 

1. การสกัดสารสำคัญระดับอุตสาหกรรม

💧1.1 การสกัดโปรตีนจากยอดภูพานเฮ

  • 🔹เทคโนโลยี Supercritical Fluid Extraction (SFE)

    • ใช้ CO₂ ในสภาพเหนือวิกฤตเพื่อสกัดโปรตีนบริสุทธิ์

    • ให้โปรตีนความเข้มข้นสูงถึง 85-90%

    • เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมอาหารเสริมและโภชนาการทางการแพทย์

💧1.2 การสกัดน้ำมันจากดอก

  • 🔹Cold Press Extraction

    • สกัดที่อุณหภูมิต่ำกว่า 40°C เพื่อรักษาสารอาหาร

    • ได้น้ำมันคุณภาพสูงที่มีสารกลุ่มฟลาโวนอยด์

    • ใช้ในเวชสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

 

2. เทคโนโลยีการแปรรูปผล

💧2.1 การทำผงผลภูพานเฮแบบ Spray Dry

  • 🔹กระบวนการ:

    1. นำผลสุกไปสกัดเป็นน้ำ

    2. ผ่านเครื่อง Spray Dry ที่อุณหภูมิ 180-200°C

    3. ได้ผงละเอียดพร้อมเก็บรักษานาน

  • 🔹ข้อดี: รักษาสารอาหาร ละลายน้ำง่าย

💧 2.2 การทำ Freeze Dry (การทำแห้งแบบเยือกแข็ง)

  • 🔹เหมาะสำหรับจั่นดอกและยอดอ่อน

  • 🔹 อุณหภูมิ -40 ถึง -50°C ภายใต้สุญญากาศ

  • 🔹เก็บรักษาสารอาหารได้ 95-98%

 

3. นวัตกรรมผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง

💧3.1 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

  • 🔹แคปซูลโปรตีนภูพานเฮ

    • ใช้เทคนิค Microencapsulation

    • ป้องกันการสลายตัวของโปรตีนในทางเดินอาหาร

  • 🔹 สารสกัดมาตรฐาน (Standardized Extract)

    • ควบคุมปริมาณสารออกฤทธิ์หลัก

    • ใช้ในเภสัชภัณฑ์

💧3.2 ผลิตภัณฑ์ความงาม

  • 🔹เซรั่มบำรุงผิวจากน้ำมันดอก

    • ผสมนาโนเอ็นแคปซูเลชัน

    • ซึมซาบสู่ผิวชั้นลึก

  • 🔹 มาส์กหน้าจากผงภูพานเฮ

    • ผสมสารสกัดจากจั่นดอก

    • ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน

 

4. การควบคุมคุณภาพและการตรวจสอบ

💧4.1 ระบบ HPLC Analysis

  • 🔹ตรวจสอบปริมาณสารสำคัญ

  • 🔹 รับรองมาตรฐานสารสกัด

💧4.2 การตรวจจุลินทรีย์แบบ Real-time PCR

  • 🔹ตรวจหาการปนเปื้อนอย่างรวดเร็ว

  • 🔹 ใช้ในกระบวนการผลิตอาหาร

 

5. แหล่งข้อมูลอ้างอิง

💧YouTube ที่เกี่ยวข้อง:

  1. 🔹"เทคโนโลยีการสกัดสารสำคัญจากพืช"

    • โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

    • ลิงก์: https://www.youtube.com/watch?v=xxxxxx

  2. 🔹 "การทำแห้งแบบเยือกแข็งสำหรับอาหาร"

💧 เว็บไซต์แนะนำ:

 

6. ข้อแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น

  1. 🔹เริ่มจากเครื่องมือพื้นฐานก่อนลงทุนเทคโนโลยีสูง

  2. 🔹 ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอาหาร

  3. 🔹 ศึกษากฎหมายอาหารและยาให้ครบถ้วน

  4. 🔹 พิจารณาตลาดเป้าหมายให้ชัดเจน

 

💧 หมายเหตุ: เทคโนโลยีเหล่านี้ส่วนใหญ่ต้องการการลงทุนสูงและความรู้เฉพาะทาง ควรเริ่มจากโครงการขนาดเล็กก่อนขยายมาตราส่วน

ตรงนี้คือย่อหน้า คลิกที่นี่เพื่อใส่และแก้ไขข้อความของคุณ ง่ายๆ เลย

แองเคอ 1

© 2024 by The SUN Academy (TSA). Powered and secured by Wix

bottom of page