top of page

Land & Soil

เพื่อการปรับทัศนียภาพ และ การก่อสร้างเกาะ เชื่อน ที่เกี่ยวข้องกับดิน หิน ภายในโครงการ MIT และ  ตามที่ว่าจ้าง                                                                          

1.png
ShortCut
Amalfi

1.) เกาะไมโคนอส กรีซ รวม 4 คลิป 

2 Home Garden

2.) Amalfi coast Italy รวม 2 คลิป 

2 Safety
G3 (7).png

1.) แสดงข้อมูล และ การวิจัย และ ดำเนินการทางวิศวกรรม เพื่อความปลอดภัย ในการก่อสร้าง บ้านลดลั่นบนเนินดิน สูง 15 เมตร โดยหากเกิดจากจากการดูดทราย และดิน ขึ้นมา เมื่อดินทรายที่ดูดขึ้นมา จะกองสูงขึ้น ผมขอทราบการดำเนินการทางวิศวกรรมเป็นขั้นตอนอย่างละเอียด พร้อมอ้างถึง พร้อม Link หรือ YouTube ที่ระบุสถานที่ทำก่อสร้างเนินดินทรายและและดิน แล้วมาสร้างสิ่งปลูกสร้างลดหลั่น เหมือน Amalfi-coast Italy  ที่ประสบความสำเร็จ หรือ น่าสนใจ

1.) ความปลอดภัยในการก่อสร้างบ้านลดหลั่นบนเนินดินสูง 15 เมตร จากการดูดทรายและดิน

การก่อสร้างอาคารลดหลั่นบนเนินดินที่เกิดจากการดูดทรายและดินขึ้นมา   

(หรือที่เรียกว่า การถมดินแบบไฮดรอลิก หรือ การถมทะเล) มีความซับซ้อนและจำเป็นต้องพิจารณาด้านความปลอดภัยทางวิศวกรรมอย่างรอบคอบเป็นพิเศษ เนื่องจากลักษณะของดินถมที่ยังไม่แน่นตัวเต็มที่และความเสี่ยงด้านเสถียรภาพของเนินดินสูง 15 เมตร

 

ข้อมูลเบื้องต้นและการวิจัยที่จำเป็น

 

ก่อนเริ่มดำเนินการทางวิศวกรรม ควรมีการศึกษาและวิจัยข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดดังนี้:

  1. คุณสมบัติของดินถม (Dredged Material Properties):

    • การวิเคราะห์ทางธรณีเทคนิค (Geotechnical Analysis): เก็บตัวอย่างดินทรายที่ดูดขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์คุณสมบัติทางกายภาพและกลศาสตร์ เช่น ขนาดเม็ดดิน (Grain Size Distribution), ความหนาแน่น (Density), ค่าความชื้น (Moisture Content), ขีดจำกัดแอตเตอร์เบิร์ก (Atterberg Limits - สำหรับดินเหนียว), ค่ากำลังเฉือน (Shear Strength) ทั้งแบบไม่ระบายน้ำ (Undrained) และระบายน้ำ (Drained), ค่าแรงดันน้ำในช่องว่างดิน (Pore Water Pressure).

    • ประวัติการถม (Dredging History): ศึกษาข้อมูลวิธีการและระยะเวลาการดูดทรายและดินขึ้นมา รวมถึงวิธีการบดอัดเบื้องต้น (หากมี) และอัตราการตกตะกอนของอนุภาคดิน.

  2. เสถียรภาพของเนินดิน (Slope Stability):

    • การวิเคราะห์เสถียรภาพเชิงลาด (Slope Stability Analysis): ใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ทางธรณีเทคนิค (เช่น SLOPE/W, PLAXIS) เพื่อประเมินค่า ปัจจัยความปลอดภัย (Factor of Safety, FOS) ของเนินดินภายใต้สภาวะต่างๆ เช่น สภาวะก่อนการก่อสร้าง, ระหว่างการก่อสร้าง, หลังการก่อสร้าง และสภาวะแผ่นดินไหว (ถ้าอยู่ในเขตเสี่ยง). ค่า FOS ที่ยอมรับได้โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 1.3-1.5 ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับมาตรฐานของแต่ละประเทศและประเภทของโครงสร้าง.

    • การวิเคราะห์การทรุดตัว (Settlement Analysis): ประเมินการทรุดตัวของดินถมในระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลต่อโครงสร้างอาคารและระบบสาธารณูปโภค.

  3. ผลกระทบจากน้ำ (Water Effects):

    • การจัดการน้ำใต้ดินและน้ำผิวดิน (Groundwater and Surface Water Management): แผนการระบายน้ำผิวดินและระบบระบายน้ำใต้ดินมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันการกัดเซาะและการเพิ่มแรงดันน้ำในช่องว่างดิน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพของเนินดิน.

G3 (9).png
P 2

2. การดำเนินโดยทั่วไปการทางวิศวกรรมเป็นขั้นตอน

 

 

1. การสำรวจและประเมินพื้นที่ (Site Investigation and Assessment)

 

  • เจาะสำรวจดิน (Borehole Drilling): ดำเนินการเจาะสำรวจดินตามแนวอาคารและแนวลาดชันของเนินดิน เพื่อเก็บตัวอย่างดินและวัดค่าคุณสมบัติของดินในชั้นต่างๆ. ความลึกของการเจาะควรเพียงพอที่จะครอบคลุมชั้นดินถมและชั้นดินเดิมใต้ฐาน.

  • ทดสอบในห้องปฏิบัติการ (Laboratory Testing): นำตัวอย่างดินที่ได้มาทดสอบเพื่อหาคุณสมบัติทางวิศวกรรมตามที่กล่าวไว้ข้างต้น (คุณสมบัติของดินถม).

  • ติดตั้งเครื่องมือวัด (Instrumentation Installation): ติดตั้งเครื่องมือวัด เช่น Piezometers (วัดแรงดันน้ำในช่องว่างดิน), Inclinometers (วัดการเคลื่อนตัวด้านข้างของดิน), Settlement Plates (วัดการทรุดตัว) เพื่อติดตามพฤติกรรมของเนินดินตลอดช่วงการก่อสร้างและหลังการก่อสร้าง.

 

2. การปรับปรุงคุณภาพดิน (Ground Improvement)

 

เนื่องจากดินที่เกิดจากการดูดทรายและดินขึ้นมามักมีความหลวมและไม่แน่นตัว จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงคุณภาพดินเพื่อเพิ่มกำลังรับน้ำหนักและลดการทรุดตัว:

  • การบดอัด (Compaction): หากดินที่ถมมีคุณสมบัติเหมาะสม (เช่น ทราย) สามารถใช้วิธีบดอัดด้วยเครื่องจักรหนัก (เช่น รถบดสั่นสะเทือน) เพื่อเพิ่มความหนาแน่น.

  • การอัดแน่นด้วยการสั่นสะเทือน (Vibro-Compaction/Vibro-Replacement): ใช้หัวสั่นสะเทือนจุ่มลงไปในดินเพื่อบดอัดทรายหรือสร้างเสาหินบดอัด (Stone Columns) ในดินเหนียว เพื่อเพิ่มกำลังและเร่งการระบายน้ำ.

  • การใช้เสาเข็มดินซีเมนต์ (Deep Soil Mixing/Cement-Treated Soil): ผสมซีเมนต์กับดินเดิมในพื้นที่ เพื่อสร้างเสาเข็มดินซีเมนต์ ช่วยเพิ่มกำลังรับน้ำหนักและลดการทรุดตัว.

  • การระบายน้ำแบบเร่งรัด (Preloading with Vertical Drains): วางแผ่นระบายน้ำแนวตั้ง (Vertical Drains หรือ PVDs) ในดินถม และวางน้ำหนักถ่วง (เช่น ดิน) ด้านบน เพื่อเร่งการระบายน้ำออกจากดินและทำให้ดินทรุดตัวอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุม.

  • กำแพงกันดิน (Retaining Walls): สำหรับบางส่วนของเนินดินที่ลาดชันมาก อาจจำเป็นต้องก่อสร้างกำแพงกันดิน เช่น กำแพงคอนกรีตเสริมเหล็ก (Reinforced Concrete Retaining Walls), กำแพงดินเสริมเหล็ก (Reinforced Earth Walls) หรือ เข็มพืด (Sheet Piles) เพื่อเพิ่มเสถียรภาพ.

 

3. การออกแบบโครงสร้างและฐานราก (Structural and Foundation Design)

 

  • การออกแบบฐานราก (Foundation Design):

    • เสาเข็ม (Piles): สำหรับอาคารลดหลั่นบนเนินดินสูง มักนิยมใช้เสาเข็มเจาะหรือเสาเข็มตอกที่ยาวเพียงพอที่จะตอกทะลุชั้นดินถมและรับน้ำหนักจากชั้นดินเดิมที่แข็งแรงด้านล่าง.

    • ฐานรากแบบแพ (Raft Foundations): ในกรณีที่ดินถมได้รับการปรับปรุงคุณภาพอย่างดีและมีกำลังรับน้ำหนักสูงพอ อาจพิจารณาใช้ฐานรากแบบแพเพื่อกระจายน้ำหนัก.

    • การพิจารณาแรงดันด้านข้าง (Lateral Earth Pressure): ฐานรากและโครงสร้างอาคารที่อยู่บนเนินดินต้องได้รับการออกแบบให้ทนทานต่อแรงดันด้านข้างจากดิน.

  • การออกแบบโครงสร้างอาคารลดหลั่น (Tiered Building Structure Design):

    • การกระจายน้ำหนัก: ออกแบบโครงสร้างให้มีการกระจายน้ำหนักลงสู่ฐานรากอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสมกับสภาพดิน.

    • การเชื่อมต่อโครงสร้าง: การเชื่อมต่อระหว่างอาคารแต่ละระดับต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับการทรุดตัวที่อาจแตกต่างกัน.

    • วัสดุและเทคนิคการก่อสร้าง: เลือกใช้วัสดุและเทคนิคที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น.

 

4. การจัดการน้ำ (Water Management)

 

  • ระบบระบายน้ำผิวดิน (Surface Drainage System): ออกแบบร่องระบายน้ำและทางระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพบนเนินดิน เพื่อป้องกันการกัดเซาะและการสะสมของน้ำ.

  • ระบบระบายน้ำใต้ดิน (Subsurface Drainage System): อาจจำเป็นต้องติดตั้งท่อระบายน้ำใต้ดิน (French Drains) หรือชั้นระบายน้ำ (Drainage Layers) เพื่อลดแรงดันน้ำในช่องว่างดิน.

 

5. การควบคุมและติดตามผลระหว่างและหลังการก่อสร้าง (Construction Control and Monitoring)

 

  • การควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง (Construction Quality Control): ตรวจสอบการบดอัดดิน การติดตั้งเสาเข็ม และการก่อสร้างโครงสร้างต่างๆ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดและมาตรฐานทางวิศวกรรมอย่างเคร่งครัด.

  • การติดตามการเคลื่อนตัว (Movement Monitoring): ตรวจสอบค่าที่ได้จากเครื่องมือวัดที่ติดตั้งไว้ (Piezometers, Inclinometers, Settlement Plates) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังการเคลื่อนตัวของดินและโครงสร้าง. หากพบการเคลื่อนตัวผิดปกติ ต้องหยุดการก่อสร้างและวิเคราะห์หาสาเหตุเพื่อหาแนวทางแก้ไข.

  • การตรวจสอบหลังการก่อสร้าง (Post-Construction Inspection): ดำเนินการตรวจสอบและติดตามผลอย่างสม่ำเสมอหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ โดยเฉพาะในช่วงแรก เพื่อให้มั่นใจในเสถียรภาพของโครงสร้างและเนินดิน.

P 3

3. ตัวอย่างโครงการที่น่าสนใจ (คล้าย Amalfi Coast)

 

การก่อสร้างอาคารลดหลั่นบนพื้นที่ลาดชันที่เกิดจากการถมดินโดยตรงและสูง 15 เมตรนั้นหาได้ยากในแง่ของ "การถมดิน" ที่สร้างเนินโดยเฉพาะ แต่มีหลายโครงการที่ก่อสร้างอาคารลดหลั่นบนพื้นที่ลาดชันหรือหน้าผาริมทะเลที่ซับซ้อน คล้ายคลึงกับสถาปัตยกรรม Amalfi Coast ซึ่งสามารถนำหลักการทางวิศวกรรมความปลอดภัยมาประยุกต์ใช้ได้

นี่คือตัวอย่างของแนวคิดและเทคนิคที่อาจเกี่ยวข้อง (แต่ไม่ใช่การถมดินเพื่อสร้างเนินสูง 15 เมตรโดยตรง):

  • โครงการรีสอร์ทหรือที่พักอาศัยบนหน้าผา: หลายโครงการที่สร้างบนหน้าผาริมทะเล เช่น ในกรีซ (Santorini) หรืออิตาลี (Amalfi Coast) เอง ไม่ได้เกิดจากการถมดินเพื่อสร้างเนิน แต่เป็นการก่อสร้างบนชั้นหินเดิมหรือการปรับพื้นที่ลาดชันอย่างระมัดระวัง ซึ่งใช้เทคนิคด้านเสถียรภาพเชิงลาดและฐานรากที่แข็งแรง

    • ตัวอย่างแนวคิดการก่อสร้างบนพื้นที่ลาดชัน (ไม่ใช่การถมดินโดยตรง แต่เกี่ยวข้องกับเสถียรภาพ):

    • การศึกษาทางวิศวกรรมสำหรับพื้นที่ลาดชัน: คุณสามารถค้นหาบทความทางวิชาการเกี่ยวกับการวิเคราะห์เสถียรภาพเชิงลาด (Slope Stability Analysis) หรือการก่อสร้างบนพื้นที่ลาดชัน (Construction on Sloping Terrain) เพื่อศึกษาหลักการทางวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม:

      • ลองค้นหาใน Google Scholar ด้วยคีย์เวิร์ดเช่น "slope stability analysis in geotechnical engineering", "retaining structures for deep excavations", "foundation design for steep slopes".

  • วิดีโอ YouTube ที่เกี่ยวข้องกับวิศวกรรมธรณีเทคนิค (ไม่ใช่การก่อสร้างรีสอร์ทโดยตรง แต่แสดงเทคนิคการทำงานกับดิน):

 

ข้อสำคัญ: การก่อสร้างบนเนินดินที่เกิดจากการถมดิน โดยเฉพาะที่สูงถึง 15 เมตร เป็นงานที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงมาก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับคำปรึกษาและดำเนินการโดย วิศวกรธรณีเทคนิค (Geotechnical Engineer) และ วิศวกรโครงสร้าง (Structural Engineer) ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญโดยตรงในงานลักษณะนี้เท่านั้น เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและเสถียรภาพของโครงการในระยะยาว

P 4

4.) การออกแบบและก่อสร้างบ้านลดหลั่นบนเนินดินทรายสูง 15 เมตร: พร้อมการอ้างอิง

แนวทางวิศวกรรมเพื่อความปลอดภัย

 

1. การเตรียมพื้นที่และวิเคราะห์สภาพดินเบื้องต้น

ขั้นตอนวิศวกรรมแรกสุด คือการประเมินสภาพดินและออกแบบโครงสร้างฐานรากที่เหมาะสม:

  • 1.1 การตรวจสอบคุณภาพดินทราย: ต้องทำการทดสอบความสามารถในการรับน้ำหนัก (Bearing Capacity) และความแน่นตัว (Compaction Test) ของดินทรายที่ดูดขึ้นมา 

  • 1.2 การวิเคราะห์ความลาดชัน: เนินดินสูง 15 เมตรต้องมีการคำนวณมุมลาดเอียงที่ปลอดภัย (Safe Slope Angle) เพื่อป้องกันการพังทลาย โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 30-35 องศาสำหรับดินทราย 

  • 1.3 การบดอัดดิน: ดินทรายต้องถูกบดอัดเป็นชั้นๆ (Layer Compaction) ด้วยความหนาไม่เกิน 30 ซม.ต่อชั้น โดยใช้เครื่องบดอัดแบบสั่นสะเทือน (Vibratory Roller) 

 

2. ระบบป้องกันการพังทลายของเนินดิน

มาตรการทางวิศวกรรมเพื่อเสริมความมั่นคงของเนินดิน:

  • 2.1 ระบบกันดิน (Retaining Walls): ควรสร้างกำแพงกันดินแบบขั้นบันได (Terraced Retaining Walls) ด้วยวัสดุเช่นคอนกรีตเสริมเหล็กหรือหินก่อ เพื่อกระจายแรงดันดิน 

  • 2.2 การระบายน้ำ: ออกแบบระบบระบายน้ำ subsurface drainage และ surface drainage เพื่อป้องกันน้ำซึมสะสมในเนินดินซึ่งอาจทำให้ดินอิ่มตัวและสูญเสียความแข็งแรง 

  • 2.3 การเสริมแรงดิน (Soil Reinforcement): อาจใช้ Geogrid หรือ Geotextile เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของดินทราย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง 

 

3. การออกแบบโครงสร้างอาคารบนเนินดิน

หลักการออกแบบสถาปัตยกรรมและโครงสร้าง:

  • 3.1 ฐานรากแบบพิเศษ: ใช้ฐานรากแผ่ขนาดใหญ่ (Mat Foundation) หรือเสาเข็ม (Piles) เพื่อกระจายน้ำหนักและป้องกันการทรุดตัวไม่เท่ากัน 

  • 3.2 โครงสร้างรับแรงเฉือน: อาคารต้องออกแบบให้รับแรงเฉือนจากดินเคลื่อนตัวได้ โดยเพิ่มความแข็งแรงที่จุดต่อระหว่างคานและเสา 

  • 3.2 การแบ่งส่วนอาคาร: ออกแบบอาคารเป็นบล็อกเล็กๆ (Modular Design) เพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนตัวของดินที่ไม่สม่ำเสมอ 

 

4. ระบบตรวจสอบและเฝ้าระวังความปลอดภัย

กลไกตรวจสอบระยะยาว:

  • 4.1 เครื่องมือวัดการเคลื่อนตัว (Inclinometers): ติดตั้งตามจุดต่างๆ ของเนินดินเพื่อตรวจสอบการเคลื่อนตัว 

  • 4.2 มาตรวัดแรงดันน้ำ (Piezometers): ตรวจสอบระดับน้ำใต้ดินที่อาจส่งผลต่อความมั่นคงของเนินดิน 

  • 4.3 การตรวจสอบรอยแตก (Crack Monitors): ติดตามการเกิดรอยแตกบนโครงสร้างอาคารและกำแพงกันดิน 

 

5. ตัวอย่างโครงการอ้างอิง

โครงการที่ประสบความสำเร็จในการสร้างบนเนินดินทราย:

  1.  5.1 Positano, อิตาลี: เมืองที่สร้างลดหลั่นบนไหล่เขาริมทะเล ด้วยระบบกำแพงกันดินแบบหินแห้งและระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ 

  2. 5.2 Santorin, กรีซ: เกาะภูเขาไฟที่สร้างบ้านลดหลั่นบนหน้าผาสูง ด้วยระบบฐานรากแบบพิเศษที่รับมือกับดินภูเขาไฟ 

  3. 5.3 รีสอร์ทเชิงเขาภูเก็ต: หลายโครงการในไทยใช้เทคนิคการเสริมแรงดินด้วย Geosynthetics ก่อนสร้างโครงสร้างบนเนินสูง 

 

6. แหล่งข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม

 

7. แนวทางการบำรุงรักษา

การดูแลระยะยาว:

  • 7.1 ตรวจสอบระบบระบายน้ำทุก 6 เดือน

  • 7.2 สังเกตการทรุดตัวหรือรอยแตกทุก 3 เดือน

  • 7.3 ทำความสะอาดร่องน้ำและทางระบายน้ำผิวหน้าทุกปีก่อนฤดูฝน 

การก่อสร้างบนเนินดินทรายสูง 15 เมตรต้องอาศัยความเข้าใจในพฤติกรรมของดินและการออกแบบที่คำนึงถึงแรงทางธรณีเทคนิคเป็นหลัก โครงการที่ประสบความสำเร็จเช่นที่ Amalfi Coast แสดงให้เห็นว่าสามารถทำได้อย่างปลอดภัยเมื่อมีการวางแผนทางวิศวกรรมที่รอบคอบ 

© 2024 by The SUN Academy (TSA). Powered and secured by Wix

bottom of page