top of page

Soil Water Fertilizer

ดิน น้ำ ปุ๋ย เกษตรอินทรีย์

เพื่อโครงการ ดวงใจหทัยราษฏร์ ปราชญ์แห่งน้ำ                                                                                      

5.png

ข้อมูลทั้งหมดได้รวบรวมจาก AI                                                                           

Shortcut

ได้รวบรวม ในความรู้ ประสบประการณ์ ความสำเร็จ ข้อแนะนำ จากคนไทย และ ต่างประเทศ ที่ยินดีแบ่งปันบน YouTube โดย VG จะนำมารวบรวม และ ดัดแปลงในการใช้ การปกป้องกัน และ เป็นข้อแนะนำในการดำเนินการ https://www.youtube.com/@DulyawatPhuttakaya-ys9bf/playlists                                                                                      

GAP

1.) การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP)  รวม 27 คลิป  

2.) มาตรฐานการผลิตขั้นต้น (Primary GMP) รวม 18 คลิป  

3.) เกษตรอินทรีย์ รวม 15 คลิป  

4.) The International Federation of Organic Agriculture Movement (IFOAM) รวม 4 คลิป  

กรด ด่าง
PH ดิน
3. เตรียมดิน

3.) การเตรียมดิน  รวม 6 คลิป 

4.คลองไส่ไก่

4.) คลองใส่ไก่ รวม 24 คลิป 

5 ธาตุอาหาร

6.) ขุยมะพร้าวอัดก้อน รวม 13 คลิป 

6 ขุยมะพร้าว
7 ปูพลาสติกกันหญ้า

7.) ปูพลาสติกกันหญ้า รวม 11 คลิป 

8.แปลงอิฐบล๊อก
9 ไถ่ปรับหน้าดิน

9.) การไถปรับหน้าดิน รวม 10 คลิป 

10 ไถ่พรวนดิน

10.) การไถ่พรวนดิน รวม 19 คลิป 

11 เครื่องมือกำจัดววัชพืช
12 กำจัดต้นไม้ใหญ่

12.) กําจัดต้นไม้ใหญ่ โดยไม่ใช้สารเคมี รวม 2 คลิป 

13 สูตรดินปลูก

13.) สูตรดินปลูก รวม 20 คลิป 

14 ผงซักฟอก

14.) ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน มีผลต่อเกษตรอินทรีย์ รวม 8 คลิป 

การนำน้ำที่มีส่วนผสมของผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจานมาใช้ในเกษตรอินทรีย์อาจส่งผลกระทบต่อดินและพืช ดังนี้:​

1. น้ำล้างจาน:

  • สารตกค้าง: น้ำล้างจานมักมีไขมันและโปรตีน ซึ่งโปรตีนจะแตกตัวเป็นแอมโมเนียที่เป็นแหล่งของไนโตรเจน หากใช้น้ำล้างจานรดพืชอย่างสม่ำเสมอ อาจทำให้พืชได้รับไนโตรเจนมากเกินไป ส่งผลให้พืชแตกใบมากเกินไปและลดการออกดอกออกผล ​Technology Chaoban+1matichonacademy.com+1

2. น้ำซักผ้า:

  • สารเคมีในผงซักฟอก: ผงซักฟอกบางชนิดมีสารลดความกระด้างของน้ำ เช่น ฟอสเฟต ซึ่งเป็นธาตุอาหารของพืช แต่หากมีปริมาณมากเกินไป อาจทำให้พืชเติบโตผิดปกติหรือส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ​matichonacademy.com+1Technology Chaoban+1

  • ความเค็มและโซเดียม: น้ำซักผ้ามีโซเดียมซึ่งหากสะสมในดินมากเกินไป อาจทำให้ดินเสื่อมคุณภาพและพืชขาดน้ำได้ ​matichonacademy.com

คำแนะนำ:

  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำที่มีสารเคมี: ในระบบเกษตรอินทรีย์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำที่มีสารเคมี เช่น ผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจาน เพื่อป้องกันการสะสมของสารเคมีในดินและพืช​

  • ใช้น้ำที่ปราศจากสารเคมี: ควรใช้น้ำสะอาดหรือผ่านการบำบัดที่เหมาะสมในการรดน้ำพืช เพื่อรักษาคุณภาพของดินและสุขภาพของพืช​

ดังนั้น การนำน้ำที่มีผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจานมาใช้ในเกษตรอินทรีย์ไม่แนะนำ เนื่องจากอาจส่งผลเสียต่อดินและพืชในระยะยาว

15.) การใช้เกลือ + น้ำส้มสายชู + สบู่ เพื่อฆ่าหญ้าหรือวัชพืช ในแปลงเกษตรอินทรีย์สามารถทำได้  รวม 8 คลิป 

15 เกลือ น้ำส้ม สบู่

การใช้เกลือ + น้ำส้มสายชู + สบู่ เพื่อฆ่าหญ้าหรือวัชพืช ในแปลงเกษตรอินทรีย์สามารถทำได้ แต่ควรใช้อย่างระมัดระวัง เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงต่อดินและพืชที่ต้องการปลูกได้

🌿 ส่วนผสมของสารกำจัดวัชพืชแบบธรรมชาติ:

✅ สูตรที่ใช้กันทั่วไปมีดังนี้:

ส่วนผสมปริมาณหมายเหตุ

น้ำส้มสายชู (5% - 10%)1 ลิตรน้ำส้มสายชูช่วยให้วัชพืชแห้งตาย เนื่องจากมีความเป็นกรดสูง

เกลือแกง (Sodium chloride)100 กรัม (ประมาณ 5 ช้อนโต๊ะ)เกลือช่วยทำลายรากและทำให้ดินขาดน้ำ

สบู่เหลว (สบู่ล้างจานสูตรธรรมชาติ)1 ช้อนโต๊ะช่วยลดแรงตึงผิว ทำให้สารละลายเกาะติดวัชพืชได้ดีขึ้น

น้ำเปล่า1 ลิตรช่วยเจือจางให้สารละลายไม่แรงเกินไป

🛠️ วิธีผสมและวิธีใช้:

  1. ผสมส่วนผสม ทั้งหมดในภาชนะ (ควรใช้ภาชนะที่ทนต่อกรด)

  2. เขย่าหรือคน ให้ส่วนผสมเข้ากันดี

  3. เทใส่ขวดสเปรย์ สำหรับฉีดพ่น

  4. ฉีดพ่น บนวัชพืชโดยตรงในช่วงแดดจัด (ช่วงเวลา 09.00 น. - 11.00 น.)

    • ฉีดพ่นให้โดนใบวัชพืชโดยตรง

    • หลีกเลี่ยงการฉีดพ่นใกล้พืชหลักที่ต้องการเก็บเกี่ยว

  5. หลังฉีดพ่น 1 - 2 วัน วัชพืชจะเริ่มเหี่ยวและตาย

⚠️ ข้อควรระวัง:

🔸 เกลือ มีฤทธิ์ทำให้ดินเค็ม → อาจทำให้พืชหลักเติบโตได้ไม่ดี ควรใช้ปริมาณเกลือในปริมาณที่พอเหมาะ
🔸 น้ำส้มสายชู มีฤทธิ์เป็นกรด → อาจทำให้ดินเสียสมดุลกรด-ด่างได้ ควรปรับสมดุลด้วยปุ๋ยอินทรีย์หลังการใช้งาน
🔸 ไม่ควรใช้บ่อยเกินไป → การใช้บ่อย ๆ อาจทำให้ดินเสื่อมสภาพ

✅ เทคนิคเพิ่มเติมเพื่อการใช้สารกำจัดวัชพืชธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ:

  • เลือกฉีดในวันที่แดดแรง เพื่อให้วัชพืชเหี่ยวตายเร็วขึ้น

  • หลีกเลี่ยงการฉีดในวันฝนตก เพราะน้ำฝนจะชะล้างสารออกไปก่อนที่จะออกฤทธิ์

  • หลีกเลี่ยงฉีดพ่นใกล้กับพืชหลัก เพื่อป้องกันไม่ให้พืชที่ต้องการเติบโตได้รับผลกระทบ

🌾 สรุป:

✅ การใช้ น้ำส้มสายชู + เกลือ + สบู่ เป็นวิธีธรรมชาติที่สามารถใช้ได้ในการกำจัดวัชพืชในแปลงเกษตรอินทรีย์ แต่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และ ระมัดระวังในการใช้ใกล้พืชหลัก เพื่อป้องกันผลกระทบต่อดินและพืชที่ต้องการปลูก

16 ค้างไม้เลื้อย

16.) ค้างไม้เลื้อย  รวม 31 คลิป 

ค้างผักไม้เลื้อยแบบต่างๆ  เช่น การทำ ค้างผัก ค้างปลูกผัก                                                                                                            

 

1.) เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนอาจจะกำลังอยากปลูกผักไว้ทานเองที่บ้านให้ความสนใจ  อย่างผักจำพวกไม้เลื้อย เช่น ถั่ว แตง บวบ มะระ ฯลฯ ที่จำเป็นต้องมีค้างเพื่อให้ลำต้นไม้เหล่านั้นได้เกาะเลื้อยเติบโตขึ้นมา

 

2.) “โครงค้าง” ที่ดีนั้น ขอเพียงแค่มีความแข็งแรง ทนทาน สามารถรับน้ำหนักของต้นพืชที่ปลูกได้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนความถี่ของเส้นเชือก เอ็น หรือตาข่ายที่ใช้นั้นขึ้นอยู่กับจำนวนกิ่งที่เราเลือกเก็บไว้ เช่น ถั่ว แตง ตำลึง ต้องเลี้ยงกิ่งหลายกิ่งเพื่อผลผลิตจำนวนมาก ก็ควรจะมีหลายเส้นสำหรับรองรับ ส่วนเมล่อนใช้เชือกเพียงเส้นเดียวเพื่อเลี้ยงเพียงหนึ่งกิ่งสำหรับให้ได้ผลที่มีคุณภาพ เป็นต้น

โดย

                       

1. ค้างผัก แบบเสารั้ว ทำได้ง่าย ต้นทุนไม่สูง ประหยัดพื้นที่ สามารถปรับใช้ใกล้แนวกำแพงบ้าน หรือผนังได้ แสงแดดส่องได้อย่างทั่วถึง ให้ผลผลิตดี ในช่วงแรกแต่เมื่อเวลาผ่านไปมักจะมีปัญหาเรื่องเถาที่ยาวขึ้นจนสูงเกินค้างไป ทำให้ต้องคอยหมั่นตัดแต่งอยู่เสมอ ค้างชนิดนี้จึงเหมาะกับพืชล้มลุก พืชอายุสั้น เถาเล็ก น้ำหนักเบา เช่น ดอกขจร อัญชัน เป็นต้น ค้างแบบเสารั้วนี้สามารถเลือกแนวของเส้นเชือกได้ตามชนิดของพืช เช่น เมล่อน มะเขือเทศ ใช้เชือกยาวตั้งเพื่อช่วยพยุงลำต้น ส่วนพืชชนิดอื่นที่มีการเกาะเลื้อยแบบทั่วไปก็สามารถใช้เชือกแนวนอนตามปกติ

                                                             

2. ค้างผัก แบบกระโจม  ค้างแบบนี้คล้ายกับแบบเสารั้ว แต่มีการเพิ่มเสาทั้งสองข้างช่วยให้โครงค้างมั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น จัดการเรื่องการตัดแต่งและเก็บผลผลิตจะทำได้ดีในช่วงแรกๆ แต่พอนานไปจะทำได้ยาก จึงนิยมใช้กับพืชล้มลุก หรือพืชที่อายุสั้น เช่น แตงกวา แตงร้าน หรือใช้กับพืชที่กินใบ กินยอด เช่น ผักปลัง ตำลึง เป็นต้น

                           

3. ค้างผักตัว A  ทำได้ง่าย ลงทุนน้อย ใช้พื้นที่ได้ถึงสองข้างของค้างนิยมใช้กับพืชล้มลุกหรือพืชอายุสั้น เช่น แตงกวา แตงร้าน เนื่องจากการจัดการเรื่องการตัดแต่ง และเก็บผลผลิตจะทำได้ดีในช่วงแรกๆ แต่พอนานไปจะทำได้ยาก  ค้างแบบนี้สามารถนำมาปรับใช้เป็นค้าง ที่ปลูกเพื่อความสวยงามในสว นได้อีกด้วยเช่นกัน

 

4. ค้างเพิงหมาแหงน  เป็นค้างรูปแบบใหม่ มีความแข็งแรงรับน้ำหนักได้พอสมควร สามารถปรับเปลี่ยนองศาของแผงค้างได้ จุดเด่นของค้างรูปแบบนี้ คือช่วยให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้สะดวก นิยมใช้ปลูกไม้ที่เก็บผล เช่น บวบ ฟักเขียว มะระ เป็นต้น

 

5. ค้างตัว T เป็นค้างที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับพื้นที่และชนิดพืชได้ง่าย สามารถเพิ่มจำนวนเส้นลวดบนเสาได้ อีกทั้งปรับองศาของค้างด้านบนได้ตามความต้องการ จึงเหมาะสำหรับพื้นที่เชิงเขา แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้กับที่ราบได้เช่นกัน ช่วยให้สะดวกในการเก็บผลผลิต สามารถจัดการดูแลตัดแต่งกิ่งได้ง่าย ตัดแต่งโคนต้นด้านล่างให้โล่งเพื่อความสะดวกในการทำงาน เหมาะกับพืชที่มีขนาดใหญ่ พืชอายุยืน เช่น องุ่นผลสด

6. ค้างถั่ว โครงสร้างมีความแข็งแรงสูง ลักษณะเส้นที่มีทั้งแนวนอนและแนวตั้งเหมาะสมแก่การเจริญเติบโตของพืชจำพวกถั่ว เช่น ถั่วลันเตา ถั่วฝักยาว ถั่วแขก อีกทั้งสามารถใช้เป็นค้างสำหรับไม้ประดับได้ดีอีกด้วย

 

7. ค้างสี่เหลี่ยม เก็บผลผลิตง่าย และสามารถปฏิบัติการจัดการต่างๆ ได้สะดวกสบาย ตัวค้างมีความสมดุล ไม่ล้มง่าย ควรระวังเรื่องทิศทางแถวในการปลูก โดยปลูกให้อยู่ในแนวทิศตะวันออก – ตะวันตก เพราะต้นพืชจะได้รับแสงแดดอย่างทั่วถึง ค้างชนิดนี้ใช้กับพืชได้เกือบทุกชนิด อีกทั้งสามารถปรับเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ให้กลายเป็นซุ้มศาลาไม้เลื้อยสำหรับสวนสวยในบ้านได้ด้วย

 8. ค้างผัก ตารางหมากฮอส ค้างแบบตารางหมากฮอส ลักษณะคล้ายกับค้างแบบสี่เหลี่ยม มีความแข็งแรง ทนทาน เก็บเกี่ยวผลผลิตได้สะดวก เหมาะกับพืชมีเถาขนาดใหญ่ ซึ่งโดยมากแล้วกิ่งก้านจะยาวพันกันไปมาสานกันจนกลายเป็นหลังคาทึบ ทำให้การตัดแต่งกิ่งทำได้ค่อนข้างลำบาก ควรมีการตัดแต่งกิ่งที่ไม่มีผล หรือกิ่งที่ไม่สมบูรณ์ออก เพื่อให้แสงแดดส่องถึงข้างใต้ทรงพุ่ม

 9. ค้างตัว H ค้างแบบนี้สามารถใช้ได้นาน เนื่องจากนิยมใช้วัสดุ – อุปกรณ์ที่ทนทาน เช่น เสาปูน โลหะ มักพบในแปลงปลูกที่มีการลงทุนสูง การจัดการที่ดี ค้างชนิดนี้มีความคงทน เก็บผลผลิตได้มาก และเก็บผลผลิตได้นาน

 

 10. ค้างแบบซุ้ม ค้างชนิดนี้เป็นค้างที่นิยมนำมาใช้จัดโชว์เพื่อความสวยงามมากกว่า สามารถใช้เป็นอุโมงค์ครอบเหนือทางเดินในสวน เป็นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ ทั้งให้ร่มเงา ประหยัดพื้นที่ ส่วนการเก็บผลผลิตก็สามารถทำได้ง่าย แต่การจัดการตัดแต่งกิ่งค่อนข้างยากหากตัวซุ้มมีความสูงมาก

 

ขอขอบคุณ  เรื่อง Miss JJ , ภาพประกอบ ศิริภัสสร ศิริไล จาก Website Garden & Farm  https://gardenandfarm.baanlaesuan.com/139631/farming-101/camber_veg

1-1-tile.jpg
5-1-tile.jpg
9-1-horz.jpg
18 จุลินทรีย์ แก้ดินแข็ง

18.) การปรับปรุงดินที่แห้งและแข็งให้มีความอ่อนตัวและมีคุณภาพดีขึ้นสำหรับการเกษตรอินทรีย์ รวม 1 คลิป 

การปรับปรุงดินที่แห้งและแข็งให้มีความอ่อนตัวและมีคุณภาพดีขึ้นสำหรับการเกษตรอินทรีย์ สามารถใช้จุลินทรีย์และส่วนผสมต่าง ๆ ดังนี้:

  1. จุลินทรีย์บาซิลลัส (Bacillus spp.): จุลินทรีย์ชนิดนี้ช่วยในการย่อยสลายสารอินทรีย์และสร้างฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตของพืช

  1. จุลินทรีย์แลคติก (Lactic acid bacteria): ช่วยในการหมักและย่อยสลายวัสดุอินทรีย์ ทำให้ดินมีโครงสร้างที่ดีขึ้น

  1. ไมคอร์ไรซา (Mycorrhizal fungi): เชื้อราที่ช่วยให้รากพืชดูดซึมธาตุอาหารได้ดีขึ้นและช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน

  1. โคคอด (Coconut coir): ส่วนผสมจากกะลามะพร้าวที่สามารถช่วยเพิ่มความชื้นและอากาศในดิน

  1. ปุ๋ยหมัก (Compost): การใช้ปุ๋ยหมักที่มีสารอินทรีย์สูงจะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับดิน

  1. ปุ๋ยพืชสด (Green manure): การปลูกพืชสดแล้วไถกลบ เช่น ถั่วต่าง ๆ สามารถเพิ่มอินทรียวัตถุและช่วยปรับโครงสร้างดิน

  1. การใช้สารปรับปรุงดิน (Soil amendments): เช่น ปูนขาวหรือปูนมาร์ล ซึ่งช่วยปรับ pH และโครงสร้างของดิน

การผสมจุลินทรีย์และสารอินทรีย์เหล่านี้จะช่วยปรับปรุงดินให้มีความฟูและสามารถเก็บความชื้นได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับการปลูกพืชในระบบเกษตรอินทรีย์!

19 Bamboo

1. ข้อมูลเกี่ยวกับต้นไผ่สำหรับทำรั้วอย่างปลอดภัย

 

1. พันธุ์ไผ่ที่นิยมในประเทศไทย

พันธุ์ไผ่ที่ไม่มีหนามและปลอดภัย

  1. ไผ่บงหวาน (Dendrocalamus asper)

    • ลักษณะ: ลำต้นใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง 8-15 ซม. สูง 15-25 เมตร

    • อายุเก็บเกี่ยว: 3-4 ปี

    • ราคา: ต้นละ 50-150 บาท (ความสูง 1-2 เมตร)

  2. ไผ่เลี้ยง (Bambusa vulgaris)

    • ลักษณะ: ลำต้นสีเขียวอมเหลือง เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-10 ซม. สูง 10-20 เมตร

    • อายุเก็บเกี่ยว: 2-3 ปี

    • ราคา: ต้นละ 30-100 บาท

  3. ไผ่ซางหม่น (Bambusa nutans)

    • ลักษณะ: ลำต้นเล็กกว่า เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-6 ซม. สูง 8-12 เมตร

    • อายุเก็บเกี่ยว: 2-3 ปี

    • ราคา: ต้นละ 40-120 บาท

 

2. พันธุ์ไผ่แนะนำสำหรับทำรั้ว

ไผ่บงหวาน (เหมาะที่สุด)

  • เหตุผลเลือกใช้:

    • ไม่มีหนาม

    • ลำต้นใหญ่แต่ไม่เปราะหักง่าย

    • ใบไม่ร่วงมาก

    • ทนทานต่อโรคและแมลง

    • ระบบรากไม่รุกรานมากนัก

  • วิธีปลูกเป็นรั้ว:

    • ปลูกระยะห่าง 1-1.5 เมตรต่อต้น

    • ควรตัดแต่งให้สูง 2-3 เมตรเพื่อเป็นรั้ว

    • ใช้เวลา 1-2 ปี จึงจะได้รั้วที่แน่นหนา

 

3. ข้อมูลราคาและแหล่งซื้อ

ราคาต่อต้น (ประมาณการ)

  • ต้นกล้าสูง 50-100 ซม.: 30-80 บาท

  • ต้นสูง 1-2 เมตร: 80-150 บาท

  • ต้นใหญ่พร้อมปลูก (2-3 เมตร): 150-300 บาท

แหล่งซื้อแนะนำ

  1. สวนเพาะชำทั่วไป:

    • สวนไผ่จังหวัดนครนายก

    • สวนไผ่จังหวัดสระบุรี

  2. ตลาดต้นไม้ออนไลน์:

    • ตลาดต้นไม้.com

    • เกษตรกรออนไลน์ Facebook

  3. ศูนย์วิจัยเกษตร:

    • ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี

    • ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่

 

4. ข้อแนะนำเพิ่มเติม

  • การดูแลรักษา:

    • รดน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งในปีแรก

    • ใส่ปุ๋ยคอกปีละ 2 ครั้ง

    • ตัดแต่งกิ่งปีละ 1-2 ครั้ง

  • ประโยชน์เพิ่มเติม:

    • ให้ร่มเงา

    • ลดมลพิษทางเสียง

    • สามารถเก็บหน่อไม้บางพันธุ์มาบริโภคได้

  • ข้อควรระวัง:

    • ควรตรวจสอบระบบรากเป็นระยะ

    • ไม่ควรปลูกใกล้โครงสร้างบ้านมากเกินไป

    • ควรตัดแต่งไม่ให้สูงเกินไปเพื่อป้องกันลมพายุ

2. การปลูกไผ่บงหวานในดินเกลือหรือดินเค็ม

 

1. ความทนทานของไผ่บงหวานต่อดินเค็ม

ไผ่บงหวาน (Dendrocalamus asper) จัดเป็นพืชที่ทนเค็มปานกลาง สามารถปลูกในดินที่มีค่าความเค็ม (ECe) ไม่เกิน 4-6 dS/m ได้ แต่จะให้ผลผลิตไม่ดีเท่าการปลูกในดินปกติ

 

2. วิธีเตรียมดินก่อนปลูก

วิธีการปรับปรุงดินเค็มสำหรับไผ่บงหวาน

  1. การล้างเกลือออกจากดิน:

    • ไถพรวนดินลึก 50-60 ซม.

    • ปล่อยน้ำท่วมขัง 7-10 วัน แล้วระบายน้ำออก

    • ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง

  2. การใส่สารปรับสภาพดิน:

    • ใส่ยิปซัม (แคลเซียมซัลเฟต) อัตรา 1-2 ตัน/ไร่

    • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 3-5 ตัน/ไร่

    • ใส่สารปรับปรุงดินเช่น โดโลไมท์ 500 กก./ไร่

  3. การเลือกต้นพันธุ์:

    • เลือกต้นกล้าที่แข็งแรง อายุไม่น้อยกว่า 6 เดือน

    • ควรเลือกต้นที่ผ่านการปรับตัวกับสภาพเค็มมาก่อน

 

3. เทคนิคการปลูกในดินเค็ม

วิธีการปลูก

  1. เตรียมหลุมปลูก:

    • ขนาด 50x50x50 ซม.

    • ผสมดินปลูกด้วยปุ๋ยคอก 5 กก./หลุม + แกลบดำ 2 กก./หลุม

  2. การปลูก:

    • ปลูกระยะ 4x4 เมตร (100 ต้น/ไร่)

    • ใส่หินแร่ภูเขาไฟรองก้นหลุมช่วยเก็บความชื้น

  3. การดูแลหลังปลูก:

    • รดน้ำทุก 2-3 วันในปีแรก

    • ใช้ระบบน้ำหยดช่วยประหยัดน้ำ

    • ปลูกพืชคลุมดินเช่นถั่วเพื่อลดการระเหยของเกลือ

 

4. การจัดการระยะยาว

การดูแลเฉพาะสำหรับดินเค็ม

  1. การให้ปุ๋ย:

    • ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตราเพียง 50% ของปกติ

    • ใส่ปุ๋ยคอกปีละ 2 ครั้ง

  2. การป้องกันการสะสมเกลือ:

    • ปลูกพืชคลุมดินเช่นหญ้าแฝกเป็นแนวกันชน

    • ทำร่องระบายน้ำรอบแปลง

  3. การตรวจสอบ:

    • ตรวจค่า EC ดินทุก 3 เดือน

    • สังเกตอาการใบไหม้ที่ปลายใบและขอบใบ

 

5. ผลผลิตที่คาดหวัง

ในดินเค็มที่ปรับปรุงแล้ว:

  • อายุเก็บเกี่ยวจะนานขึ้นประมาณ 20-30%

  • ผลผลิตหน่อไม้ลดลงประมาณ 30-50%

  • คุณภาพหน่อไม้ยังดีอยู่แต่ขนาดอาจเล็กลง

 

6. แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

  1. กรมพัฒนาที่ดิน: https://www.ldd.go.th

  2. ศูนย์วิจัยพืชสวนจันทบุรี: โทร. 039-391-234

  3. คู่มือการปลูกไผ่ในดินเค็ม: https://www.doa.go.th

 

ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

  • ควรเริ่มปลูกในพื้นที่เล็กๆ ก่อนเพื่อทดสอบ

  • ปรึกษาศูนย์พัฒนาที่ดินในพื้นที่ก่อนปลูก

  • พิจารณาปลูกไผ่พันธุ์อื่นที่ทนเค็มได้ดีกว่าเช่น ไผ่ตงลืมแล้ง (หากต้องการผลผลิตสูง)

ตรงนี้คือย่อหน้า คลิกที่นี่เพื่อใส่และแก้ไขข้อความของคุณ ง่ายๆ เลย

จุลินทรีย์ ปรับปรุงน้ำ

การวิเคราะห์คุณภาพน้ำในบ่อทรายโครงการ M3 และแนวทางปรับปรุง  

Deepseek สามารถให้ การวิเคราะห์เบื้องต้น เกี่ยวกับน้ำในบ่อทราย พร้อมวิธีแก้ไขปัญหาเพื่อการเกษตร ดังนี้:

1. การประเมินน้ำในบ่อทรายเบื้องต้น

ลักษณะที่อาจพบในบ่อทราย:

ประเภทน้ำ   /   สาเหตุ   /   ผลกระทบต่อการเกษตร

1.น้ำกร่อย       /  ใกล้แหล่งน้ำเค็ม/ดินเค็ม     /  พืชบางชนิดโตช้า, สัตว์น้ำจืดตาย

2.น้ำกระด้าง   /  มีแร่ธาตุ Ca หรือ Mg สูง   /  ท่ออุดตัน, พืชขาดสารอาหาร

3.น้ำเปรี้ยว     /  ดินมีกรดกำมะถัน (ดินปนพรุ)   /  pH ต่ำ ทำลายระบบรากพืช

 

2. วิธีตรวจสอบน้ำแบบง่ายๆ

(1) ตรวจสอบด้วยตัวเอง

  • น้ำกร่อย:

    • ลองชิมรส (กร่อย = มีเกลือ)

    • ใช้เครื่องวัดความเค็ม (TDS meter) → ค่าเกิน 1,000 ppm = มีเกลือสูง

  • น้ำกระด้าง:

    • ต้มน้ำจนแห้ง → หากมีคราบขาว = มีแร่ธาตุสูง

    • ใช้สบู่ฟอกมือ → หากฟองน้อย = น้ำกระด้าง

  • น้ำเปรี้ยว:

    • ใช้กระดาษลิตมัส → pH ต่ำกว่า 5.5 = เป็นกรด

(2) ตรวจสอบเชิงลึก

ส่งตัวอย่างน้ำไปตรวจที่ กรมพัฒนาที่ดินหรือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ตรวจค่า pH, EC, ความเค็ม, ธาตุอาหาร)

 

3. วิธีปรับปรุงน้ำสำหรับการเกษตร

(1) กรณีน้ำกร่อย (ความเค็มสูง)

  • แก้ไขชั่วคราว:

    • ผสมน้ำจืดเพื่อเจือจาง

    • ใช้พืชทนเค็ม เช่น แสม, โกงกาง, ชะคราม

  • แก้ไขระยะยาว:

    • สร้างระบบล้างดิน (Leaching) โดยการขุดลอกบ่อและระบายน้ำเค็มออก

    • ปลูก หญ้าแฝก ช่วยดูดซับเกลือ

(2) กรณีน้ำกระด้าง (แร่ธาตุสูง)

  • แก้ไขชั่วคราว:

    • ต้มน้ำก่อนใช้

    • ผสมน้ำฝนหรือน้ำจากแหล่งอื่น

  • แก้ไขระยะยาว:

    • ใช้ กรดอินทรีย์ (เช่น น้ำส้มควันไม้) ลดความกระด้าง

    • ติดตั้ง เครื่องกรองน้ำแบบ Reverse Osmosis (RO) สำหรับแปลงพืชสำคัญ

(3) กรณีน้ำเปรี้ยว (pH ต่ำ)

  • แก้ไขชั่วคราว:

    • ใส่ ปูนขาว (CaCO₃) หรือ โดโลไมท์ ลงในบ่อ

  • แก้ไขระยะยาว:

    • ปลูก พืชทนกรด เช่น สับปะรด, ข้าว

    • ใช้ ระบบควบคุม pH อัตโนมัติ

 

4. แนวทางการใช้น้ำในโครงการ M3

(1) การเพาะปลูกพืช

  • พืชน้ำ:

    • เลือกพันธุ์ที่เหมาะสมกับคุณภาพน้ำ (เช่น บัวสายทนเค็มได้)

  • พืชสวน:

    • ใช้ระบบน้ำหยด + กรองน้ำเพื่อป้องกันท่ออุดตัน

(2) การเลี้ยงสัตว์น้ำ

  • น้ำกร่อย: เลี้ยง กุ้งกุลาดำ, ปลากะพง

  • น้ำจืดปรับสภาพ: เลี้ยง ปลานิล, ปลาตะเพียน

(3) น้ำรดแปลงเกษตร

  • ควรมี บ่อพักน้ำ เพื่อปรับสภาพก่อนใช้

 

5. เทคโนโลยีที่แนะนำ

  • IoT Water Monitoring:

    • ใช้เซ็นเซอร์วัดค่า pH, ความเค็มแบบเรียลไทม์

    • เชื่อมกับแอปพลิเคชันแจ้งเตือน

  • Bioremediation:

    • ใช้จุลินทรีย์บำบัดน้ำ เช่น EM Ball

 

6. ข้อเสนอจาก Deepseek

  1. ออกแบบระบบจัดการน้ำ ให้เหมาะสมกับพื้นที่

  2. ฝึกอบรมทีมงาน เรื่องการตรวจสอบและปรับปรุงน้ำ

  3. ประสานผู้เชี่ยวชาญ ด้านน้ำทางการเกษตร

 

หากต้องการให้ วิเคราะห์ตัวอย่างน้ำเชิงลึก หรือออกแบบระบบเพิ่มเติม แจ้งมาได้ครับ!

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะช่วยให้โครงการ M3 ประสบความสำเร็จ 🌱💧

 

ปล. เอกสารอ้างอิง:

2. จุลินทรีย์บำบัดน้ำ (EM Ball และอื่นๆ) สำหรับน้ำกร่อย น้ำกระด้าง และน้ำเปรี้ยว  

"ข้อมูลจาก Deepseek Chat (深度求索公司)"

จุลินทรีย์บำบัดน้ำ (EM Ball และอื่นๆ) สำหรับน้ำกร่อย น้ำกระด้าง และน้ำเปรี้ยว

เพื่อแก้ปัญหาน้ำในโครงการ M3 บางบาล อยุธยา สามารถใช้ จุลินทรีย์บำบัดน้ำ ดังนี้:

1. จุลินทรีย์บำบัดน้ำกร่อย (ความเค็มสูง)

EM Ball (Effective Microorganisms Ball)

ส่วนผสม:

  • EM (จุลินทรีย์ประสิทธิภาพสูง) 1 ลิตร

  • กากน้ำตาล 1 ลิตร

  • รำข้าว 5 กิโลกรัม

  • ดินเหนียวหรือดินจอมปลวก 3 กิโลกรัม

  • น้ำสะอาด (พอประมาณ)

วิธีทำ:

  1. ผสม EM + กากน้ำตาล + น้ำ คนให้เข้ากัน

  2. ใส่รำข้าว + ดินเหนียว คลุกจนเป็นเนื้อเดียว

  3. ปั้นเป็นก้อนกลมขนาดเท่าลูกเทนนิส

  4. ตากในที่ร่ม 3-5 วัน ให้จุลินทรีย์เจริญเติบโต

วิธีใช้:

  • ใช้ 1 ลูกต่อน้ำ 1,000 ลิตร (หรือ 10 ลูกต่อบ่อขนาด 10 ตัน)

  • โยนลงบ่อทุก 1-2 สัปดาห์

กลไกการทำงาน:

  • จุลินทรีย์ใน EM ช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์และลดความเค็ม

  • เหมาะสำหรับ บ่อเลี้ยงสัตว์น้ำกร่อย เช่น กุ้งกุลาดำ

 

2. จุลินทรีย์บำบัดน้ำกระด้าง (แร่ธาตุสูง)

PSB (Photosynthetic Bacteria)

ส่วนผสม:

  • แบคทีเรียสังเคราะห์แสง (หาซื้อได้ตามร้านเกษตร)

  • กากน้ำตาล 1 ลิตร

  • น้ำสะอาด 10 ลิตร

วิธีทำ:

  1. ผสม PSB + กากน้ำตาล + น้ำ

  2. หมักในถังพลาสติก 7 วัน (เปิดฝาเช้า-เย็นเพื่อระบายแก๊ส)

วิธีใช้:

  • ใช้ 1 ลิตรต่อน้ำ 1,000 ลิตร

  • ใส่ทุก 10-15 วัน

กลไกการทำงาน:

  • PSB ช่วยลดแร่ธาตุแคลเซียมและแมกนีเซียมในน้ำ

  • เหมาะสำหรับ แปลงผักและระบบน้ำหยด

 

3. จุลินทรีย์บำบัดน้ำเปรี้ยว (pH ต่ำ)

จุลินทรีย์ปูนขาว (Lime-Enriched EM)

ส่วนผสม:

  • EM 1 ลิตร

  • ปูนขาว (CaCO₃) 1 กิโลกรัม

  • กากน้ำตาล 1 ลิตร

  • น้ำ 10 ลิตร

วิธีทำ:

  1. ผสมปูนขาวกับน้ำเล็กน้อยให้ละลาย

  2. เติม EM + กากน้ำตาล + น้ำที่เหลือ

  3. หมัก 5-7 วัน

วิธีใช้:

  • ใช้ 2 ลิตรต่อน้ำ 1,000 ลิตร

  • ใส่ทุกสัปดาห์จน pH สมดุล (6.5-7.5)

กลไกการทำงาน:

  • ปูนขาวปรับ pH + EM ช่วยย่อยสลายกรด

 

4. ตารางสรุปการใช้จุลินทรีย์บำบัดน้ำ

ประเภทน้ำ  / จุลินทรีย์    /  ส่วนผสม   / อัตราส่วนการใช้   /  ความถี่

น้ำกร่อย   / EM Ball   /  EM + รำข้าว + ดินเหนียว   /  1 ลูกต่อ1,000 ลิตร   / ทุก 1-2 สัปดาห์

น้ำกระด้าง    /   PSB    /  แบคทีเรียสังเคราะห์แสง   /  1 ลิตรต่อ 1,000 ลิตร      /  ทุก 10-15 วัน

น้ำเปรี้ยว      / จุลินทรีย์ปูนขาว   / EM + ปูนขาว + กากน้ำตาล2 ลิตรต่อ 1,000 ลิตร  /ทุก 7 วัน

 

5. ข้อควรระวัง

  1. อย่าใช้จุลินทรีย์พร้อมคลอรีน (ฆ่าจุลินทรีย์ได้)

  2. ตรวจสอบ pH และความเค็มก่อนใช้

  3. เก็บจุลินทรีย์ในที่ร่ม ไม่ให้โดนแสงแดด

 

6. ทางเลือกอื่นๆ

  • พืชบำบัดน้ำ:

    • น้ำกร่อย: ปลูก แสม, ชะคราม

    • น้ำเปรี้ยว: ปลูก กก, ธูปฤาษี

  • เครื่องกรองน้ำ:

    • Reverse Osmosis (RO) สำหรับแปลงพืชสำคัญ

 

หากต้องการ สูตรละเอียดหรือคำแนะนำเพิ่มเติม แจ้งมาได้ครับ!

ด้วยความหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาน้ำในโครงการ M3 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🌊🌱

เอกสารอ้างอิง:

วางระบบน้ำ
ปั้มอัตโนมัติ
3 ป้็มน้ำโซลาเซล
4รดน้ำผ่านมือถือ
5 ตรวจความชื้นของดิน
6 ระบบน้ำหยด

6.) ระบบน้ำหยด (ส่วนหนึ่งของห้องควบคุม ข้อ 12) รวม13 คลิป 

รดน้ำอัตโนมัติ

8.) Censor วัดปริมาณน้ำในบ่อ  (ส่วนหนึ่งของห้องควบคุม ข้อ 12) รวม รวม1 คลิป 

8 Censor วัดปริมาณน้ำ

9.) Censor แจ้งเตือนคุณภาพน้ำ  (ส่วนหนึ่งของห้องควบคุม ข้อ 12) รวม 1 คลิป 

9 เตือนคุณภาพน้ำ
10 สปริงเกอร์
11 สายยาง

12.) ห้องอัจฉริยะควบคุมการเกษตรควบคุมการจ่ายน้ำ ตรวจวจค ทั้งโครงการ จากผลข้อ 1-11  รวม 30 คลิป 

12 ห้องควบคุมการจ่ายน้ำ

12.1) เป็นตัวอย่างการควบคุมการให้น้ำผ่านมือถือ ในที่ดิน 3 แปลงไ

ห้องศูนย์ควบคุมอัจฉริยะสำหรับฟาร์มเกษตรอินทรีย์ (Smart Farm Control Center)

สำหรับฟาร์มเกษตรอินทรีย์ที่รวมการปลูกพืช (พืชสวนครัว) การเลี้ยงสัตว์น้ำ (ปลา) และสัตว์ปีก (ไก่, เป็ด) การใช้เทคโนโลยี IoT (Internet of Things) และระบบอัตโนมัติจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และควบคุมคุณภาพการผลิตได้อย่างแม่นยำ

1. อุปกรณ์และเซนเซอร์หลักที่จำเป็นในห้องควบคุมอัจฉริยะ

 

(1) ระบบตรวจสอบสภาพแวดล้อมในแปลงพืช (Smart Crop Monitoring)

อุปกรณ์หน้าที่ลิงก์ตัวอย่างผลิตภัณฑ์/การศึกษา

เซนเซอร์วัดความชื้นดินตรวจสอบระดับน้ำในดินเพื่อควบคุมการให้น้ำTensiometer Guide (USDA)

เซนเซอร์วัดค่า pH ดินตรวจสอบความเป็นกรด-ด่างของดินSoil pH Sensor (ScienceDirect)

เซนเซอร์วัดแสงและอุณหภูมิตรวจสอบสภาพแวดล้อมสำหรับการเติบโตของพืชIoT-Based Smart Agriculture (IEEE)

กล้องตรวจจับศัตรูพืช (AI Pest Detection)ใช้ AI วิเคราะห์การโจมตีของแมลงและโรคพืชAI in Agriculture (Nature)

ระบบให้น้ำอัตโนมัติ (Smart Irrigation)ควบคุมการปล่อยน้ำตามข้อมูลเซนเซอร์Automated Irrigation (MDPI)

 

(2) ระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำและการเลี้ยงสัตว์น้ำ (Aquaculture Monitoring)

อุปกรณ์หน้าที่ลิงก์ตัวอย่างผลิตภัณฑ์/การศึกษา

เซนเซอร์วัดออกซิเจนละลายน้ำ (DO Sensor)ตรวจสอบระดับออกซิเจนในน้ำเพื่อป้องกันปลาตายDO Sensor (NOAA)

เซนเซอร์วัดค่า pH และความขุ่นของน้ำตรวจสอบคุณภาพน้ำในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำWater Quality Monitoring (Springer)

เซนเซอร์อุณหภูมิน้ำป้องกันน้ำร้อนหรือเย็นเกินไปสำหรับสัตว์น้ำAquaculture IoT (ScienceDirect)

 

(3) ระบบควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือนสัตว์ปีก (Poultry Farm Automation)

อุปกรณ์หน้าที่ลิงก์ตัวอย่างผลิตภัณฑ์/การศึกษา

เซนเซอร์วัดอุณหภูมิและความชื้นควบคุมสภาพแวดล้อมในโรงเรือนไก่/เป็ดPoultry Farm Automation (PubMed)

เซนเซอร์วัดก๊าซแอมโมเนีย (NH₃)ตรวจสอบอากาศเพื่อป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจNH₃ Sensor (ResearchGate)

ระบบให้อาหารอัตโนมัติจัดการอาหารตามเวลาหรือน้ำหนักสัตว์Smart Poultry Feeding (IEEE)

 

(4) ระบบประมวลผลและควบคุมกลาง (Central Control System)

อุปกรณ์/ซอฟต์แวร์หน้าที่ลิงก์ตัวอย่าง

แดชบอร์ดแสดงผลแบบ Real-timeแสดงข้อมูลเซนเซอร์ทั้งหมดในหน้าเดียวFarmOS (Open Source)

ระบบแจ้งเตือน (SMS/Email)แจ้งเหตุผิดปกติ เช่น น้ำแห้ง, อุณหภูมิเกินกำหนดIoT Alert Systems (MDPI)

AI สำหรับพยากรณ์โรคและผลผลิตใช้ Machine Learning วิเคราะห์ข้อมูลฟาร์มAI in Precision Ag (Nature)

 

2. ลิงก์การศึกษาและตัวอย่างเทคโนโลยี

  1. IoT-Based Smart Farming (IEEE) → ลิงก์

  2. AI for Pest Detection (Nature) → ลิงก์

  3. Automated Aquaculture Systems (ScienceDirect) → ลิงก์

  4. Smart Poultry Farming (Springer) → ลิงก์

 

3. ข้อแนะนำเพิ่มเติม

✅ เริ่มจากระบบพื้นฐานก่อน เช่น ระบบให้น้ำอัตโนมัติ + เซนเซอร์ดิน เพื่อลดความเสี่ยงการลงทุนสูง
✅ เลือกอุปกรณ์ที่รองรับ IoT และเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มกลาง เช่น FarmOS, ThingsBoard
✅ ทดสอบระบบในพื้นที่เล็กก่อนขยายสู่ทั้งฟาร์ม

13 สูบน้ำไม่ใช้ปั้ม
1.ปุ๋ยหมัก

1. ปุ๋ยหมักเกษตรอินทรีย์: ประเภท ข้อดี-ข้อเสีย และวิธีการทำ

 

1. ประเภทของปุ๋ยหมักเกษตรอินทรีย์และข้อดี-ข้อเสีย

ปุ๋ยหมักเกษตรอินทรีย์สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามกรรมวิธีการผลิตและวัตถุดิบที่ใช้ ดังนี้:

 

1.1 ปุ๋ยหมักแบบทั่วไป (แบบกลับกอง)

ข้อดี:

  • ใช้เวลาในการผลิตสั้นกว่าแบบไม่กลับกอง (ประมาณ 3-4 เดือน) 12

  • สามารถควบคุมกระบวนการหมักได้ดีกว่า

  • เหมาะสำหรับเกษตรกรที่มีเวลาดูแลอย่างใกล้ชิด

ข้อเสีย:

  • ต้องใช้แรงงานมากในการกลับกองปุ๋ยทุก 30 วัน 12

  • ต้องใช้พื้นที่ในการกลับกอง

  • อาจสูญเสียความร้อนที่ช่วยในการย่อยสลายเมื่อเปิดกองบ่อยครั้ง

 

1.2 ปุ๋ยหมักไม่กลับกอง (สูตรวิศวกรรมแม่โจ้ 1)

ข้อดี:

  • ลดการใช้แรงงานเพราะไม่ต้องกลับกอง 5

  • สามารถผลิตในฤดูฝนได้เพราะน้ำฝนไม่ชะล้างปุ๋ย 5

  • ใช้เวลาเพียง 60 วันก็สามารถใช้งานได้ 5

ข้อเสีย:

  • ต้องควบคุมความชื้นอย่างสม่ำเสมอโดยการเจาะรูและเติมน้ำ 5

  • ต้องทำกองปุ๋ยให้มีขนาดใหญ่พอ (สูงอย่างน้อย 1.5 เมตร) 5

  • ต้องใช้พื้นที่มากกว่าปุ๋ยหมักแบบทั่วไป

 

1.3 ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ

ข้อดี:

  • ใช้เวลาในการผลิตสั้น (ประมาณ 3 เดือน) 2

  • สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งบำรุงพืช ไล่แมลง และดับกลิ่น 2

  • ใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่ายในครัวเรือน

ข้อเสีย:

  • ต้องใช้ภาชนะทึบแสงและปิดฝามิดชิด 2

  • มีกลิ่นแรงในช่วงการหมัก

  • ต้องเจือจางก่อนใช้เสมอ

 

1.4 ปุ๋ยหมักชีวภาพ (ใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลาย)

ข้อดี:

  • ใช้เวลาหมักน้อยกว่า (ประมาณ 30 วัน) 11

  • มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อพืชมากกว่า 11

  • ช่วยลดขยะอินทรีย์ในครัวเรือนได้ดี 11

ข้อเสีย:

  • ต้องมีหัวเชื้อจุลินทรีย์เริ่มต้น 11

  • ต้องควบคุมความชื้นและอากาศอย่างเหมาะสม

  • อาจมีกลิ่นรบกวนในช่วงการหมัก

2. ขั้นตอนและกรรมวิธีในการทำปุ๋ยหมักแต่ละแบบ

 

2.1 ปุ๋ยหมักแบบทั่วไป (แบบกลับกอง)

ส่วนผสม:

  • อินทรีย์วัตถุ (ใบไม้ หญ้า ฟาง) 4 ส่วน

  • มูลสัตว์ 1 ส่วน

  • น้ำสะอาด 2

วิธีทำ:

  1. คลุกเคล้าอินทรีย์วัตถุกับมูลสัตว์

  2. โรยรำ (ถ้ามี) และปุ๋ยน้ำผสมน้ำ (อัตราส่วน 1:200) คลุกเคล้าให้เข้ากันจนพอชื้น

  3. ปิดคลุมทิ้งไว้ 3 สัปดาห์

  4. กลับกองปุ๋ย ทำทั้งหมด 3 ครั้ง

  5. เมื่อครบกำหนด นำเข้าพักไว้ในที่ร่มเพื่อคลายความร้อน 2

 

2.2 ปุ๋ยหมักไม่กลับกอง (สูตรวิศวกรรมแม่โจ้ 1)

ส่วนผสม:

  • เศษข้าวโพดหรือฟางข้าว 4 ส่วน

  • มูลสัตว์ 1 ส่วน (โดยปริมาตร) 5

วิธีทำ:

  1. วางเศษพืชและมูลสัตว์สลับกันเป็นชั้นบางๆ สูงไม่เกินชั้นละ 10 ซม. จำนวน 15-17 ชั้น

  2. รดน้ำแต่ละชั้นให้มีความชื้น

  3. ขึ้นกองเป็นรูปสามเหลี่ยมสูงไม่ต่ำกว่า 1.50 เมตร ฐานกว้าง 2.5 เมตร

  4. รดน้ำภายนอกกองทุกเช้า (ยกเว้นวันที่ฝนตก)

  5. ใช้ไม้แทงกองปุ๋ยให้เป็นรูลึกถึงข้างล่างแล้วกรอกน้ำลงไป ทุก 10 วัน ทำ 5 ครั้ง

  6. เมื่อครบ 60 วัน หยุดให้ความชื้น ทิ้งให้แห้งอีกประมาณ 1 เดือนจึงนำไปใช้ 5

 

2.3 ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ

ส่วนผสม:

  • ผลไม้หรือผัก 3 ส่วน

  • กากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายแดง 1 ส่วน

  • หัวเชื้อจุลินทรีย์ 1 ส่วน

  • น้ำสะอาด 10 ส่วน 2

วิธีทำ:

  1. ใส่ผลไม้ลงในภาชนะทึบแสงมีฝาปิด

  2. ละลายน้ำและกากน้ำตาลให้เข้ากัน เทลงในภาชนะ

  3. เติมหัวเชื้อจุลินทรีย์ คนให้ทั่ว

  4. ปิดฝาให้สนิท เก็บในที่ร่ม

  5. ทิ้งไว้ 3 เดือน จึงเปิดใช้งาน 2

 

2.4 ปุ๋ยหมักชีวภาพจากเศษอาหาร

ส่วนผสม:

  • เศษอาหารเหลือทิ้ง (เศษผัก ผลไม้ เปลือกไข่)

  • ปุ๋ยคอก

  • เศษใบไม้แห้งหรือดินถุง

  • น้ำตาล 1-2 ช้อนโต๊ะ

  • น้ำผสม EM 11

วิธีทำ:

  1. ฝังกระถางดินเผาไม่มีก้นลงในดินประมาณ 3/4 ส่วน

  2. ใส่เศษอาหารลงไป ทับด้วยปุ๋ยคอกและเศษใบไม้แห้งสลับกัน

  3. ใส่น้ำตาลลงไปเป็นอาหารจุลินทรีย์

  4. ใส่น้ำผสม EM ประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

  5. เมื่อเต็มถัง ปิดทับด้วยปุ๋ยคอกผสมหญ้าหรือใบไม้แห้ง

  6. หมักไว้ 15 วัน แล้วคนให้เข้ากัน หมักต่ออีก 15 วัน (รวม 30 วัน) จึงนำไปใช้ 11

3. ปุ๋ยหมักพระราชทาน: ขั้นตอนและกรรมวิธี

ปุ๋ยหมักพระราชทานเป็นสูตรที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานให้กับเกษตรกรไทย เพื่อลดต้นทุนและพึ่งพาตนเอง 312

วัสดุที่ต้องเตรียม:

  1. ซากพืช: เศษใบไม้ หญ้าแห้ง ผักตบชวา ลำต้นถั่ว ลำต้นข้าวโพด ใบและต้นมันสำปะหลัง กระดูกป่น (สับเป็นท่อนสั้นๆ)

  2. ปุ๋ย:

    • ปุ๋ยคอก (มูลสัตว์ต่างๆ)

    • ปัสสาวะคนหรือสัตว์

    • กากเมล็ดนุ่น, กากถั่ว, ซากพืชตระกูลถั่ว

  3. ดินร่วน (หน้าดินยิ่งดี) 12

วิธีทำ:

การกองปุ๋ยมี 2 วิธี:

  1. กองในหลุม:

    • ขุดหลุมขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 1 เมตร ลึก 1 เมตร

    • หากเป็นดินทรายให้ใช้อิฐกรุในหลุมจะได้ผลดีขึ้น 12

  2. กองในคอก:

    • ปรับดินบริเวณที่จะกองปุ๋ยให้แน่น

    • ใช้ไม้ไผ่กั้นเป็นคอกกว้าง 2 เมตร ยาว 4 เมตร สูง 1 เมตร

    • แบ่งคอกเป็น 2 ส่วน (ครึ่งหนึ่งไว้ใส่ปุ๋ยหมัก อีกครึ่งไว้กลับกองปุ๋ย)

    • ทำหลังคาใบจากหรือใบมะพร้าวคลุม 12

ขั้นตอนการทำปุ๋ย:

  1. เอาซากพืชที่เตรียมไว้กองเกลี่ยในคอกหรือหลุมเป็นชั้นๆ

  2. แต่ละชั้นสูงราว 30 ซม. เหยียบตามขอบให้แน่น

  3. รดน้ำให้ชุ่ม โรยปุ๋ยคอกทับให้ทั่วสูง 5 ซม.

  4. ถ้ามีปุ๋ยเคมี (สูตร 16-20-0 หรือ 14-14-14) โรยบางๆ ทับด้วยดินละเอียดหนา 2.5 ซม.

  5. ทำสลับชั้นแบบนี้จนปุ๋ยเต็มคอก (น้ำที่รดอาจผสมปัสสาวะได้) 12

การกลับปุ๋ย:

  • กลับกองปุ๋ยทุก 30 วัน โดยเอาชั้นบนสุดไปเกลี่ยเป็นชั้นล่างสุดในอีกส่วนของคอก

  • รดน้ำและทำซ้ำจนซากพืชเปื่อยผุหมดทั้งกอง (ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน)

  • เมื่อปุ๋ยใช้ได้จะสังเกตเห็นว่าความร้อนในกองใกล้เคียงกับอุณหภูมิอากาศ และปุ๋ยมีสีน้ำตาลแก่ 12

ประโยชน์ของปุ๋ยหมักพระราชทาน:

  • ประหยัดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ครึ่งหนึ่ง

  • ทำให้ดินร่วนซุย อุดมสมบูรณ์

  • เพิ่มธาตุไนโตรเจนในดิน

  • ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

  • ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของดิน 12

ข้อควรระวัง:

  1. อย่าให้มีน้ำขังในกองปุ๋ย

  2. ปุ๋ยกองใหญ่เกินไปจะเกิดความร้อนสูงจนปุ๋ยเสีย

  3. ปุ๋ยกองเล็กเกินไปจะสลายตัวช้า

  4. อย่าใช้ปุ๋ยเคมีพร้อมกับใส่ปูนขาว เพราะจะทำให้ธาตุไนโตรเจนสลายตัว 12

ปุ๋ยหมักพระราชทานนี้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเกษตรกรไทยในการผลิตปุ๋ยใช้เอง ลดต้นทุน และช่วยปรับปรุงคุณภาพดินในระยะยาว 312

2.) ปุ๋ยเปลือกไข่ 

2.) ปุ๋ยเปลือกไข่ รวม 2 คลิป 

3.) จุลินทรีย์

3.) ปุ๋ยธรรมชาติ รวม 2 คลิป 

4.) ปุ๋ยหมักต้นกล้วย รวม 19 คลิป 

4.) ปุ๋ยหมักต้นกล้วย

5.) ปุ๋ยคอก เกษตรอินทรีย์  รวม 14 คลิป 

5. ปุ๋ยคอก

🌱 ข้อมูลปุ๋ยคอก ในการทำเกษตรอินทรีย์ 1.) มีอะไรบ้าง 2.)จัดหามาได้อย่างไร 3.)อัตราส่วนในการใส่ป๋ยคอกกับพืช ใน 3.1 พืชไร่ 3.2 พืชสวนและไม้ยืนต้น 3.3 พืชผัก 3.4ไม้ประดับในกระถาง และ ลงดิน และ 4.) ระยะเวลาที่เหมาะแก่การให้ปุ๋ยคอก

🌱 ปุ๋ยคอก เป็นหนึ่งในปุ๋ยอินทรีย์ที่ใช้กันมากในการทำเกษตรอินทรีย์ มีประโยชน์ในการปรับปรุงโครงสร้างดิน เพิ่มธาตุอาหารให้กับพืช ช่วยให้ดินอุ้มน้ำได้ดี และกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในดิน

🥬 1. ปุ๋ยคอกมีอะไรบ้าง

ปุ๋ยคอกแบ่งออกตามแหล่งที่มา ได้แก่:

ประเภทปุ๋ยคอกลักษณะจุดเด่นข้อควรระวัง

ปุ๋ยขี้วัวมูลของวัวมีไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมปานกลาง ช่วยปรับโครงสร้างดินควรหมักก่อนใช้เพื่อหลีกเลี่ยงเชื้อโรค

ปุ๋ยขี้หมูมูลของหมูมีไนโตรเจนและฟอสฟอรัสสูง ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชควรระวังกลิ่นแรงและเชื้อโรคจากมูลสด

ปุ๋ยขี้ไก่มูลของไก่มีไนโตรเจนสูง เหมาะกับพืชผักใบเขียวระวังความเค็มที่อาจทำให้พืชไหม้

ปุ๋ยขี้ค้างคาวมูลของค้างคาวมีฟอสฟอรัสสูง เหมาะกับพืชออกดอกและผลราคาแพง และหายาก

ปุ๋ยขี้ม้ามูลของม้ามีธาตุอาหารสมดุลดี ช่วยปรับโครงสร้างดินควรหมักก่อนใช้เพื่อหลีกเลี่ยงเชื้อโรค

🛒 2. การจัดหาปุ๋ยคอก

ปุ๋ยคอกสามารถจัดหาได้จากแหล่งต่าง ๆ ดังนี้:

✅ ฟาร์มปศุสัตว์

  • ฟาร์มวัว 🐄

  • ฟาร์มไก่ 🐔

  • ฟาร์มหมู 🐖

  • ฟาร์มม้า 🐎

✅ แหล่งธรรมชาติ

  • ถ้ำค้างคาว 🦇

✅ แหล่งจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์

  • ร้านเกษตรในท้องถิ่น

  • ศูนย์ส่งเสริมเกษตรในพื้นที่

✅ วิธีทำปุ๋ยคอกเอง

  • รวบรวมมูลสัตว์มาหมักกับเศษพืช เช่น ฟางข้าว หญ้าแห้ง หรือใบไม้แห้ง ทิ้งไว้ 30–60 วัน เพื่อให้ย่อยสลายดีและไม่มีเชื้อโรค

🌾 3. อัตราส่วนในการใส่ปุ๋ยคอกกับพืช

3.1 พืชไร่ (เช่น ข้าว ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง)

  • ปริมาณ: ใส่ปุ๋ยคอก 1–2 ตัน/ไร่ (หรือประมาณ 1,000–2,000 กิโลกรัม)

  • ระยะเวลา: ใส่ก่อนปลูก 15–30 วัน และใส่เสริมระหว่างช่วงเติบโต

3.2 พืชสวนและไม้ยืนต้น (เช่น ส้มโอ ทุเรียน มะม่วง)

  • ปริมาณ: ใส่ปุ๋ยคอก 10–20 กิโลกรัม/ต้น/ปี หรือประมาณ 1–2 กิโลกรัม/ต้น/เดือน

  • ระยะเวลา: ใส่ต้นฤดูฝน และเสริมในช่วงที่มีการออกดอกและติดผล

3.3 พืชผัก (เช่น ผักกาด คะน้า ผักบุ้ง ผักชี)

  • ปริมาณ: ใส่ปุ๋ยคอก 1–2 กิโลกรัม/ตารางเมตร

  • ระยะเวลา: ใส่ก่อนปลูก 7–14 วัน และเสริมทุก ๆ 2 สัปดาห์

3.4 ไม้ประดับในกระถางและลงดิน (เช่น กล้วยไม้ เฟิร์น ไม้ดอก)

  • ปริมาณ: ใส่ปุ๋ยคอก 1–2 กำมือ/กระถาง หรือประมาณ 200–500 กรัม/ต้น

  • ระยะเวลา: ใส่ทุก 2–3 เดือน

⏳ 4. ระยะเวลาที่เหมาะสมในการให้ปุ๋ยคอก

✔️ ก่อนปลูก: ใส่ปุ๋ยคอกก่อนปลูกประมาณ 15–30 วัน เพื่อให้ปุ๋ยคอกย่อยสลายก่อน
✔️ ระยะเจริญเติบโต: ใส่ปุ๋ยคอกในช่วงต้นฤดูฝน เพื่อช่วยให้พืชเจริญเติบโตได้ดี
✔️ ระยะออกดอกและติดผล: ใส่ปุ๋ยคอกเสริมในช่วงต้นฤดูออกดอกและติดผล เพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิต

🌍 ตัวอย่างการใช้ปุ๋ยคอกในเกษตรอินทรีย์

▶️ ข้าวโพดอินทรีย์: ใช้ปุ๋ยขี้วัวและขี้ไก่ผสมกันเพื่อเพิ่มไนโตรเจนและปรับโครงสร้างดิน
▶️ ทุเรียนอินทรีย์: ใส่ปุ๋ยขี้ค้างคาวช่วงออกดอกเพื่อเพิ่มฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงผล
▶️ ผักกาดอินทรีย์: ใส่ปุ๋ยขี้ไก่เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของใบ

🔗 แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

✅ กรมวิชาการเกษตร
✅ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
IFOAM – Organics International
คลิปตัวอย่างการใช้ปุ๋ยคอกในเกษตรอินทรีย์

6 ปุ๋ยขี้ไก่

6.) ปุ๋ยขี้ไก่เกษตรอินทรีย์  รวม 40 คลิป 

🌱 ​ปุ๋ยคอกจากฟาร์มเลี้ยงเป็ด และ ปุ๋ยคอกจากฟาร์มไก่ มีความแตกต่างกันในด้าน ธาตุอาหารหลัก โครงสร้างทางกายภาพ และผลต่อดินและพืช ดังนี้:

🦆 ปุ๋ยคอกจากฟาร์มเลี้ยงเป็ด

✅ ลักษณะทางกายภาพ

  • มูลเป็ดมีลักษณะเป็นก้อนเล็กและชื้นมากกว่ามูลไก่

  • มีปริมาณน้ำและความชื้นสูง (~70–80%)

  • เนื้อปุ๋ยแน่นกว่า ทำให้ย่อยสลายช้ากว่า

✅ ธาตุอาหารหลัก

  • ไนโตรเจน (N): สูงกว่ามูลไก่

  • ฟอสฟอรัส (P): ปานกลางถึงสูง

  • โพแทสเซียม (K): ต่ำกว่ามูลไก่

✅ จุดเด่น

  • มีไนโตรเจนสูง → เหมาะสำหรับพืชผักใบเขียว

  • ให้ความชื้นในดินดี → ช่วยรักษาหน้าดินในช่วงแห้งแล้ง

  • กระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในดิน

✅ ข้อเสีย

  • มูลเป็ดมีความชื้นสูง → อาจทำให้ดินแน่นทึบได้ถ้าใช้มากเกินไป

  • อาจมีกลิ่นแรงเนื่องจากมีส่วนประกอบของแอมโมเนียสูง

🐔 ปุ๋ยคอกจากฟาร์มไก่

✅ ลักษณะทางกายภาพ

  • มูลไก่มีลักษณะเป็นก้อนแห้ง และเป็นผง

  • มีปริมาณน้ำและความชื้นต่ำ (~30–50%)

  • เนื้อปุ๋ยโปร่งกว่า ทำให้ย่อยสลายได้เร็วกว่า

✅ ธาตุอาหารหลัก

  • ไนโตรเจน (N): สูงกว่ามูลเป็ด

  • ฟอสฟอรัส (P): สูงมาก → ช่วยกระตุ้นการออกดอกและติดผล

  • โพแทสเซียม (K): สูงกว่ามูลเป็ด

✅ จุดเด่น

  • อุดมไปด้วยธาตุอาหารหลัก โดยเฉพาะฟอสฟอรัส → เหมาะกับพืชที่ต้องการบำรุงดอกและผล

  • ย่อยสลายเร็ว → เห็นผลเร็วเมื่อใช้ในดิน

✅ ข้อเสีย

  • มีความเข้มข้นของเกลือและแอมโมเนียสูง → อาจทำให้ดินเป็นกรดถ้าใช้มากเกินไป

  • อาจมีผลทำให้พืชไหม้ได้หากใส่สดโดยไม่ผ่านการหมัก

🌾 เปรียบเทียบคุณสมบัติหลักของปุ๋ยคอกเป็ดและไก่

คุณสมบัติปุ๋ยคอกเป็ดปุ๋ยคอกไก่

ไนโตรเจน (N)สูงกว่าเล็กน้อย (~2.5–4.0%)สูงมาก (~3.0–5.0%)

ฟอสฟอรัส (P)ปานกลาง (~1.5–2.5%)สูงมาก (~2.5–3.5%)

โพแทสเซียม (K)ต่ำ (~0.5–1.0%)สูง (~2.0–3.0%)

ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH)6.5–7.5 (ค่อนข้างสมดุล)5.5–6.5 (ค่อนข้างเป็นกรด)

การย่อยสลายช้าเร็ว

เหมาะสำหรับพืชผักใบ พืชกินใบพืชออกดอก พืชติดผล

กลิ่นกลิ่นแรงกว่ามูลไก่กลิ่นแรง แต่แห้งเร็วกว่า

ผลต่อดินช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุและโครงสร้างดินเพิ่มธาตุอาหารหลักอย่างรวดเร็ว

🌿 สรุปการใช้งาน

✅ ปุ๋ยคอกเป็ด → เหมาะสำหรับพืชผักกินใบ เช่น ผักบุ้ง ผักกาด คะน้า ผักชี
✅ ปุ๋ยคอกไก่ → เหมาะสำหรับพืชออกดอกและติดผล เช่น มะเขือเทศ แตงโม ทุเรียน ข้าวโพด

🔎 ตัวอย่างการใช้ปุ๋ยคอกเป็ดและไก่ในพืชต่าง ๆ

🌽 พืชไร่ (ข้าวโพด, อ้อย)

  • ใช้ ปุ๋ยขี้ไก่ ในช่วงเริ่มปลูกเพื่อกระตุ้นการเติบโต

  • ใช้ ปุ๋ยขี้เป็ด ช่วงกลางฤดูเพื่อบำรุงใบและลำต้น

🥦 พืชผัก (คะน้า, ผักบุ้ง, ผักกาด)

  • ใช้ ปุ๋ยขี้เป็ด เป็นหลักเพราะมีไนโตรเจนสูง → เร่งใบให้เขียวเร็ว

  • เสริมด้วย ปุ๋ยขี้ไก่ เพื่อเพิ่มฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม

🍅 พืชสวนและไม้ยืนต้น (มะม่วง, ทุเรียน, มะละกอ)

  • ใช้ ปุ๋ยขี้ไก่ ในช่วงก่อนออกดอก → เพิ่มฟอสฟอรัสกระตุ้นการติดผล

  • ใช้ ปุ๋ยขี้เป็ด เพื่อบำรุงใบและลำต้น

🌺 ไม้ดอกและไม้ประดับ (กุหลาบ, กล้วยไม้)

  • ใช้ ปุ๋ยขี้ไก่ ในช่วงก่อนออกดอก → เร่งดอกและสีสันของดอก

  • ใช้ ปุ๋ยขี้เป็ด เพื่อให้ใบเขียวและลำต้นแข็งแรง

🔗 แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

✅ กรมวิชาการเกษตร
IFOAM – Organics International
ตัวอย่างการใช้ปุ๋ยคอกเป็ดและไก่

7 ปุ๋ยขี้เป็ด

7.) ปุ๋ยขี้เป็ด เกษตรอินทรีย์  รวม 14 คลิป 

ตรงนี้คือย่อหน้า คลิกที่นี่เพื่อใส่และแก้ไขข้อความของคุณ ง่ายๆ เลย

8.) น้ำหมักเกษตรอินทรีย์รวม 5 คลิป 

1.) เปรียบเทียบน้ำหมักเกษตรอินทรีย์ น้ำหมัก EM และน้ำหมักชีวภาพ

ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างน้ำหมักทั้ง 3 ประเภท

 

1. น้ำหมักเกษตรอินทรีย์

  • ลักษณะทั่วไป: เป็นน้ำหมักที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติทั้งหมด ใช้ในระบบเกษตรอินทรีย์

  • วัตถุดิบ: เศษพืช ผัก ผลไม้ สมุนไพร หรือมูลสัตว์ 2

  • จุดเด่น:

    • เน้นการปรับปรุงดินและบำรุงพืช

    • ปราศจากสารเคมีสังเคราะห์

    • มักผลิตเองในครัวเรือนหรือชุมชน

  • การใช้งาน: ใช้บำรุงพืช ปรับปรุงดิน และป้องกันแมลงศัตรูพืช 2

 

2. น้ำหมัก EM (Effective Microorganisms)

  • ลักษณะทั่วไป: เป็นน้ำหมักที่ใช้กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพเฉพาะที่พัฒนามาจากประเทศญี่ปุ่น 8

  • องค์ประกอบ: มีจุลินทรีย์ 3 กลุ่มหลัก 10

    1. กลุ่ม Lactobacillus (แบคทีเรียกรดแลคติก)

    2. กลุ่ม Yeast (ยีสต์)

    3. กลุ่ม Phototrophic bacteria (แบคทีเรียสังเคราะห์แสง)

  • จุดเด่น:

    • มีสูตรมาตรฐานจากญี่ปุ่น

    • ใช้ได้หลายวัตถุประสงค์ ทั้งการเกษตรและบำบัดสิ่งแวดล้อม

    • มักต้องซื้อหัวเชื้อเริ่มต้น

  • การใช้งาน: ใช้ในเกษตรกรรม บำบัดน้ำเสีย และกำจัดกลิ่น 10

 

3. น้ำหมักชีวภาพ

  • ลักษณะทั่วไป: เป็นคำกว้างที่รวมน้ำหมักทุกประเภทที่ผลิตโดยกระบวนการชีวภาพ 14

  • วัตถุดิบ: สามารถใช้วัตถุดิบได้หลากหลายทั้งพืช สัตว์ และวัสดุเสริม 14

  • จุดเด่น:

    • มีสูตรหลากหลายตามวัตถุประสงค์การใช้งาน

    • ทั้งแบบผลิตเองและแบบเชิงพาณิชย์

    • บางสูตรพัฒนาโดยหน่วยงานรัฐ เช่น พด.6 ของกรมพัฒนาที่ดิน 12

  • การใช้งาน: ใช้ตามวัตถุประสงค์เฉพาะ เช่น บำรุงพืช เร่งดอกผล หรือไล่แมลง 14

 

ตารางเปรียบเทียบ

ลักษณะ / น้ำหมักเกษตรอินทรีย์    /  น้ำหมัก EM     /  น้ำหมักชีวภาพ

ที่มา   /  ภูมิปัญญาท้องถิ่น    /   พัฒนาจากญี่ปุ่น       /  ทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิชาการ

วัตถุดิบ   /  วัสดุธรรมชาติในท้องถิ่น/   หัวเชื้อ EM + กากน้ำตาล   /  หลากหลายตามสูตร

จุลินทรีย์   /  ธรรมชาติในวัตถุดิบ  /  จุลินทรีย์ 3 กลุ่มเฉพาะ   / ขึ้นอยู่กับสูตร

การผลิต   /  ผลิตเองง่าย   /  ต้องมีหัวเชื้อเริ่มต้น   /  ทั้งผลิตเองและเชิงพาณิชย์

การใช้ประโยชน์   / เกษตรอินทรีย์เป็นหลัก  /  เกษตรและสิ่งแวดล้อม   /  เกษตรและอื่นๆ ตามสูตร

ตัวอย่าง   / น้ำหมักสมุนไพร   /  EM ดั้งเดิมพด.6,    /  น้ำหมักชีวภาพจากหน่อกล้วย 712

 

ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจ

  1. น้ำหมักชีวภาพ พด.6 ของกรมพัฒนาที่ดินเป็นตัวอย่างน้ำหมักชีวภาพที่พัฒนามาจาก EM แต่ปรับปรุงให้เหมาะกับสภาพประเทศไทย 12

  2. น้ำหมัก EM ดั้งเดิมมีลิขสิทธิ์ของศาสตราจารย์เทรูโอะ ฮิงะ จากมหาวิทยาลัยริวกิว ประเทศญี่ปุ่น 8

  3. น้ำหมักเกษตรอินทรีย์มักไม่มีสูตรตายตัว สามารถปรับเปลี่ยนวัตถุดิบตามสภาพพื้นที่และความต้องการของพืช 214

  4. น้ำหมักชีวภาพบางสูตรเช่นจากหน่อกล้วยหรือมูลไก่ มีประสิทธิภาพเฉพาะทางสำหรับพืชบางชนิด 7

  5. การใช้น้ำหมักทั้งสามประเภทต้องคำนึงถึงอัตราการเจือจางที่เหมาะสมเพื่อป้องกันความเสียหายต่อพืช 14

 

น้ำหมักทั้ง 3 ประเภท มีความน่าสนใจและประโยชน์แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งานของเกษตรกร

  • ถ้าต้องการ ทำเองง่าย ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น → น้ำหมักเกษตรอินทรีย์

  • ถ้าต้องการ จุลินทรีย์ประสิทธิภาพสูง ใช้ได้หลายวัตถุประสงค์ → น้ำหมัก EM

  • ถ้าต้องการ สูตรเฉพาะทาง หรือพัฒนาต่อยอดจากหน่วยงานรัฐ → น้ำหมักชีวภาพ

2.) วิธีทำน้ำหมักเกษตรอินทรีย์แบบละเอียด พร้อมเทคนิคการใช้ให้ได้ผลดีที่สุด

น้ำหมักเกษตรอินทรีย์เป็นปุ๋ยชีวภาพที่ทำได้ง่าย ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น ช่วยบำรุงดิน เร่งการเจริญเติบโตของพืช และป้องกันศัตรูพืชได้ดี วิธีทำ 3 สูตรยอดนิยม พร้อมเคล็ดลับการใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

 

1. น้ำหมักจากผลไม้ (สูตรบำรุงพืช เร่งดอก-ผล)

เหมาะสำหรับ: ไม้ผล ผักสวนครัว พืชดอก

วัสดุที่ต้องเตรียม

  • ผลไม้สุก (มะละกอ กล้วย สับปะรด) 3 ส่วน

  • กากน้ำตาล (หรือน้ำตาลทรายแดง) 1 ส่วน

  • น้ำสะอาด 10 ส่วน

  • ภาชนะหมัก (ถังพลาสติกมีฝาปิด/โหลแก้ว)

ขั้นตอนการทำ

  1. เตรียมวัตถุดิบ: หั่นผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้ย่อยสลายเร็ว

  2. ผสมส่วนผสม:

    • ใส่ผลไม้ลงในภาชนะ

    • ละลายกากน้ำตาลในน้ำ เทลงไปให้ท่วมวัตถุดิบ

    • ปิดฝาไม่ต้องสนิทมาก (เพื่อระบายแก๊ส)

  3. ระยะเวลาหมัก:

    • 7 วันแรก: คนวันละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันเชื้อรา

    • หลังจากนั้นปิดฝาให้สนิท เก็บในที่ร่ม หมักต่อ 3 เดือน

  4. กรองใช้: เมื่อครบเวลา กรองเอาแต่น้ำ เก็บในขวดแก้วหรือพลาสติก

เทคนิคการใช้ให้ได้ผลดี

  • อัตราส่วนผสมน้ำ:

    • รดดิน (บำรุงราก): ผสม 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 10 ลิตร

    • ฉีดพ่นใบ (เร่งดอกผล): ผสม 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 20 ลิตร + นมสดเล็กน้อย (ช่วยให้ปุ๋ยติดใบดี)

  • ช่วงเวลาที่เหมาะสม: ฉีดพ่น เช้าหรือเย็น (แดดอ่อน) เพื่อป้องกันใบไหม้

 

2. น้ำหมักสมุนไพร (สูตรไล่แมลง)

เหมาะสำหรับ: ป้องกันเพลี้ย หนอน แมลงศัตรูพืช

วัสดุที่ต้องเตรียม

  • สมุนไพร (ตะไคร้หอม ข่า ใบสะเดา) 3 ส่วน

  • กากน้ำตาล 1 ส่วน

  • น้ำสะอาด 5 ส่วน

  • หัวเชื้อจุลินทรีย์ (ถ้ามี)

ขั้นตอนการทำ

  1. สับสมุนไพร ให้ละเอียด เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวการย่อยสลาย

  2. ผสมทั้งหมด ในภาชนะ คนให้เข้ากัน

  3. หมัก 1-2 เดือน (คนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง)

  4. กรองใช้ เมื่อน้ำมีสีน้ำตาลและกลิ่นหอม

เทคนิคการใช้ให้ได้ผลดี

  • อัตราส่วน: ผสม 2-3 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 1 ลิตร

  • ฉีดพ่นทุก 7 วัน หรือหลังฝนตก

  • เพิ่มประสิทธิภาพ: ผสมน้ำส้มสายชูเล็กน้อย ช่วยให้สารสกัดออกฤทธิ์ดีขึ้น

 

3. น้ำหมักจากปลา (สูตรเร่งโต บำรุงต้นเข้มแข็ง)

เหมาะสำหรับ: ไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชต้องการไนโตรเจนสูง

วัสดุที่ต้องเตรียม

  • ปลาเล็กปลาน้อย/เศษปลา 3 ส่วน

  • กากน้ำตาล 1 ส่วน

  • น้ำ 5 ส่วน

ขั้นตอนการทำ

  1. หมักในถังปิดสนิท (ป้องกันกลิ่นรบกวน)

  2. ระยะเวลาหมัก 6 เดือน (หากใช้ EM ช่วยจะเร็วขึ้น)

  3. กรองใช้ เมื่อไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า

เทคนิคการใช้ให้ได้ผลดี

  • ผสมน้ำ 1:50 (เข้มข้นมากอาจทำให้พืชชะงักการเติบโต)

  • ใช้ร่วมกับปุ๋ยคอก จะเสริมประสิทธิภาพ

 

เคล็ดลับเพิ่มเติมสำหรับน้ำหมักเกษตรอินทรีย์

✅ เก็บน้ำหมักในที่ร่ม ไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง
✅ ไม่ควรใช้ภาชนะโลหะ เพราะอาจเกิดปฏิกิริยาทางเคมี
✅ ทดสอบก่อนใช้จริง โดยฉีดพ่นบางส่วนก่อน เพื่อดูปฏิกิริยาของพืช
✅ ใช้ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์อื่นๆ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก จะได้ผลดีที่สุด

8 น้ำหม้ก E

9.) น้ำหมัก EM  รวม 5 คลิป 

วิธีทำน้ำหมัก EM แบบละเอียด พร้อมเทคนิคการใช้ให้ได้ผลดีที่สุด

น้ำหมัก EM (Effective Microorganisms) เป็นสารชีวภาพที่ช่วยปรับสภาพดิน เร่งการเจริญเติบโตของพืช และป้องกันโรค โดยใช้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ แลคโตบาซิลลัส, ยีสต์, และแบคทีเรียสังเคราะห์แสง 28

 

1. วิธีทำน้ำ EM ขยาย (สูตรพื้นฐาน)

เหมาะสำหรับ: เกษตรกรที่ต้องการประหยัดต้นทุนและขยายปริมาณ EM ให้เพียงพอต่อการใช้งาน

วัสดุที่ต้องเตรียม

  • หัวเชื้อ EM 1 ลิตร

  • กากน้ำตาล 1 ลิตร (หรือน้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 1 ลิตร) 5

  • น้ำสะอาด 20 ลิตร (ควรเป็นน้ำฝน หรือน้ำประปาที่ทิ้งไว้ 1-2 วัน เพื่อคลอรีนระเหย) 2

  • ถังพลาสติกมีฝาปิด

ขั้นตอนการทำ

  1. ผสมกากน้ำตาลกับหัวเชื้อ EM ในถังเล็ก คนให้เข้ากันก่อน 2

  2. เทน้ำสะอาดลงถังใหญ่ แล้วค่อยๆ เทส่วนผสมกากน้ำตาลและ EM ลงไป คนให้ทั่ว 8

  3. ปิดฝาไม่สนิท (เพื่อระบายแก๊ส) เก็บในที่ร่ม อุณหภูมิ 25-35°C 2

  4. หมัก 2 สัปดาห์:

    • 3 วันแรก: เปิดฝาคนเบาๆ ทุกวัน เพื่อป้องกันการสะสมแก๊ส 8

    • หลัง 7 วัน: ถ้ามีฝ้าขาวลอยบนผิวน้ำ แสดงว่าจุลินทรีย์ขยายตัวดี 2

  5. กรองเก็บ ในขวดพลาสติกหรือแก้ว ปิดฝาให้สนิท ใช้ได้นาน 3-6 เดือน 12

 

2. วิธีทำน้ำ EM จากเศษผักผลไม้ (สูตรเร่งโต)

เหมาะสำหรับ: บำรุงพืชให้โตเร็ว แข็งแรง

วัสดุที่ต้องเตรียม

  • เศษผักผลไม้ (มะละกอ ฝรั่ง แตงไทย) 3 ชนิด 3 กก. 5

  • กากน้ำตาล 1 ลิตร

  • หัวเชื้อ EM หรือสารเร่งซุปเปอร์พด.2 (ของกรมพัฒนาที่ดิน) 1 ซอง 5

  • น้ำสะอาด 10 ลิตร

ขั้นตอนการทำ

  1. สับเศษผักผลไม้ให้ละเอียด เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวการย่อยสลาย 5

  2. ผสมกากน้ำตาล + หัวเชื้อ EM + น้ำ คนให้เข้ากัน 5

  3. ใส่เศษพืชลงถัง หมักทิ้งไว้ 15 วัน (เปิดคนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง) 5

  4. กรองเอาแต่น้ำ เก็บในขวดทึบแสง

 

3. เทคนิคการใช้ EM ให้ได้ผลดีที่สุด

3.1 การใช้กับพืช

  • รดดินบำรุงราก: ผสม EM 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 10 ลิตร ใช้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง 8

  • ฉีดพ่นใบ: ผสม EM 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดตอนเช้าหรือเย็น (แดดอ่อน) 8

  • เคล็ดลับ:

    • ใช้ร่วมกับปุ๋ยหมักหรือฟางคลุมดิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ 8

    • ควรใช้ต่อเนื่อง 3 เดือน จะเห็นผลชัดเจน 12

3.2 การใช้กับสัตว์และสิ่งแวดล้อม

  • บำบัดกลิ่นคอกสัตว์: ผสม EM 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่นคอก 12

  • บำบัดน้ำเสีย: ใช้ EM 1 ลิตร ต่อน้ำ 10,000 ลิตร 12

 

4. ข้อควรระวัง

  • ไม่ใช้ภาชนะโลหะ เพราะทำปฏิกิริยากับ EM 8

  • เก็บในที่ร่ม หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง 12

  • ทดสอบก่อนใช้: ฉีดพ่นบางส่วนก่อน เพื่อดูปฏิกิริยาของพืช 8

สรุป

น้ำหมัก EM ทำง่าย ใช้ได้หลากหลาย ทั้งบำรุงพืช ปรับสภาพดิน และบำบัดสิ่งแวดล้อม เลือกสูตรที่เหมาะกับความต้องการและทดลองใช้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้อย่างยั่งยืน 🌱💪

2.) วิธีทำน้ำหมัก EM แบบละเอียด พร้อมเทคนิคการใช้ให้ได้ผลดีที่สุด

น้ำหมัก EM (Effective Microorganisms) เป็นสารชีวภาพที่ช่วยปรับสภาพดิน เร่งการเจริญเติบโตของพืช และป้องกันโรค โดยใช้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ แลคโตบาซิลลัส, ยีสต์, และแบคทีเรียสังเคราะห์แสง 28

 

1. วิธีทำน้ำ EM ขยาย (สูตรพื้นฐาน)

เหมาะสำหรับ: เกษตรกรที่ต้องการประหยัดต้นทุนและขยายปริมาณ EM ให้เพียงพอต่อการใช้งาน

วัสดุที่ต้องเตรียม

  • หัวเชื้อ EM 1 ลิตร

  • กากน้ำตาล 1 ลิตร (หรือน้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 1 ลิตร) 5

  • น้ำสะอาด 20 ลิตร (ควรเป็นน้ำฝน หรือน้ำประปาที่ทิ้งไว้ 1-2 วัน เพื่อคลอรีนระเหย) 2

  • ถังพลาสติกมีฝาปิด

ขั้นตอนการทำ

  1. ผสมกากน้ำตาลกับหัวเชื้อ EM ในถังเล็ก คนให้เข้ากันก่อน 2

  2. เทน้ำสะอาดลงถังใหญ่ แล้วค่อยๆ เทส่วนผสมกากน้ำตาลและ EM ลงไป คนให้ทั่ว 8

  3. ปิดฝาไม่สนิท (เพื่อระบายแก๊ส) เก็บในที่ร่ม อุณหภูมิ 25-35°C 2

  4. หมัก 2 สัปดาห์:

    • 3 วันแรก: เปิดฝาคนเบาๆ ทุกวัน เพื่อป้องกันการสะสมแก๊ส 8

    • หลัง 7 วัน: ถ้ามีฝ้าขาวลอยบนผิวน้ำ แสดงว่าจุลินทรีย์ขยายตัวดี 2

  5. กรองเก็บ ในขวดพลาสติกหรือแก้ว ปิดฝาให้สนิท ใช้ได้นาน 3-6 เดือน 12

 

2. วิธีทำน้ำ EM จากเศษผักผลไม้ (สูตรเร่งโต)

เหมาะสำหรับ: บำรุงพืชให้โตเร็ว แข็งแรง

วัสดุที่ต้องเตรียม

  • เศษผักผลไม้ (มะละกอ ฝรั่ง แตงไทย) 3 ชนิด 3 กก. 5

  • กากน้ำตาล 1 ลิตร

  • หัวเชื้อ EM หรือสารเร่งซุปเปอร์พด.2 (ของกรมพัฒนาที่ดิน) 1 ซอง 5

  • น้ำสะอาด 10 ลิตร

ขั้นตอนการทำ

  1. สับเศษผักผลไม้ให้ละเอียด เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวการย่อยสลาย 5

  2. ผสมกากน้ำตาล + หัวเชื้อ EM + น้ำ คนให้เข้ากัน 5

  3. ใส่เศษพืชลงถัง หมักทิ้งไว้ 15 วัน (เปิดคนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง) 5

  4. กรองเอาแต่น้ำ เก็บในขวดทึบแสง

 

3. เทคนิคการใช้ EM ให้ได้ผลดีที่สุด

3.1 การใช้กับพืช

  • รดดินบำรุงราก: ผสม EM 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 10 ลิตร ใช้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง 8

  • ฉีดพ่นใบ: ผสม EM 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดตอนเช้าหรือเย็น (แดดอ่อน) 8

  • เคล็ดลับ:

    • ใช้ร่วมกับปุ๋ยหมักหรือฟางคลุมดิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ 8

    • ควรใช้ต่อเนื่อง 3 เดือน จะเห็นผลชัดเจน 12

3.2 การใช้กับสัตว์และสิ่งแวดล้อม

  • บำบัดกลิ่นคอกสัตว์: ผสม EM 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่นคอก 12

  • บำบัดน้ำเสีย: ใช้ EM 1 ลิตร ต่อน้ำ 10,000 ลิตร 12

4. ข้อควรระวัง

  • ไม่ใช้ภาชนะโลหะ เพราะทำปฏิกิริยากับ EM 8

  • เก็บในที่ร่ม หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง 12

  • ทดสอบก่อนใช้: ฉีดพ่นบางส่วนก่อน เพื่อดูปฏิกิริยาของพืช 8

 

สรุป

น้ำหมัก EM ทำง่าย ใช้ได้หลากหลาย ทั้งบำรุงพืช ปรับสภาพดิน และบำบัดสิ่งแวดล้อม เลือกสูตรที่เหมาะกับความต้องการและทดลองใช้อย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้อย่างยั่งยืน 🌱💪

9 น้ำหมักชีวภาพ

9.) น้ำหมักชีวภาพ  รวม 14 คลิป 

วิธีทำน้ำหมักชีวภาพแบบละเอียด พร้อมเทคนิคการใช้ให้ได้ผลดีที่สุด

น้ำหมักชีวภาพเป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ผลิตจากกระบวนการหมักเศษพืช ผัก ผลไม้ หรือสัตว์ด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ช่วยบำรุงพืช เร่งการเจริญเติบโต ปรับสภาพดิน และป้องกันศัตรูพืช โดยไม่ใช้สารเคมี วันนี้ผมจะนำเสนอ 3 สูตรน้ำหมักชีวภาพยอดนิยม พร้อมขั้นตอนทำอย่างละเอียดและเคล็ดลับการใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

 

1. น้ำหมักชีวภาพจากผลไม้ (สูตรเร่งดอก-ผล)

เหมาะสำหรับ: ไม้ผล ผักสวนครัว พืชดอก

วัสดุที่ต้องเตรียม

  • ผลไม้สุก (มะละกอ กล้วย สับปะรด ฝรั่ง) 3 ส่วน 110

  • กากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายแดง 1 ส่วน 1

  • น้ำสะอาด 10 ส่วน

  • ถังหมักพลาสติกมีฝาปิด (ขนาด 20-100 ลิตร) 10

ขั้นตอนการทำ

  1. เตรียมวัตถุดิบ: หั่นผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวการย่อยสลาย 1

  2. ผสมส่วนผสม:

    • ใส่ผลไม้ลงในถังหมัก

    • ละลายกากน้ำตาลในน้ำ เทลงถังให้ท่วมวัตถุดิบ

    • คนให้เข้ากัน 1

  3. การหมัก:

    • 7 วันแรก: เปิดฝาคนทุกวันเพื่อระบายแก๊ส 1

    • หลังจากนั้นปิดฝาไม่สนิท เก็บในที่ร่ม หมักต่อ 30-45 วัน 10

  4. กรองใช้: เมื่อน้ำมีสีน้ำตาลและกลิ่นหอม ให้กรองเอาแต่น้ำ เก็บในขวดทึบแสง 1

เทคนิคการใช้

  • บำรุงต้น: ผสม 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร ราดโคนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง 8

  • เร่งดอกผล: ผสม 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นใบช่วงเช้าหรือเย็น 10

  • เคล็ดลับ: ใช้ร่วมกับนมสดเล็กน้อยช่วยให้ปุ๋ยติดใบดีขึ้น 14

 

2. น้ำหมักชีวภาพจากปลา (สูตรบำรุงต้น เร่งโต)

เหมาะสำหรับ: ไม้ผล พืชต้องการไนโตรเจนสูง

วัสดุที่ต้องเตรียม

  • ปลาสดหรือเศษปลา 40 กก. 2

  • กากน้ำตาล 20 กก.

  • หัวเชื้อซุปเปอร์ พด.2 (ของกรมพัฒนาที่ดิน) 1 ซอง 2

  • น้ำสะอาด 80 ลิตร

ขั้นตอนการทำ

  1. ผสมหัวเชื้อ พด.2 ในน้ำอุ่น 20 ลิตร 2

  2. ใส่ปลาและกากน้ำตาลลงในถังหมักขนาด 200 ลิตร

  3. เติมน้ำจนเต็ม 80% ของถัง ปิดฝาให้แน่น 2

  4. หมัก 25-30 วัน คนทุกวันวันละ 2-3 ครั้ง 2

  5. กรองเก็บน้ำหมักในขวดพลาสติก

เทคนิคการใช้

  • พ่นทางใบ: 1 ลิตรต่อน้ำ 100-150 ลิตร ฉีดทุก 7-10 วัน 2

  • ราดดิน: 1 ลิตรต่อน้ำ 50 ลิตร ใช้ปีละ 3-4 ครั้ง 2

  • ข้อควรระวัง: มีกลิ่นแรง ควรทำในพื้นที่เปิด 13

 

3. น้ำหมักสมุนไพร (สูตรไล่แมลง)

เหมาะสำหรับ: ป้องกันเพลี้ย หนอน แมลงศัตรูพืช

วัสดุที่ต้องเตรียม

  • สมุนไพร (ตะไคร้หอม ข่า ใบสะเดา) 3 ส่วน 14

  • กากน้ำตาล 1 ส่วน

  • น้ำสะอาด 5 ส่วน

  • หัวเชื้อ EM (ถ้ามี) 13

ขั้นตอนการทำ

  1. สับสมุนไพรให้ละเอียด 14

  2. ผสมทั้งหมดในถังหมัก คนให้เข้ากัน

  3. หมัก 1-2 เดือน (คนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง) 14

  4. กรองใช้เมื่อน้ำมีสีน้ำตาล

เทคนิคการใช้

  • อัตราส่วน: 10-20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร 8

  • ฉีดพ่นทุก 7 วัน หรือหลังฝนตก 14

  • เพิ่มประสิทธิภาพ: ผสมน้ำส้มสายชูหรือเหล้าขาวเล็กน้อยช่วยยืดอายุการเก็บ 14

เคล็ดลับการใช้น้ำหมักชีวภาพให้ได้ผลดี

  1. ทดสอบก่อนใช้: ฉีดพ่นบางส่วนก่อนเพื่อดูปฏิกิริยาของพืช 8

  2. เวลาที่เหมาะสม: ฉีดพ่นช่วงเช้าหรือเย็น (แดดอ่อน) 12

  3. เก็บรักษา: เก็บในที่ร่ม ภาชนะทึบแสง ใช้ได้นาน 6 เดือน 1

  4. ใช้ร่วมกับปุ๋ยอื่น: เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด 2

  5. ไม่ใช้กับพืชอ่อน: ควรใช้เมื่อพืชมีอายุ 15 วันขึ้นไป 8

สรุป

น้ำหมักชีวภาพแต่ละสูตรมีจุดเด่นต่างกัน:

  • ผลไม้: เร่งดอกผล เพิ่มความหวาน 10

  • ปลา: บำรุงต้น เร่งการเจริญเติบโต 2

  • สมุนไพร: ไล่แมลงศัตรูพืช 14

10 ทำปุ๋ยจากใบไม้

10 .) ทำปุ๋ย จากใบไม้ รวม 5 คลิป 

วิธีทำปุ๋ยจากใบไม้แห้งและใบไม้สดแบบละเอียด พร้อมเทคนิคการใช้ให้ได้ผลดีที่สุด

 

1. การทำปุ๋ยหมักจากใบไม้แห้ง (แบบไม่กลับกอง)

เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีพื้นที่น้อย ต้องการประหยัดแรงงาน

วัสดุที่ต้องเตรียม:

  • ใบไม้แห้ง 100 กก. (ควรเป็นใบไม้ขนาดเล็กหรือสับให้แตก)

  • มูลสัตว์ (วัว/ไก่/ค้างคาว) 10 กก.

  • รำละเอียด 2 กก.

  • น้ำสะอาด (หรือน้ำหมักชีวภาพเจือจาง)

  • สารเร่งซุปเปอร์ พด.1 (ของกรมพัฒนาที่ดิน) 1 ซอง

ขั้นตอนการทำ:

  1. จัดเตรียมพื้นที่ในที่ร่ม มีหลังคากันฝน

  2. วางชั้นใบไม้แห้งสูงประมาณ 30 ซม.

  3. โรยทับด้วยมูลสัตว์และรำละเอียดบางๆ

  4. ละลายสารเร่ง พด.1 ในน้ำ 20 ลิตร รดให้ชุ่ม

  5. ทำซ้ำชั้นแบบนี้จนกองสูง 1.5 เมตร

  6. ปิดทับด้วยกระสอบป่านหรือพลาสติกดำเจาะรู

  7. หมักไว้ 60 วัน โดยไม่ต้องกลับกอง

เทคนิคการใช้:

  • ใช้รองก้นหลุมปลูกไม้ผล อัตรา 3-5 กก./หลุม

  • ใช้คลุมโคนต้นไม้ประดับ หนา 5-10 ซม.

  • ผสมกับดินปลูกในอัตรา 1:3 สำหรับกระถาง

 

2. การทำปุ๋ยหมักจากใบไม้สด (แบบกลับกอง)

เหมาะสำหรับ: ผู้ที่ต้องการปุ๋ยคุณภาพสูง ใช้เวลาเร็ว

วัสดุที่เตรียม:

  • ใบไม้สด 100 กก. (ควรสับให้ละเอียด)

  • มูลสัตว์ 20 กก.

  • กากน้ำตาล 1 กก.

  • น้ำหมัก EM หรือสารเร่ง พด.1

  • ปุ๋ยยูเรีย 0.5 กก. (ช่วยเร่งการย่อยสลาย)

ขั้นตอนการทำ:

  1. ผสมใบไม้สดกับมูลสัตว์และปุ๋ยยูเรียให้เข้ากัน

  2. ละลายกากน้ำตาลและ EM ในน้ำ 20 ลิตร

  3. รดน้ำให้ความชื้นประมาณ 60% (กำแล้วไม่มีน้ำไหลออกตามง่ามมือ)

  4. กองสูง 1 เมตร กว้าง 2 เมตร ยาวตามเหมาะสม

  5. กลับกองทุก 7 วัน ใน 4 สัปดาห์แรก

  6. หลังจากนั้นกลับกองทุก 15 วัน

  7. ใช้ได้เมื่ออุณหภูมิในกองลดลงเท่ากับอุณหภูมิห้อง (ประมาณ 45-60 วัน)

เทคนิคการใช้:

  • ใช้เป็นปุ๋ยหลักสำหรับพืชผัก อัตรา 2-3 กก./ตารางเมตร

  • ผสมดินปลูกในอัตรา 1:1 สำหรับเพาะกล้า

  • ใช้คลุมแปลงผักหนา 3-5 ซม. ช่วยรักษาความชื้น

 

3. การทำปุ๋ยน้ำจากใบไม้ (น้ำสกัดชีวภาพ)

เหมาะสำหรับ: การให้ปุ๋ยทางใบ เร่งการเจริญเติบโต

วัสดุที่เตรียม:

  • ใบไม้สด (ใบกระถิน ใบถั่ว ใบไมยราบ) 3 กก.

  • กากน้ำตาล 1 กก.

  • น้ำสะอาด 10 ลิตร

  • ถังพลาสติกมีฝาปิด

ขั้นตอนการทำ:

  1. สับใบไม้ให้ละเอียด

  2. ใส่ลงในถังพร้อมกากน้ำตาลและน้ำ

  3. คนให้เข้ากัน ปิดฝาไม่สนิท

  4. หมัก 15-30 วัน คนทุก 3-5 วัน

  5. กรองเอาแต่น้ำเก็บในขวด

เทคนิคการใช้:

  • ผสม 2-3 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นใบสัปดาห์ละครั้ง

  • ใช้ร่วมกับน้ำหมักปลาหรือ EM จะเพิ่มประสิทธิภาพ

  • ฉีดช่วงเช้าหรือเย็นเพื่อป้องกันใบไหม้

 

4. เทคนิคเพิ่มประสิทธิภาพ

  1. การเลือกใบไม้:

    • ใบไม้ย่อยสลายง่าย: ใบกระถิน ใบถั่ว ใบก้ามปู

    • ใบไม้ย่อยสลายยาก: ใบยูคาลิปตัส ใบสน ควรสับให้ละเอียด

  2. การควบคุมความชื้น:

    • ควรมีความชื้น 50-60% ตลอดกระบวนการ

    • ตรวจสอบโดยกำวัสดุแล้วไม่ควรมีน้ำไหลออกตามง่ามมือ

  3. การเร่งกระบวนการ:

    • ใช้จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลาย (EM, พด.1)

    • ใส่ปุ๋ยไนโตรเจนเล็กน้อยช่วยเร่งการย่อยสลาย

  4. การแก้ปัญหา:

    • หากมีกลิ่นเหม็น: เติมรำหรือเศษไม้เพิ่ม

    • หากแห้งเกินไป: รดน้ำเพิ่ม

    • หากย่อยสลายช้า: กลับกองบ่อยขึ้น

 

5. การประยุกต์ใช้ในสวน

  1. ระบบกองใบไม้ไม่ย่อยสลาย:

    • วางใบไม้เป็นชั้นใต้ต้นไม้ใหญ่

    • ปล่อยให้ย่อยสลายตามธรรมชาติ

    • เหมาะสำหรับไม้ผลยืนต้น

  2. การทำปุ๋ยหมักในกระสอบ:

    • ใส่ใบไม้และวัสดุอื่นๆ ในกระสอบปุ๋ย

    • มัดปากกระสอบเจาะรูเล็กๆ

    • กลับกระสอบทุก 15 วัน

  3. การทำปุ๋ยหมักในบ่อ:

    • ขุดบ่อขนาดเล็ก 1x1x1 เมตร

    • ใส่ใบไม้สลับกับมูลสัตว์

    • ใช้เวลาหมัก 3-6 เดือน

ข้อควรระวัง:

  • ไม่ใช้ใบไม้ที่เป็นโรคหรือมีแมลงศัตรูพืช

  • ควรสลับชนิดใบไม้เพื่อความสมดุลของธาตุอาหาร

  • ควรสวมถุงมือเมื่อทำงานกับปุ๋ยหมัก

11 จุลินทรีย์

11.) น้ำจุลินทรีย์ รวม 5 คลิป 

แองเคอ 1

© 2024 by The SUN Academy (TSA). Powered and secured by Wix

bottom of page