top of page

Fruit ผลไม้

เพื่อโครงการ ดวงใจหทัยราษฏร์ ปราชญ์แห่งน้ำ และ ขอเป็นส่วนหนึ่งของการให้ไทยเป็นครัว ของโลก                                                                                    

ซึ่งเรื่องผลไม้ ทั้ง 35 รายการ ขอมอบให้เป็นความรู้แก่เกษตรกร และผู้สนใจ  โดยโครงการจะทดลองปลูกผลไม้บางตัวในแบบเกษตรอินทรีย์  ตามที่ตลาดในไทยและต่างประเทศต้องการ  และความพร้อมของฟาร์มเกษตร M3 

ผู้บริโภคทั่วโลกสนใจเรื่องสุขภาพของตนเอง คุณภาพของการบริโภค และ ห่วงใยสิ่งแวดล้อม

1.png

ข้อมูลทั้งหมดได้รวบรวมจาก AI    All data is collected from AI.                                                                          

Shortcut

1.) ได้รวบรวม ในความรู้ ประสบประการณ์ ความสำเร็จ ข้อแนะนำ จากคนไทย และ ต่างประเทศ ที่ยินดีแบ่งปันบน YouTube โดย VG จะนำมารวบรวม และ ดัดแปลงในการใช้ การปกป้องกัน และ เป็นข้อแนะนำในการดำเนินการ https://www.youtube.com/@DulyawatPhuttakaya-ys9bf/playlists                                                                 

2.) ราคาการจำหน่ายในไทยจะถือตามราคาจำหน่าย ของตลาดไท https://talaadthai.com/ ส่วนในต่างประเทศจะถือตาม กรมการค้าต่างประเทศ                                                                                                                                                                                                                                              

3.) Collected in knowledge, experience, success, advice from Thais and foreigners who are willing to share on YouTube. VG will collect and modify it for use, protection and as a guideline for action. https://www.youtube.com/@DulyawatPhuttakaya-ys9bf/playlists                                                                                      

4.) The selling price in Thailand will be based on the selling price of Thai Market https://talaadthai.com/. As for overseas, it will be based on the Department of Foreign Trade.                                                                                                                                                                                                                                              

เทคนิค

 1.) ผลไม้พุ่มบางชนิดจะปลูกในเข่งพลาสติก รวม 22 คลิป  ในโครงการ นอกจากปลูกผลไม้ในดิน จากเมล็ด จากต่อกิ่ง ติดตา เสียบยอด เราจะปลูกไว้ในเข่ง เพื่อสะดวกแก่การเคลื่อนย้าย ยังเพื่อการจำหน่าย และ แจกจ่ายให้ผู้มีอุปการะคุณ และ ผู้พักอาศัยในโครงการ MIT

3.)เทคนิคปลูกในถุง รวม 1 คลิป  

GAP

1.) การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP)  รวม 27 คลิป  

2.) มาตรฐานการผลิตขั้นต้น (Primary GMP) รวม 18 คลิป  

Market

การส่งเสริมการขายผลไม้ไทยสามารถดำเนินการผ่านหลายช่องทาง ดังนี้:

1. การตลาดทางออนไลน์

  • สร้างร้านค้าออนไลน์: ใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น Shopee, Lazada หรือแพลตฟอร์มเฉพาะทาง เช่น ตลาดไทออนไลน์ เพื่อจำหน่ายผลไม้โดยตรงถึงผู้บริโภค

  • ใช้สื่อสังคมออนไลน์: โปรโมตผลิตภัณฑ์ผ่าน   Website ของฟาร์ม ,Facebook, Instagram หรือ TikTok เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้น

  • จัดส่งที่มีประสิทธิภาพ: ร่วมมือกับบริการขนส่งที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิ เพื่อรักษาความสดใหม่ของผลไม้จนถึงมือลูกค้า IEL

2. การขายหน้าฟาร์ม

  • จัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตร: เชิญชวนผู้บริโภคมาเยี่ยมชมฟาร์ม สัมผัสประสบการณ์การเก็บผลไม้สด และซื้อผลิตภัณฑ์โดยตรงจากฟาร์ม

  • สร้างจุดจำหน่ายภายในฟาร์ม: จัดตั้งร้านค้าหน้าฟาร์มเพื่อจำหน่ายผลไม้สดและผลิตภัณฑ์แปรรูป

3. ตลาดนัดใกล้ฟาร์ม

  • เข้าร่วมตลาดนัดท้องถิ่น: นำผลผลิตไปจำหน่ายในตลาดนัดหรือชุมชนใกล้เคียง เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในพื้นที่

  • จัดโปรโมชั่นพิเศษ: เสนอราคาพิเศษหรือแพ็กเกจส่งเสริมการขายเพื่อดึงดูดลูกค้า

4. ตลาดใหญ่ในไทย

  • เข้าร่วมตลาดกลางค้าส่ง: นำผลผลิตไปจำหน่ายในตลาดกลางขนาดใหญ่ เช่น ตลาดไท ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าส่งผลไม้ที่สำคัญของประเทศ

    facebook.com

  • ร่วมมือกับห้างสรรพสินค้า: จัดจำหน่ายผลไม้ผ่านห้างสรรพสินค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหญ่

5. ตลาดต่างประเทศ

  • ศึกษาตลาดเป้าหมาย: วิเคราะห์ความต้องการของตลาดต่างประเทศ เช่น จีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าผลไม้ไทยรายใหญ่

    scgjwd.com

  • เข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ: เช่น งาน THAIFEX-ANUGA ASIA เพื่อพบปะผู้ซื้อจากต่างประเทศ

    กรมการจัดหารือรัฐ

  • ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล: เช่น มาตรฐานสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช เพื่อให้สามารถส่งออกได้อย่างราบรื่น

การดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการจำหน่ายผลไม้ไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

ขนุน 1

1.) ขนุน รวม 73 คลิป  Jackfruit, total 73 clips

ขนุนเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย โดยมีสายพันธุ์มากกว่า 100 สายพันธุ์
facebook.com
อย่างไรก็ตาม สายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในตลาดผู้บริโภคไทยและต่างประเทศ มีดังนี้:
  1. พันธุ์ทองประเสริฐ: เป็นพันธุ์ที่ปลูกมากที่สุดในปัจจุบัน เนื้อสีเหลืองทอง หนา รสชาติหวานกรอบ
    technologychaoban.com
  2. พันธุ์ศรีบรรจง: ทรงต้นทึบ ใบเล็ก ปลายใบแหลม เปลือกผลสีเขียวเข้ม เนื้อสีเหลืองทอง หนา กรอบ รสหวานจัด
    opsmoac.go.th
  3. พันธุ์เพชรราชา (ทะวาย): เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมทั้งจากผู้ปลูกและผู้บริโภค
    supannikasentima1.blogspot.com
  4. พันธุ์เหลืองพิชัย (ทะวาย): เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมทั้งจากผู้ปลูกและผู้บริโภค
    supannikasentima1.blogspot.com
การขยายพันธุ์ขนุน สามารถทำได้สองวิธีหลัก:
  • การทาบกิ่ง ติดตา หรือเสียบยอด: วิธีนี้ทำให้ได้ต้นพันธุ์ที่ไม่กลายพันธุ์และให้ผลผลิตเร็วกว่า
    aopdh02.doae.go.th
  • การปลูกโดยเมล็ด: แม้ว่าจะเป็นวิธีที่ง่าย แต่มีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์สูงและใช้เวลานานกว่าในการให้ผลผลิต
เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษาเพื่อให้ขนุนมีผลดก กรอบ และรสชาติดี:
  • การเลือกพื้นที่ปลูก: ขนุนชอบอากาศร้อนชื้น ควรปลูกในดินร่วนหรือร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี
    กรมพัฒนาที่ดิน
  • การเตรียมหลุมปลูก: ขุดหลุมขนาด 50 x 50 x 50 เซนติเมตร ผสมดินกับปุ๋ยคอกและร็อคฟอสเฟตเพื่อเพิ่มธาตุอาหาร
    aopdh02.doae.go.th
  • การให้น้ำและปุ๋ย: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอและใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อบำรุงต้น
    aopdh02.doae.go.th
  • การตัดแต่งกิ่งและการไว้ผล: ควรไว้ผลที่โคนกิ่งใหญ่และตัดแต่งผลที่ไม่สมบูรณ์เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ rakbankerd.com  https://www.technologychaoban.com/agricultural-technology/article_239532?utm_source=chatgpt.com                                                                                                                                                                                                                          
  • ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปลูกขนุนในแต่ละปี

  • ✅ ช่วงเวลาที่ดีที่สุด: ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม - กรกฎาคม)

  • ดินมีความชุ่มชื้นสูง ช่วยให้ต้นกล้าเจริญเติบโตได้ดี

  • ลดความจำเป็นในการรดน้ำช่วงแรกของการปลูก

  • รากสามารถตั้งตัวได้ดี ทำให้ต้นขนุนแข็งแรงและโตเร็ว

  • ✅ ช่วงปลูกทางเลือก: ปลายฤดูฝน - ต้นฤดูหนาว (กันยายน - พฤศจิกายน)

  • เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการชลประทานดี หรือปลูกในระบบน้ำหยด

  • ควรคลุมดินรอบโคนต้นเพื่อลดการสูญเสียความชื้น

  • 🚫 ช่วงที่ไม่แนะนำให้ปลูก: ฤดูแล้ง (กุมภาพันธ์ - เมษายน)

  • อากาศร้อนจัด อาจทำให้ต้นกล้าแห้งตายได้ง่าย

  • ต้องดูแลเรื่องการให้น้ำอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนและเวลาในการดูแล

Jackfruit is a very popular fruit in Thailand, with over 100 varieties.
facebook.com
However, the most popular varieties in the Thai and international consumer markets are as follows:
1. ) Thong Prasert: This is the most widely planted variety at present. The flesh is golden yellow, thick, and the taste is sweet and crispy. technologychaoban.com
2.) ​Sri Banjong: The tree has a dense shape, small leaves, pointed leaf tips, dark green peel, golden yellow flesh, thick, crisp, and very sweet. opsmoac.go.th
​3.) Phet Racha (Thawai): This variety is popular with both growers and consumers.
supannikasentima1.blogspot.com
4.) Luang Phichai (Thawai): This variety is popular with both growers and consumers. ​supannikasentima1.blogspot.com
There are two main methods of jackfruit propagation:
Branch grafting, budding, or top-budding:
>This method produces non-mutant seedlings and produces faster. aopdh02.doae.go.th
  • Planting by seed: Although it is an easy method, But there is a high chance of mutation and it takes longer to produce fruit.
    Techniques for planting and maintaining jackfruit to produce a lot of fruit, crispy and tasty:
  • > Choosing a planting area: Jackfruit likes hot and humid weather. It should be planted in well-drained sandy or loamy soil กรมพัฒนาที่ดิน
  • > Preparing a planting hole: Dig a hole of 50 x 50 x 50 centimeters. Mix the soil with manure and rock phosphate to add nutrients aopdh02.doae.go.th
  • > Watering and fertilizing: Water regularly and add manure or compost to nourish the tree. aopdh02.doae.go.th
  • > Pruning and fruiting: Fruits should be left at the base of large branches and imperfect fruits should be trimmed to produce quality fruit. rakbankerd.com  https://www.technologychaoban.com/agricultural-technology/article_239532?utm_source=chatgpt.com                                                                                                                                                                                                                          
  • ✅ The best time: Early rainy season (May - July)

  • The soil is very moist, allowing the seedlings to grow well.

  • Reduces the need for watering during the initial planting period.

  • The roots can establish themselves well, making the jackfruit tree strong and grow quickly.

  • ✅ Alternative planting period: Late rainy season - early winter (September - November)

  • Suitable for areas with good irrigation or planting in a drip system.

  • The soil around the base of the tree should be covered to reduce moisture loss.

  • 🚫 Not recommended time to plant: Dry season (February - April)

  • Extremely hot weather can easily cause the seedlings to dry out and die.

  • You need to take care of watering closely, which may increase the cost and time of maintenance.

 ข้อมูลเกี่ยวกับขนุนจาก Web kasettambon.com 

2.) กล้วย รวม 18 คลิป  มีคลิปอีกมากกำลังจะค้นหามาเพิ่ม ครับ Bananas, total 18 clips

 กล้วยหอม 

กล้วยหอม

กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศไทย โดยมีสายพันธุ์หลักที่ปลูกเพื่อการค้าอยู่ 2 สายพันธุ์ ดังนี้:

  1. กล้วยหอมทอง: เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย มีลักษณะผลยาว สีเหลืองทอง รสชาติหวาน และมีกลิ่นหอมมาก พื้นที่ที่นิยมปลูกได้แก่ จังหวัดนครปฐม ราชบุรี และเพชรบุรี โดยเฉพาะบริเวณรอบแม่น้ำแม่กลอง ซึ่งมีสภาพดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกล้วย

    homhomgroup.com

  2. กล้วยหอมเขียว: มีลักษณะผลคล้ายกับกล้วยหอมทอง แต่แตกต่างกันที่ลักษณะของลำต้น และสามารถรับประทานได้ในขณะที่ผลยังมีสีเขียว

    maricmju.com

เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษากล้วยหอมทองเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ:

  • การเตรียมดิน: ควรไถพรวนดินและกำจัดวัชพืชก่อนการปลูก เพื่อให้ดินร่วนซุยและระบายน้ำได้ดี

  • การปลูก: ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน เพื่อให้ต้นกล้าได้รับน้ำเพียงพอ และควรเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 2.5 x 2.5 เมตร เพื่อให้ต้นกล้วยมีพื้นที่เพียงพอในการเจริญเติบโต

  • การให้น้ำ: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการปลูก เพื่อให้ดินมีความชุ่มชื้นเพียงพอ

  • การให้ปุ๋ย: ควรให้ทั้งปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีควบคู่กันไป โดยปุ๋ยเคมีสูตรที่เหมาะสมสำหรับกล้วยหอมทองคือ 21-0-0 ในอัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของต้นกล้วย

    rakbankerd.com

  • การตัดแต่งหน่อ: ควรตัดแต่งหน่อที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้ต้นแม่ได้รับสารอาหารอย่างเต็มที่ และส่งเสริมการเจริญเติบโตของผลผลิต

ประเทศที่ไทยส่งออกกล้วยหอมทอง เรียงตามปริมาณการส่งออก:

จากข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2562 ถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 ประเทศไทยส่งออกกล้วยหอมทองไปยัง 29 ประเทศทั่วโลก โดยมีปริมาณการส่งออกรวม 17,538.88 ตัน ประเทศที่ไทยส่งออกกล้วยหอมทองมากที่สุด ได้แก่ ฟิลิปปินส์ (817,541 ตัน), เอกวาดอร์ (95,190 ตัน), และเม็กซิโก (67,738 ตัน)

opsmoac.go.th

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณ หากมีคำถามเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ครับ

เวียดนามก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกกล้วยอันดับ 1 สู่ตลาดจีน

ditp.go.th

เวียดนามก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกกล้วยอันดับ 1 สู่ตลาดจีน ทำลายสถิติส่งออก ...

130 วันที่ผ่านมา

1.) เดือนไหนที่ควรปลูกกล้วยหอม

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

  • ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม - กรกฎาคม)

    • ดินมีความชุ่มชื้นสูง ลดการรดน้ำและช่วยให้รากตั้งตัวได้ดี

    • ต้นแข็งแรง เจริญเติบโตเร็ว

  • ปลายฤดูฝน (กันยายน - ตุลาคม)

    • ช่วยให้ต้นกล้วยได้รับน้ำเพียงพอ และสามารถเติบโตต่อไปได้ในฤดูหนาว

🚫 ช่วงที่ไม่แนะนำให้ปลูก

  • ฤดูแล้ง (มีนาคม - เมษายน)

    • อากาศร้อนและแห้ง อาจทำให้ต้นกล้วยเหี่ยวและขาดน้ำ

2.) ต้นกล้วยหอมจะให้ผลเมื่อใด และอายุของต้นกล้วยนานเท่าใด

🌱 อายุของต้นกล้วยหอม

  • ปลูกโดยหน่อ: ใช้เวลา 8-10 เดือน จึงเริ่มออกเครือ

  • ปลูกโดยเพาะเนื้อเยื่อ: ใช้เวลา 9-12 เดือน

🍌 ระยะเวลาการให้ผลผลิต

  • หลังจากออกเครือแล้ว ใช้เวลา 2.5-3 เดือน จึงสามารถเก็บเกี่ยวได้

  • เก็บเกี่ยวครั้งแรก: ประมาณ 10-12 เดือนหลังปลูก

  • ต้นกล้วย 1 ต้นให้ผลผลิตเพียง 1 ครั้ง และจะตัดต้นทิ้งหลังเก็บเกี่ยว

  • อายุของต้นแม่: หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว หน่อใหม่สามารถเติบโตแทนต้นแม่ ทำให้วงจรการปลูกต่อเนื่อง

3.) สภาพดินและเทคนิคที่ทำให้ออกผลดก และรสชาติดี

✅ สภาพดินที่เหมาะสม

  • ดินร่วนปนทราย หรือ ดินร่วนปนดินเหนียว ที่มีการระบายน้ำดี

  • ค่า pH 5.5 - 6.5 เป็นค่าที่ดีที่สุดสำหรับกล้วย

  • ควรปลูกในพื้นที่ที่ไม่มีน้ำขัง เพราะรากกล้วยจะเน่าได้ง่าย

✅ เทคนิคที่ช่วยให้กล้วยออกผลดกและรสชาติดี

1️⃣ การคัดเลือกหน่อปลูก

  • ควรเลือกหน่อที่สมบูรณ์ แข็งแรง และมีอายุ 5-6 เดือน

  • หน่อควรมีขนาดประมาณ 80-100 ซม. และไม่ควรใช้หน่อเล็กเกินไป

2️⃣ การเตรียมดินก่อนปลูก

  • ขุดหลุมขนาด 50x50x50 ซม.

  • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 2-3 กิโลกรัมต่อหลุม

  • ใช้ปูนขาว 200-300 กรัม เพื่อปรับสภาพดิน (ถ้าดินเป็นกรด)

3️⃣ การบำรุงต้นให้แข็งแรง

  • ใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ทุก 2 เดือน ช่วยให้ต้นสมบูรณ์

  • ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 หรือ 8-24-24 ช่วงออกปลี เพื่อให้ผลโต รสชาติดี

4️⃣ การให้น้ำที่เหมาะสม

  • รดน้ำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะในช่วงแล้ง

  • ช่วงก่อนเก็บเกี่ยว ลดการให้น้ำลง เพื่อให้ผลหวานขึ้น

5️⃣ การตัดแต่งใบและหน่อ

  • ตัดใบที่แห้งและใบที่ทับกันออก เพื่อให้แสงแดดส่องถึง

  • ควบคุมหน่อให้มีเพียง 2-3 หน่อต่อกอ เพื่อไม่ให้แย่งสารอาหาร

🍌 กล้วยที่ได้คุณภาพดีต้องมี
✅ เปลือกบาง สีเหลืองทองสม่ำเสมอ
✅ เนื้อแน่น หอม หวาน ไม่ฝาด
✅ เครือใหญ่ ขนาดผลสม่ำเสมอ

🌍 ประเทศที่ไทยส่งออกกล้วยหอม เรียงตามปริมาณ
1️⃣ จีน (ตลาดใหญ่สุด)
2️⃣ ญี่ปุ่น
3️⃣ เกาหลีใต้
4️⃣ มาเลเซีย
5️⃣ สิงคโปร์
6️⃣ ยุโรป (เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์)

📌 สรุปสั้น ๆ

  • ปลูกช่วงต้นหรือปลายฤดูฝน เพื่อให้รากตั้งตัวดี

  • เริ่มให้ผลเมื่ออายุ 8-12 เดือน และเก็บเกี่ยวได้ในอีก 2.5-3 เดือน

  • ดินร่วนปนทราย ค่า pH 5.5-6.5 เหมาะที่สุด

  • ดูแลด้วยปุ๋ยสูตร 15-15-15 และ 13-13-21 ช่วยให้ผลดกและรสชาติดี

  • ไทยส่งออกไปจีนมากที่สุด ตามด้วยญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

 กล้วยน้ำว้า 

กล้วยน้ำว้า

กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่มีความสำคัญในประเทศไทย ทั้งในด้านการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกไปยังต่างประเทศ ผมขอให้ข้อมูลตามคำถามของคุณดังนี้ครับ:

1. พันธุ์กล้วยน้ำว้าในประเทศไทยและความนิยมในตลาดผู้บริโภค

ในประเทศไทยมีพันธุ์กล้วยน้ำว้าหลากหลาย แต่พันธุ์ที่ได้รับความนิยมในตลาดผู้บริโภค ได้แก่:

  • พันธุ์มะลิอ่อง: เป็นพันธุ์พื้นเมืองที่มีรสชาติหวานและหอมพิเศษ ผลมีไส้ขาว ผลโต เมื่อสุกจะเป็นสีเหลืองนวลคล้ายมีแป้งเคลือบ เหมาะสำหรับการบริโภคสดและแปรรูป เช่น กล้วยตาก

    Amarin TV

  • พันธุ์ปากช่อง 50: เป็นพันธุ์ลูกผสมที่ได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์จากสถานีวิจัยปากช่อง มีคุณภาพดีและได้รับความนิยมในตลาด

    technologychaoban.com

  • พันธุ์สุโขทัย 1: เป็นพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตสูง ผลกลมป้อม ใหญ่ยาว เนื้อละเอียดเหนียว รสชาติหวานไม่อมเปรี้ยว

    สำนักงานการประกันคุณภาพการศึกษา

2. อายุของการออกดอกและระยะเวลาจนกว่าเครือจะพร้อมตัด

กล้วยน้ำว้าจะเริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 8-10 เดือน และหลังจากออกดอกแล้ว จะใช้เวลาประมาณ 14-16 สัปดาห์จนกว่าเครือจะพร้อมตัด

PHTNet

3. เดือนที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกล้วยน้ำว้า

การปลูกกล้วยน้ำว้าสามารถทำได้ตลอดปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงต้นฤดูฝน เนื่องจากดินมีความชุ่มชื้นเพียงพอ ซึ่งช่วยให้ต้นกล้วยเจริญเติบโตได้ดี

home.kapook.com

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

กล้วยน้ำว้าชอบดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5.5-6.5

home.kapook.com

5. เทคนิคในการปลูก บำรุง การใส่ปุ๋ย และการให้น้ำเพื่อให้ได้ผลดก ผิวสวย และรสชาติเป็นที่ต้องการของตลาด

  • การปลูก: ควรเลือกหน่อพันธุ์ที่แข็งแรง ปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดเพียงพอ และมีการระบายน้ำดี

  • การบำรุงและใส่ปุ๋ย: ในระยะแรก ควรให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เช่น ยูเรีย เดือนละครั้ง และเมื่อกล้วยเติบโต ควรเปลี่ยนเป็นปุ๋ยสูตร 15-15-15 และ 13-13-21 ตามลำดับ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและการออกผล

    AnyFlip

  • การให้น้ำ: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแล้ง แต่ต้องระวังไม่ให้น้ำขัง

  • การดูแลเพิ่มเติม: หลังจากกล้วยแทงปลี ควรตัดแต่งใบที่อาจเสียดสีกับเครือออก เพื่อป้องกันผิวลายและรักษาคุณภาพของผล

    thairath.co.th

6. ประเทศที่ไทยส่งออกกล้วยน้ำว้า เรียงตามปริมาณการส่งออก

ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับประเทศที่ไทยส่งออกกล้วยน้ำว้าเรียงตามปริมาณการส่งออกไม่ได้ระบุไว้ในแหล่งข้อมูลที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีการส่งออกกล้วยไปยังหลายประเทศ โดยกล้วยเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมบริโภคเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ

สำนักงานการประกันคุณภาพการศึกษา

 กล้วยไข่ 

กล้วยไข่

กล้วยไข่เป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ผมขอให้ข้อมูลตามคำถามของคุณดังนี้ครับ:

1. พันธุ์กล้วยไข่ในประเทศไทยและความนิยมของตลาดผู้บริโภค

ในประเทศไทยมีพันธุ์กล้วยไข่ที่ได้รับความนิยมหลัก ๆ ดังนี้:

  • พันธุ์กำแพงเพชร: เป็นพันธุ์ที่มีลักษณะโดดเด่น ผิวเปลือกบาง ผลเล็ก เนื้อมีสีเหลือง รสชาติหวาน และมีกลิ่นหอม ได้รับการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2560

    oae.go.th

  • พันธุ์เกษตรศาสตร์ 2: เป็นพันธุ์ที่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีขึ้นและทนต่อโรค

    KUKR Library

2. อายุของการออกดอกและระยะเวลาจนกว่าเครือจะพร้อมตัด

กล้วยไข่จะเริ่มออกดอกเมื่ออายุประมาณ 8-10 เดือน หลังจากตัดปลีแล้วประมาณ 35-45 วัน กล้วยไข่จะแก่พร้อมที่จะตัดได้ สำหรับกล้วยไข่ที่ส่งออกจะตัดที่ระยะความสุกแก่ประมาณ 65-70% ขณะที่กล้วยไข่ที่บริโภคภายในประเทศจะตัดที่ระยะความสุกแก่ประมาณ 90-95%

SVP Pijit

3. เดือนที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกล้วยไข่

การปลูกกล้วยไข่สามารถทำได้ตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงต้นฤดูฝน เนื่องจากดินมีความชุ่มชื้นเพียงพอ ซึ่งช่วยให้ต้นกล้วยเจริญเติบโตได้ดี

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

กล้วยไข่ชอบดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5.5-6.5

5. เทคนิคในการปลูก บำรุง การใส่ปุ๋ย และการให้น้ำเพื่อให้ได้ผลดก ผิวสวย และรสชาติเป็นที่ต้องการของตลาด

  • การปลูก: ควรเลือกหน่อพันธุ์ที่แข็งแรง ปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดเพียงพอ และมีการระบายน้ำดี

  • การบำรุงและใส่ปุ๋ย: ในระยะแรก ควรให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เช่น ยูเรีย เดือนละครั้ง และเมื่อกล้วยเติบโต ควรเปลี่ยนเป็นปุ๋ยสูตร 15-15-15 และ 13-13-21 ตามลำดับ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและการออกผล

  • การให้น้ำ: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแล้ง แต่ต้องระวังไม่ให้น้ำขัง

  • การดูแลเพิ่มเติม: หลังจากกล้วยแทงปลี ควรตัดแต่งใบที่อาจเสียดสีกับเครือออก เพื่อป้องกันผิวลายและรักษาคุณภาพของผล

6. ประเทศที่ไทยส่งออกกล้วยไข่ เรียงตามปริมาณการส่งออก

จากข้อมูลของกรมศุลกากร ปี 2564 ไทยส่งออกกล้วยไข่ปริมาณ 8,168 ตัน มูลค่า 211 ล้านบาท โดยประเทศส่งออกที่สำคัญ ได้แก่:

  1. สาธารณรัฐประชาชนจีน: เป็นตลาดส่งออกหลักของกล้วยไข่ไทย

    oae.go.th

  2. ฮ่องกง: มีการสั่งซื้อกล้วยไข่ไทยอย่างต่อเนื่อง

    สำนักงานการประกันคุณภาพการศึกษา

  3. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว: เป็นอีกหนึ่งประเทศที่นำเข้ากล้วยไข่จากไทย

    oae.go.th

 ข้อมูลเกี่ยวกับกล้วย จาก Web kasettambon.com 

3.) มะม่วง รวม 7 คลิป มีคลิปอีกมากกำลังจะค้นหามาเพิ่ม ครับ 

มะม่วง

1. พันธุ์มะม่วงไทยที่มีชื่อเสียงและความนิยมของตลาดผู้บริโภค

ในประเทศไทยมีมะม่วงหลากหลายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูง ทั้งสำหรับบริโภคสดและแปรรูป โดยเรียงตามความนิยมในตลาด ได้แก่:

มะม่วงกินดิบ (เปรี้ยว/มัน)

  1. เขียวเสวย – เนื้อแน่น กรอบ หวานมัน นิยมกินดิบ

  2. ฟ้าลั่น – กรอบ เนื้อแน่น เปรี้ยวกำลังดี

  3. แก้ว – เนื้อกรอบ เปรี้ยว นิยมใช้จิ้มน้ำปลาหวาน

  4. โชคอนันต์ – เนื้อกรอบ รสหวานมัน ให้ผลผลิตดก

มะม่วงสุก (หวาน)

  1. น้ำดอกไม้ – รสหวาน หอม ผิวเนียน สีเหลืองทอง นิยมส่งออก

  2. อกร่อง – กลิ่นหอม หวาน มัน นิยมใช้ทำข้าวเหนียวมะม่วง

  3. มหาชนก – หวานอมเปรี้ยว ผิวสีแดงสวย นิยมกินสดและแปรรูป

  4. สามปี – หวาน มีกลิ่นหอม เนื้อแน่น

มะม่วงเพื่อแปรรูป

  1. แรด – รสเปรี้ยวจัด นิยมใช้ทำมะม่วงกวน ดอง แช่อิ่ม

  2. แก้วขมิ้น – เนื้อแน่น เปรี้ยวกำลังดี เหมาะสำหรับดอง

  3. หนองแซง – เนื้อแน่น เปรี้ยวจัด ใช้ทำแยม น้ำมะม่วง

2. อายุของการออกดอกและระยะเวลาจนกว่าจะเก็บเกี่ยว

  • การปลูกจากเมล็ด: ใช้เวลา 5-8 ปี จึงจะเริ่มออกดอกและติดผล

  • การปลูกจากกิ่งตอน/เสียบยอด/ติดตา: ใช้เวลา 2-3 ปี จะเริ่มออกดอกและติดผล

  • ระยะเวลาจากออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยว: ประมาณ 90-120 วัน แล้วแต่ว่าปลูกพันธุ์ไหน

3. เดือนที่เหมาะสมสำหรับการปลูกมะม่วง

  • มะม่วงสามารถปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือ ช่วงต้นฤดูฝน (พฤษภาคม-กรกฎาคม) เพราะดินชุ่มชื้น ต้นกล้าตั้งตัวได้ดี

  • หากปลูกหน้าแล้ง ควรมีระบบน้ำที่ดี เพราะมะม่วงต้องการน้ำมากในช่วงแรก

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

  • มะม่วงเติบโตได้ดีใน ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุย

  • ค่า pH ควรอยู่ระหว่าง 5.5-7.0

  • ดินต้องระบายน้ำดี เพราะมะม่วงไม่ชอบน้ำขัง

5. เทคนิคการปลูก บำรุง การใส่ปุ๋ย และการให้น้ำ

การปลูก

  • เว้นระยะห่าง 6-8 เมตร ต่อต้น เพื่อให้รากขยายตัวได้ดี

  • ขุดหลุมลึก 50x50x50 ซม. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก

การบำรุงและให้ปุ๋ย

  • ช่วงต้นเล็ก (0-1 ปี): ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ทุก 2 เดือน

  • ช่วงก่อนออกดอก (1-3 ปี): ให้ปุ๋ย 8-24-24 เพื่อเร่งการออกดอก

  • ช่วงติดผล: ใช้ 13-13-21 หรือ ปุ๋ยอินทรีย์ผสมโพแทสเซียม เพื่อให้ผลดกและมีรสหวาน

การให้น้ำ

  • รดน้ำ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ในช่วงปีแรก

  • เมื่อต้นโต ควร งดน้ำก่อนออกดอก 1-2 เดือน เพื่อกระตุ้นการออกดอก

  • หลังจากติดผลแล้วให้กลับมารดน้ำปกติ

6. ประเทศที่ไทยส่งออกมะม่วง เรียงตามปริมาณการส่งออก

จากข้อมูลกรมศุลกากร ประเทศไทยส่งออกมะม่วงไปหลายประเทศ โดยประเทศนำเข้าสูงสุด ได้แก่:

  1. จีน – ตลาดใหญ่ที่สุด นิยมมะม่วงน้ำดอกไม้สีทอง

  2. ญี่ปุ่น – นำเข้ามะม่วงน้ำดอกไม้ และอกร่องมากขึ้นทุกปี

  3. เกาหลีใต้ – ชอบมะม่วงหวานและมีสีสวย

  4. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) – ตลาดใหม่ที่นิยมมะม่วงพรีเมียม

  5. ยุโรป (ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อังกฤษ) – นิยมมะม่วงสุกพร้อมทาน

  6. อินเดีย – นำเข้าเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมแปรรูป เช่น น้ำมะม่วง

 ข้อมูลเกี่ยวโรคและแมลงศัตรูมะม่วง จาก Web kasettambon.com 

4.) ทุเรียน รวม 33 คลิป  

ทุเรียน

4.) เทคนิคการเลือกซื้อต้นทุเรียนไปปลูก และแนะนำวิธีตัดรากขดทุเรียน

1. พันธุ์ทุเรียนไทยที่มีชื่อเสียง และความนิยมของตลาด

ประเทศไทยมีทุเรียนหลายสายพันธุ์ แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่:

ทุเรียนยอดนิยมในตลาดไทยและต่างประเทศ

  1. หมอนทอง – เนื้อสีเหลืองทอง หวานมัน เมล็ดลีบ เป็นพันธุ์ที่นิยมส่งออกมากที่สุด

  2. ชะนี – เนื้อละเอียด กลิ่นหอมจัด รสหวานมัน อมขมเล็กน้อย

  3. กระดุมทอง – ผลเล็ก เนื้อนุ่ม หวาน มัน กรอบเล็กน้อย

  4. พวงมณี – เนื้อละเอียด หอม รสหวาน สีเหลืองเข้มกว่าหมอนทอง

  5. ก้านยาว – เนื้อแน่น เมล็ดเล็ก หวานมัน หอม นิยมในกลุ่มผู้ชอบรสชาติเข้มข้น

ทุเรียนหายาก และมีชื่อเสียงเฉพาะถิ่น

  1. หลงลับแล – เนื้อแน่น หวานมัน กลิ่นไม่ฉุนมาก นิยมในตลาดพรีเมียม

  2. หลินลับแล – คล้ายหลงลับแล แต่ลูกใหญ่กว่า เนื้อเยอะ

  3. นนท์ (ทุเรียนนนท์) – มีหลายสายพันธุ์ย่อย เช่น กบชายน้ำ กบก้านยาว รสชาติดีที่สุด แต่มีราคาสูง

  4. ป่าละอู – ทุเรียนพื้นเมืองของเพชรบุรี กลิ่นหอม รสชาติหวานเข้ม

  5. ภูเขาไฟ (ศรีสะเกษ) – เนื้อแน่น หวานมัน กลิ่นไม่ฉุนมาก นิยมในตลาดญี่ปุ่น

2. อายุของการออกดอก และระยะเวลาจนถึงการเก็บเกี่ยว

  • การปลูกจากเมล็ด: ใช้เวลา 7-10 ปี กว่าจะเริ่มติดผล

  • การปลูกจากกิ่งตอน / เสียบยอด / ติดตา: ใช้เวลา 3-5 ปี ก็เริ่มออกผล

  • ระยะเวลาจากออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยว: ประมาณ 100-120 วัน (ขึ้นอยู่กับพันธุ์)

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับปลูกทุเรียน

  • ช่วงที่ดีที่สุด: ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม-กรกฎาคม) เพราะดินชุ่มชื้น ต้นกล้าตั้งตัวได้ดี

  • หลีกเลี่ยงการปลูกช่วงหน้าแล้ง เว้นแต่มีระบบน้ำที่ดี

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

  • ดินควรเป็น ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุย

  • ค่า pH ที่เหมาะสม: 5.5-6.5

  • ควรปลูกในที่ดินมีการระบายน้ำดี เพราะรากทุเรียนไม่ทนต่อสภาพน้ำขัง

5. เทคนิคการปลูก บำรุง การใส่ปุ๋ย และการให้น้ำ

การปลูก

  • เว้นระยะห่าง 8-10 เมตร ต่อต้น เพื่อให้ต้นได้รับแสงและลมที่เหมาะสม

  • ขุดหลุมลึก 50-60 ซม. รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกและดินร่วน

การให้ปุ๋ย

  • ปีที่ 1-2: ใช้ปุ๋ย 15-15-15 หรือ 16-16-16 ทุก 2 เดือน

  • ช่วงก่อนออกดอก (ปีที่ 3-5): ให้ปุ๋ย 8-24-24 เพื่อเร่งการออกดอก

  • ช่วงติดผล: ใช้ 13-13-21 หรือปุ๋ยโพแทสเซียมสูง เพื่อให้ผลดก เนื้อแน่น และรสชาติดี

การให้น้ำ

  • ช่วงแรกต้องรดน้ำให้สม่ำเสมอ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์

  • ก่อนออกดอก ควรงดน้ำ 2-3 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นการออกดอก

  • หลังจากติดผลแล้ว ให้กลับมารดน้ำปกติ แต่ไม่ควรให้น้ำมากเกินไป

6. ประเทศที่ไทยส่งออกทุเรียน เรียงตามปริมาณการส่งออก

จากข้อมูลกรมศุลกากร ประเทศไทยส่งออกทุเรียนไปหลายประเทศ โดยประเทศที่นำเข้ามากที่สุด ได้แก่:

  1. จีน – นำเข้าทุเรียนไทยมากที่สุด โดยเฉพาะพันธุ์หมอนทอง

  2. เวียดนาม – ตลาดใหญ่ที่กำลังเติบโต

  3. ฮ่องกง – นิยมทุเรียนพรีเมียม เช่น ก้านยาว นนท์

  4. มาเลเซีย – นำเข้าเพื่อแปรรูป เช่น ทำทุเรียนแช่แข็ง

  5. สิงคโปร์ – ตลาดเล็กแต่มีความต้องการสูง

  6. อินโดนีเซีย – นิยมพันธุ์หมอนทองและชะนี

  7. ญี่ปุ่น – ต้องการทุเรียนคุณภาพสูง นิยมพันธุ์ภูเขาไฟและพวงมณี

  8. เกาหลีใต้ – ตลาดใหม่ที่กำลังเติบโต

  9. สหรัฐอเมริกา – คนไทยและเอเชียในอเมริกานิยมบริโภคมากขึ้น

  10. ยุโรป (ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อังกฤษ) – นิยมทุเรียนแปรรูป เช่น ทุเรียนอบแห้ง

สรุป:

  • หมอนทอง เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด และไทยส่งออกมากที่สุด

  • ทุเรียนต้องการดินร่วนปนทราย ค่า pH 5.5-6.5

  • ปลูกได้ดีที่สุดในช่วงพฤษภาคม-กรกฎาคม

  • การจัดการน้ำและปุ๋ยที่เหมาะสมช่วยให้ผลดกและรสชาติดี

  • จีนเป็นตลาดหลักในการส่งออก และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

 ข้อมูลเกี่ยวกับทุเรียน จาก Web kasettambon.com 

องุ่น

5.) องุ่น รวม 8 คลิป มีคลิปอีกมากกำลังจะค้นหามาเพิ่ม ครับ 

ข้อมูลเกี่ยวกับ องุ่นในไทย และ พันธุ์องุ่นต่างประเทศที่เหมาะสมกับการปลูกในไทย

1. พันธุ์องุ่นที่มีชื่อเสียงในไทย และความนิยมในตลาด

องุ่นที่นิยมปลูกในไทยมีทั้งองุ่นรับประทานสดและองุ่นสำหรับทำไวน์ โดยเรียงตามความนิยมของตลาดดังนี้

องุ่นรับประทานสด

  1. องุ่นไร้เมล็ด (Seedless Grapes) – เป็นที่นิยมมากเพราะกินง่าย เช่น

    • พันธุ์แบล็คโอปอล (Black Opal) – เปลือกสีม่วงเข้ม หวาน

    • พันธุ์แดงคริมสัน (Red Crimson) – เปลือกแดงเข้ม หวาน กรอบ

    • พันธุ์ทอมป์สันซีดเลส (Thompson Seedless) – เปลือกเหลืองทอง หวานฉ่ำ

  2. พันธุ์ไวท์มะละกา (White Malaga) – เปลือกเขียวอมเหลือง เมล็ดน้อย กรอบ

  3. พันธุ์บิวตี้ซีดเลส (Beauty Seedless) – เปลือกดำม่วง หวาน

  4. พันธุ์รูบี้ซีดเลส (Ruby Seedless) – เปลือกแดงอมม่วง หวานอมเปรี้ยว

องุ่นสำหรับทำไวน์

  1. พันธุ์ชีราซ (Shiraz) – ไวน์แดง รสเข้ม

  2. พันธุ์เชอแนง บลองก์ (Chenin Blanc) – ไวน์ขาว รสเปรี้ยวอมหวาน

  3. พันธุ์คาร์เบอร์เนต์ โซวีญง (Cabernet Sauvignon) – ไวน์แดง คุณภาพสูง

  4. พันธุ์เมอร์ลอต (Merlot) – ไวน์แดง กลิ่นหอม

2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • ปลูกจากเมล็ด: ใช้เวลา 3-4 ปี กว่าจะออกดอกและให้ผล

  • ปลูกจากกิ่งตอน/ติดตา: ใช้เวลา 1.5-2 ปี ออกดอกและให้ผล

  • หลังติดผล ใช้เวลา 90-120 วัน จึงสุกพร้อมเก็บ

3. ฤดูที่เหมาะแก่การปลูกองุ่น

  • ภาคกลาง/ภาคตะวันออก: ควรปลูกช่วงต้นฝน (พฤษภาคม-มิถุนายน)

  • ภาคเหนือ/ภาคอีสาน: ปลูกช่วงปลายฝน (กันยายน-ตุลาคม)

  • ภาคใต้: ปลูกได้ตลอดปี แต่ต้องระวังฝนชุก

4. คุณภาพดิน และค่า pH ที่เหมาะสม

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุย ระบายน้ำดี

  • ค่า pH ที่เหมาะสม 5.5 - 6.5

  • ต้องการแดดเต็มวัน

5. เทคนิคการปลูก บำรุง และกำจัดแมลงแบบปลอดสารพิษ

การปลูกและบำรุง

✅ เว้นระยะห่างต้น 2-3 เมตร ให้แสงแดดถึงทุกต้น
✅ พรวนดินเดือนละ 1 ครั้ง เพิ่มอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยหมัก
✅ ใช้ปุ๋ย สูตร 15-15-15 ทุก 15 วัน ในช่วงเจริญเติบโต
✅ ใช้ปุ๋ย สูตร 8-24-24 ก่อนออกดอก

การกำจัดแมลงแบบปลอดสารพิษ

✅ ใช้น้ำสกัดสมุนไพร เช่น สะเดา ตะไคร้หอม บอระเพ็ด
✅ ปลูกพืชไล่แมลง เช่น ดาวเรือง กระเพรา โหระพา

6. ประเทศที่ไทยส่งออกองุ่นมากที่สุด (เรียงตามปริมาณส่งออก)

  1. จีน – ตลาดใหญ่ที่สุด นำเข้าองุ่นสดและแปรรูป

  2. มาเลเซีย – นิยมองุ่นไร้เมล็ด

  3. สิงคโปร์ – ตลาดพรีเมียม ต้องการองุ่นคุณภาพสูง

  4. ญี่ปุ่น – นิยมองุ่นสด รสหวาน

  5. เวียดนาม – นำเข้าทั้งองุ่นสดและองุ่นแปรรูป

7. พันธุ์องุ่นต่างประเทศที่เหมาะกับการปลูกในไทย

✅ พันธุ์ทอมป์สันซีดเลส (Thompson Seedless) – ทนร้อน ปลูกง่าย
✅ พันธุ์แบล็คโอปอล (Black Opal) – ผิวสวย หวาน
✅ พันธุ์รูบี้ซีดเลส (Ruby Seedless) – ปลูกง่าย ให้ผลผลิตสูง
✅ พันธุ์ชีราซ (Shiraz) – เหมาะกับการทำไวน์ในไทย
✅ พันธุ์เชอแนง บลองก์ (Chenin Blanc) – ไวน์ขาวคุณภาพสูง

📌 ข้อแนะนำ:

  • องุ่นต่างประเทศต้องปลูกในดินที่ระบายน้ำดี ควรมีความชื้น 60-70%

  • ควบคุมแสงแดด วันละ 6-8 ชั่วโมง

สรุป:
องุ่นไทยมีหลายพันธุ์ที่ได้รับความนิยม โดยพันธุ์ไร้เมล็ดเป็นที่ต้องการมากที่สุด การปลูกองุ่นให้ได้คุณภาพต้องคำนึงถึงดิน การให้น้ำ และการกำจัดศัตรูพืชอย่างปลอดสารพิษ ประเทศที่ไทยส่งออกมากที่สุดคือ จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเวียดนาม ส่วนพันธุ์ต่างประเทศที่เหมาะกับการปลูกในไทยคือ Thompson Seedless, Black Opal, Ruby Seedless, Shiraz และ Chenin Blanc

 ข้อมูลเกี่ยวกับองุ่น จาก Web kasettambon.com 

6.) ชมพู่ รวม 1 คลิป มีคลิปอีกมากกำลังจะค้นหามาเพิ่ม ครับ 

ชมพู่

ข้อมูลเกี่ยวกับ ชมพู่ ผลไม้ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยครับ 🍎

1. ชมพู่พันธุ์ที่มีชื่อเสียงในไทย และความนิยมของตลาดผู้บริโภค

ในประเทศไทย มีชมพู่หลายสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค โดยเรียงตามความนิยมดังนี้:

  1. ชมพู่ทับทิมจันทร์: ผลสีแดงเข้ม รสชาติหวานกรอบ ฉ่ำน้ำ เป็นที่ต้องการสูงในตลาด

    facebook.com

  2. ชมพู่เพชรสามพราน: ผิวมัน เขียวอมชมพู รสหวานกรอบ

    facebook.com

  3. ชมพู่เพชรสุวรรณ: ผลใหญ่ สีสวย รสชาติหวานกรอบ

    rakbankerd.com

  4. ชมพู่ทูลเกล้า: ผลสีเขียวอ่อน รสชาติหวาน กรอบ

    rakbankerd.com

  5. ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน: ผลใหญ่ น้ำหนักเฉลี่ย 400-600 กรัม รสหวาน ไม่มีเมล็ด

    thairath.co.th

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูก และระยะเวลาจนกว่าจะสุกพร้อมเก็บ

  • การปลูกโดยเพาะเมล็ด: ใช้เวลา 3-4 ปี จึงจะออกดอกและให้ผลผลิต

  • การปลูกโดยการต่อกิ่ง การตอน หรือการติดตา: ใช้เวลา 1-2 ปี จึงจะออกดอกและให้ผลผลิต

  • หลังจากติดผลแล้ว ใช้เวลา 2-3 เดือน ผลจึงจะสุกพร้อมเก็บเกี่ยว

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูกชมพู่

การปลูกชมพู่สามารถทำได้ตลอดปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม-มิถุนายน) เนื่องจากมีความชื้นและน้ำเพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของต้นอ่อน

4. คุณภาพดิน และค่า pH ที่เหมาะสม

  • ดิน: ควรเป็นดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียว ที่มีการระบายน้ำดี

  • ค่า pH: เหมาะสมอยู่ระหว่าง 6.5-7.0

    esc.doae.go.th

5. เทคนิคในการปลูก บำรุง การใส่ปุ๋ย การกำจัดแมลงโดยไม่ใช้สารพิษ และการให้น้ำ เพื่อให้มีผลดก ผิวสวย และรสชาติเป็นที่ต้องการของตลาด

การปลูกและบำรุงรักษา:

  • การเตรียมดิน: ขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 ซม. ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองก้นหลุม

  • การให้น้ำ: รดน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแล้ง แต่ควรระวังไม่ให้น้ำขัง

  • การใส่ปุ๋ย: ใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอก เพื่อบำรุงดินและต้นชมพู่

การกำจัดแมลงโดยไม่ใช้สารพิษ:

  • การใช้สารสกัดธรรมชาติ: เช่น สารสกัดจากสะเดา หรือตะไคร้หอม ฉีดพ่นเพื่อป้องกันแมลง

  • การห่อผล: เมื่อผลเริ่มโต ควรห่อผลด้วยถุงกระดาษหรือถุงตาข่าย เพื่อป้องกันแมลงและทำให้ผิวผลสวยงาม

    rakbankerd.com

6. ประเทศที่ไทยส่งออกชมพู่ เรียงตามปริมาณการส่งออก

ข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับประเทศที่ไทยส่งออกชมพู่และปริมาณการส่งออกยังไม่มีการเผยแพร่อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ชมพู่ไทยได้รับความสนใจจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชีย เช่น จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งมีความต้องการผลไม้ไทยคุณภาพสูง

สรุป: การปลูกชมพู่ในไทยมีความหลากหลายของสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยม การดูแลรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ

 ข้อมูลเกี่ยวกับชมพู่ จาก Web kasettambon.com 

7.) ลำไย รวม 4 คลิป มีคลิปอีกมากกำลังจะค้นหามาเพิ่ม ครับ  

ลำไย

ลำไย ผลไม้ไทย

1.) ลำไยที่มีในไทยที่มีชื่อเสียง และความนิยมของตลาด

ลำไยไทยมีหลายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในตลาด โดยเรียงลำดับตามความนิยมได้ดังนี้

พันธุ์ลำไยที่นิยมในตลาดไทยและต่างประเทศ

  1. ลำไยพันธุ์อีดอ – ผลใหญ่ เนื้อหนา เมล็ดเล็ก รสชาติหวาน เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกมากที่สุด

  2. ลำไยพันธุ์เบี้ยวเขียว – ผลขนาดกลาง รสชาติหวานอมเปรี้ยว เนื้อกรอบ

  3. ลำไยพันธุ์สีชมพู – ผลสีอมชมพู รสหวานจัด เนื้อนุ่ม

  4. ลำไยพันธุ์กะโหลก – ผลขนาดใหญ่ เนื้อหนา เมล็ดเล็ก

  5. ลำไยพันธุ์พวงทอง – ให้ผลผลิตเป็นพวงใหญ่ รสหวาน แต่เนื้ออาจไม่หนาเท่าพันธุ์อีดอ

2.) อายุของการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

  • หากปลูกจาก เมล็ด ใช้เวลาประมาณ 5-7 ปี จึงจะเริ่มออกดอก

  • หากปลูกจาก การตอนกิ่ง/เสียบยอด/ติดตา ใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี จึงเริ่มออกดอก

  • ลำไยเริ่มออกดอกช่วง พฤศจิกายน-มกราคม และสามารถเก็บเกี่ยวได้ในช่วง มิถุนายน-สิงหาคม

3.) ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปลูกลำไย

  • ช่วงที่ดีที่สุดคือ ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม-กรกฎาคม) เพื่อให้ต้นได้รับน้ำเพียงพอในช่วงแรกของการเจริญเติบโต

4.) คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

  • ดินร่วนปนทรายหรือดินร่วนเหนียวที่ระบายน้ำดี

  • ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ที่ 5.5-6.5

  • ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีน้ำขัง

5.) เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

การปลูก:

  • ขุดหลุมลึก 50x50x50 ซม. และใส่ปุ๋ยคอก/ปุ๋ยหมักรองก้นหลุม

  • ระยะปลูกที่เหมาะสม 6x6 เมตร หรือ 8x8 เมตร ขึ้นอยู่กับพันธุ์

การใส่ปุ๋ย:

  • ระยะเจริญเติบโต: ใส่ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ทุก 2-3 เดือน

  • ระยะกระตุ้นดอก: ใส่ ปุ๋ยสูตร 8-24-24 หรือ 12-24-12 เพื่อช่วยสะสมอาหาร

  • ระยะติดผล: ใส่ ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เพื่อเพิ่มคุณภาพผล

การให้น้ำ:

  • ช่วงแรกควรรดน้ำทุกวันให้ดินชุ่ม

  • เมื่อต้นโตแล้ว รดน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

  • หยุดให้น้ำ 2-3 เดือน ก่อนออกดอก และให้น้ำอีกครั้งเมื่อดอกเริ่มบาน

การกำจัดแมลงโดยไม่ใช้สารพิษ:

  • ใช้สารชีวภาพ เช่น บิวเวอเรีย และ เมตาไรเซียม

  • ปลูกพืชไล่แมลง เช่น ดาวเรือง และ โหระพา รอบแปลงลำไย

  • ใช้กับดักแสงไฟล่อแมลงศัตรูพืช

6.) ประเทศที่ไทยส่งออกลำไย และลำดับตามปริมาณการส่งออก

5 อันดับแรกของประเทศที่ไทยส่งออกลำไยมากที่สุด

  1. จีน – เป็นตลาดส่งออกหลัก คิดเป็นกว่า 80% ของปริมาณการส่งออก

  2. เวียดนาม – นำเข้าลำไยจากไทยเพื่อบริโภคและส่งต่อไปยังจีน

  3. อินโดนีเซีย – มีความต้องการสูง โดยเฉพาะลำไยสด

  4. ฮ่องกง – ตลาดที่นิยมลำไยแห้งคุณภาพสูง

  5. สหรัฐอเมริกา – นิยมลำไยสดและลำไยอบแห้ง

 ข้อมูลเกี่ยวกับลำไยจาก Web kasettambon.com 

ลิ้นจี่

8.) ลิ้นจี่ รวม 10 คลิป  มีคลิปอีกมากกำลังจะค้นหามาเพิ่ม ครับ 

ข้อมูลเกี่ยวกับลิ้นจี่ ผลไม้ไทย

1.) ลิ้นจี่ที่มีในไทยที่มีชื่อเสียง และความนิยมของตลาด

ลิ้นจี่ไทยมีหลายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในตลาด โดยเรียงลำดับตามความนิยมได้ดังนี้

พันธุ์ลิ้นจี่ที่นิยมในตลาดไทยและต่างประเทศ

  1. พันธุ์ฮงฮวย – เป็นพันธุ์ยอดนิยม ผลสีแดงเข้ม เปลือกบาง เนื้อแน่น รสหวานอมเปรี้ยว หอม เมล็ดขนาดกลาง

  2. พันธุ์จักรพรรดิ – ผลใหญ่ เปลือกสีแดงอมชมพู เนื้อหวานกรอบ เมล็ดเล็ก เป็นพันธุ์ที่มีราคาสูง

  3. พันธุ์กิมเจ็ง – ผลสีแดงเข้ม เนื้อแน่นหวาน เมล็ดค่อนข้างเล็ก

  4. พันธุ์โอวเฮง – ผลขนาดกลาง เนื้อหนา เมล็ดเล็กมาก รสหวานจัด

  5. พันธุ์ค่อม – ผลขนาดกลางถึงใหญ่ เปลือกหนา สีอมแดง เนื้อกรอบ

2.) อายุของการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

  • หากปลูกจาก เมล็ด ใช้เวลาประมาณ 8-10 ปี กว่าจะเริ่มออกดอก

  • หากปลูกจาก การตอนกิ่ง/เสียบยอด/ติดตา ใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี กว่าจะออกดอก

  • ลิ้นจี่เริ่มออกดอกช่วง พฤศจิกายน-มกราคม และสามารถเก็บเกี่ยวได้ในช่วง มีนาคม-พฤษภาคม

3.) ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปลูกลิ้นจี่

  • ช่วงที่ดีที่สุดคือ ปลายฤดูฝน (กันยายน-ตุลาคม) เพื่อให้ต้นสามารถตั้งตัวก่อนฤดูแล้ง

4.) คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

  • ดินร่วนปนทรายหรือดินร่วนเหนียวที่ระบายน้ำดี

  • ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ที่ 5.5-6.5

  • ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีน้ำขัง

5.) เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

การปลูก:

  • ขุดหลุมลึก 50x50x50 ซม. และใส่ปุ๋ยคอก/ปุ๋ยหมักรองก้นหลุม

  • ระยะปลูกที่เหมาะสม 8x8 เมตร หรือ 10x10 เมตร ขึ้นอยู่กับพันธุ์

การใส่ปุ๋ย:

  • ระยะเจริญเติบโต: ใส่ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ทุก 3 เดือน

  • ระยะกระตุ้นดอก: ใส่ ปุ๋ยสูตร 8-24-24 หรือ 12-24-12

  • ระยะติดผล: ใส่ ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เพื่อเพิ่มคุณภาพผล

การให้น้ำ:

  • ช่วงแรกควรรดน้ำทุกวันให้ดินชุ่ม

  • เมื่อต้นโตแล้ว รดน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

  • หยุดให้น้ำ 2-3 เดือน ก่อนออกดอก และให้น้ำอีกครั้งเมื่อดอกเริ่มบาน

การกำจัดแมลงโดยไม่ใช้สารพิษ:

  • ใช้สารชีวภาพ เช่น บิวเวอเรีย และ เมตาไรเซียม

  • ปลูกพืชไล่แมลง เช่น ดาวเรือง และ โหระพา รอบแปลงลิ้นจี่

  • ใช้กับดักแสงไฟล่อแมลงศัตรูพืช

6.) ประเทศที่ไทยส่งออกลิ้นจี่ และลำดับตามปริมาณการส่งออก

5 อันดับแรกของประเทศที่ไทยส่งออกลิ้นจี่มากที่สุด

  1. จีน – เป็นตลาดส่งออกหลักของลิ้นจี่ไทย คิดเป็นกว่า 80% ของปริมาณการส่งออก

  2. เวียดนาม – นำเข้าลิ้นจี่จากไทยเพื่อบริโภคและส่งต่อไปยังประเทศอื่น

  3. อินโดนีเซีย – มีความต้องการสูง โดยเฉพาะลิ้นจี่สด

  4. ฮ่องกง – ตลาดที่นิยมลิ้นจี่แห้งคุณภาพสูง

  5. สหรัฐอเมริกา – นิยมลิ้นจี่สดและลิ้นจี่อบแห้ง

 ข้อมูลเกี่ยวกับลิ้นจี่จาก Web kasettambon.com 

ส้ม

9.) ส้ม รวม 3 คลิป 

ข้อมูลเกี่ยวกับส้ม ผลไม้ไทย

1.) ส้มที่มีชื่อเสียงในไทยและความนิยมของตลาด

ส้มที่ปลูกในประเทศไทยมีหลายสายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่

พันธุ์ส้มที่นิยมในตลาดไทยและต่างประเทศ

  1. ส้มเขียวหวาน – เป็นพันธุ์ที่นิยมมากที่สุด เนื้อฉ่ำ รสหวานอมเปรี้ยว เปลือกบาง ปอกง่าย

  2. ส้มสายน้ำผึ้ง – สายพันธุ์ย่อยของส้มเขียวหวาน มีรสหวานจัด เนื้อแน่น กลิ่นหอม

  3. ส้มโชกุน – ขนาดผลใหญ่กว่าส้มเขียวหวาน เปลือกหนากว่า หวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย

  4. ส้มบางมด – มีรสหวานจัด เนื้อแน่น เปลือกบาง นิยมปลูกในกรุงเทพฯ และปริมณฑล

  5. ส้มจี๊ด (ส้มปี๊ด) – มีรสเปรี้ยวจัด ใช้ปรุงอาหารและทำเครื่องดื่ม

  6. ส้มโอ – เป็นส้มผลใหญ่ รสชาติหวานอมเปรี้ยว มีหลายสายพันธุ์ เช่น ทับทิมสยาม ขาวน้ำผึ้ง ขาวแตงกวา

2.) อายุของการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

  • หากปลูกจาก เมล็ด ใช้เวลาประมาณ 4-5 ปี กว่าจะเริ่มออกดอกและให้ผล

  • หากปลูกจาก การตอนกิ่ง/เสียบยอด/ติดตา ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี กว่าจะเริ่มออกดอก

  • ระยะเวลาออกดอกถึงการเก็บเกี่ยวอยู่ที่ 6-8 เดือน

3.) ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปลูกส้ม

  • ช่วงที่ดีที่สุดคือ ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม-กรกฎาคม) เพื่อให้ต้นส้มเจริญเติบโตได้ดีและไม่ขาดน้ำในช่วงแรก

4.) คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

  • ดินร่วนปนทรายหรือดินร่วนเหนียวที่มีการระบายน้ำดี

  • ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ที่ 5.5-6.5

  • ควรปลูกในพื้นที่ที่มีแดดจัดและมีความชื้นพอเหมาะ

5.) เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

การปลูก:

  • ขุดหลุมลึก 50x50x50 ซม. และใส่ปุ๋ยคอก/ปุ๋ยหมักรองก้นหลุม

  • ระยะปลูกที่เหมาะสม 3x3 เมตร หรือ 4x4 เมตร

การใส่ปุ๋ย:

  • ระยะต้นอ่อน: ใช้ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ทุก 2-3 เดือน

  • ระยะก่อนออกดอก: ใช้ ปุ๋ยสูตร 8-24-24 หรือ 12-24-12

  • ระยะติดผล: ใช้ ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เพื่อเพิ่มความหวานและสีส้มสวย

การให้น้ำ:

  • รดน้ำสม่ำเสมอ วันเว้นวันในช่วงต้นอ่อน

  • ช่วงติดผลให้น้ำ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ผลโตและฉ่ำน้ำ

การกำจัดแมลงโดยไม่ใช้สารพิษ:

  • ใช้สารชีวภาพ เช่น บิวเวอเรีย และ เมตาไรเซียม

  • ปลูกพืชไล่แมลง เช่น ดาวเรือง โหระพา ตะไคร้ รอบแปลงส้ม

  • ใช้กับดักกาวดักแมลงวันทองซึ่งเป็นศัตรูหลักของส้ม

6.) ประเทศที่ไทยส่งออกส้ม และลำดับตามปริมาณการส่งออก

5 อันดับประเทศที่ไทยส่งออกส้มมากที่สุด

  1. จีน – เป็นตลาดส่งออกหลักของส้มไทย โดยเฉพาะส้มเขียวหวานและส้มโอ

  2. เวียดนาม – นำเข้าส้มจากไทยจำนวนมากเพื่อบริโภคภายในประเทศ

  3. อินโดนีเซีย – นิยมส้มไทยที่มีรสหวานและเปลือกบาง

  4. มาเลเซีย – ตลาดสำคัญของส้มโชกุนและส้มเขียวหวาน

  5. สิงคโปร์ – ส่งออกในรูปแบบส้มสดและน้ำส้มคั้น

10.) ละมุด รวม 35 คลิป 

ละมุด

ข้อมูลเกี่ยวกับละมุด ผลไม้ไทย

1.) พันธุ์ละมุดที่มีชื่อเสียงในไทย และความนิยมของตลาด

ละมุดที่ปลูกในประเทศไทยมีหลายสายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมาก ได้แก่

พันธุ์ละมุดยอดนิยมในตลาดไทยและส่งออก

  1. พันธุ์สีดา – รสหวาน เนื้อเนียนละเอียด กลิ่นหอม ปลูกง่าย ผลผลิตสูง

  2. พันธุ์มาเลย์ (กระสวยมาเลย์) – ผลยาวรี เปลือกบาง รสหวาน กลิ่นหอม นิยมส่งออก

  3. พันธุ์อินเดีย – ผลใหญ่ รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย เนื้อแน่น เหมาะกับการบริโภคสด

  4. พันธุ์ไข่ห่าน – ผลใหญ่กว่าพันธุ์อื่น เนื้อกรอบ รสหวานจัด

  5. พันธุ์นมสด – เนื้อนุ่มฉ่ำ หวานหอม เปลือกบาง นิยมปลูกเชิงพาณิชย์

  6. พันธุ์มะกอก (ละมุดมะกอก) – ผลทรงรียาว เปลือกหนา เนื้อแน่น หวานอมเปรี้ยว

2.) อายุของการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

  • ปลูกจากเมล็ด – ใช้เวลาประมาณ 5-7 ปี จึงเริ่มออกดอก

  • ปลูกจากการตอนกิ่ง/เสียบยอด/ติดตา – ใช้เวลาประมาณ 3-4 ปี จึงออกดอก

  • ระยะเวลาออกดอกถึงการเก็บเกี่ยวอยู่ที่ 6-7 เดือน

3.) ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปลูกละมุด

  • ช่วงปลายฤดูฝน (กันยายน-พฤศจิกายน) เป็นช่วงที่ดีที่สุด เนื่องจากต้นอ่อนจะได้รับน้ำเพียงพอและสามารถตั้งตัวได้ดี

4.) คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียวที่มีการระบายน้ำดี

  • ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ที่ 6.0-7.0

  • ควรปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดเต็มวัน

5.) เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

การปลูก:

  • ขุดหลุมลึก 50x50x50 ซม. และรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก

  • ระยะปลูกที่เหมาะสม 4x4 เมตร หรือ 5x5 เมตร

การใส่ปุ๋ย:

  • ช่วงต้นอ่อน: ใช้ ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ทุก 2-3 เดือน

  • ช่วงก่อนออกดอก: ใช้ ปุ๋ยสูตร 8-24-24 เพื่อกระตุ้นการออกดอก

  • ช่วงติดผล: ใช้ ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เพื่อเพิ่มรสหวานและทำให้เนื้อแน่น

การให้น้ำ:

  • ให้น้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงแล้ง 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

  • หยุดให้น้ำ 1 เดือนก่อนออกดอก เพื่อกระตุ้นการออกดอก

การกำจัดแมลงโดยไม่ใช้สารพิษ:

  • ใช้กับดักกาวดักแมลงวันทอง

  • ใช้ สารชีวภาพ เช่น บิวเวอเรีย และ เมตาไรเซียม กำจัดเพลี้ยและหนอน

  • ปลูกพืชสมุนไพรไล่แมลง เช่น ตะไคร้ ดาวเรือง โหระพา รอบแปลง

6.) ประเทศที่ไทยส่งออกละมุด และลำดับตามปริมาณการส่งออก

5 อันดับประเทศที่ไทยส่งออกละมุดมากที่สุด

  1. จีน – ตลาดหลักของละมุดไทย โดยเฉพาะพันธุ์สีดาและมาเลย์

  2. เวียดนาม – นิยมละมุดรสหวานจากไทย

  3. มาเลเซีย – นำเข้าละมุดสดจำนวนมาก

  4. สิงคโปร์ – ตลาดส่งออกละมุดพรีเมียม

  5. อินโดนีเซีย – นิยมละมุดพันธุ์สีดาและพันธุ์มาเลย์ 

11.)น้อยหน่า  รวม 2 คลิป 

น้อยหน่า

น้อยหน่าเป็นผลไม้ที่นิยมปลูกในไทยและมีศักยภาพในการส่งออก ข้อมูลที่คุณต้องการมีดังนี้:

1.) พันธุ์น้อยหน่าที่มีชื่อเสียงในไทย และความนิยมของตลาด

น้อยหน่าที่นิยมในไทยมีหลายพันธุ์ ได้แก่:

  • น้อยหน่าหนัง – เปลือกหนา ทนทาน ขนส่งง่าย ได้รับความนิยมสูงในตลาด

  • น้อยหน่าฝ้าย – เนื้อนุ่ม หวาน ละเอียด นิยมในหมู่ผู้บริโภคไทย

  • น้อยหน่าเพชรปากช่อง – พันธุ์พัฒนา เนื้อแน่น เมล็ดน้อย ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน

  • น้อยหน่าไร้เมล็ด – มีราคาแพง เป็นที่ต้องการของตลาดพรีเมียม

2.) อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • ปลูกจากเมล็ด: ใช้เวลา 3-5 ปีจึงออกผล

  • ปลูกจากกิ่งตอน/ติดตา: ใช้เวลา 1.5-2 ปีจึงออกผล

  • ระยะเวลาจากออกดอกถึงเก็บเกี่ยว: ประมาณ 3-4 เดือน

3.) ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • น้อยหน่าปลูกได้ทั้งปี แต่ช่วงที่ดีที่สุดคือ ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม-มิถุนายน) เพื่อให้ต้นเติบโตแข็งแรง

4.) คุณภาพดินและค่า pH

  • ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง

  • ค่า pH ที่เหมาะสมคือ 6.0-6.5 (ดินเป็นกรดอ่อนๆ)

5.) เทคนิคการปลูกและการดูแล

  • การให้ปุ๋ย: ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ + ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 และเสริมโพแทสเซียมช่วงติดผล

  • การให้น้ำ: ควรรดน้ำสม่ำเสมอ แต่ไม่ให้แฉะเกินไป

  • การกำจัดศัตรูพืชแบบปลอดสารพิษ: ใช้สารสกัดจากสะเดา และวิธีชีวภาพ เช่น เลี้ยงแตนเบียนกำจัดเพลี้ยแป้ง

  • กระตุ้นผลดกและคุณภาพดี: ควรตัดแต่งกิ่งและควบคุมจำนวนผลต่อต้น

6.) ประเทศที่ไทยส่งออกน้อยหน่า

  • จีน – ตลาดใหญ่สุด ความต้องการสูง

  • เวียดนาม – นิยมพันธุ์หวานและเนื้อละเอียด

  • ฮ่องกง – ตลาดพรีเมียม ต้องการผลใหญ่และคุณภาพดี

  • สิงคโปร์ – นำเข้าเพื่อบริโภคในตลาดคนไทยและจีน

  • สหรัฐอเมริกา – ตลาดใหม่ที่เริ่มเติบโต โดยเฉพาะในชุมชนคนเอเชีย

12.) ทับทิม รวม 1 คลิป 

ทับทิม

1. ทับทิมที่มีในไทยที่มีชื่อเสียง และความนิยมในตลาด

ทับทิมที่ปลูกในไทยมีหลายสายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่ได้รับความนิยมในตลาดแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ

✅ พันธุ์ทับทิมไทยยอดนิยม

  1. ทับทิมแดงสยาม → เนื้อสีแดงเข้ม รสหวานฉ่ำ เมล็ดนิ่ม ติดผลดก ขายดีในตลาดในประเทศและต่างประเทศ

  2. ทับทิมอินเดีย → เนื้อสีแดงสด เมล็ดเล็ก รสหวานอมเปรี้ยว นิยมปลูกเพื่อส่งออก

  3. ทับทิมอิสราเอล → เนื้อสีแดงอมชมพู หวาน กรอบ เมล็ดเล็ก นิยมปลูกเพื่อส่งออกตลาดพรีเมียม

  4. ทับทิมบังลาเทศ → เนื้อแดงอมชมพู รสหวานจัด เปลือกหนา เก็บได้นาน เหมาะกับการขนส่งระยะไกล

  5. ทับทิมโบราณ (พื้นเมือง) → เนื้อขาวอมชมพู รสหวานอมเปรี้ยว เปลือกหนา ทนทานต่อโรค

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

🌱 จากการเพาะเมล็ด

  • เริ่มออกดอกครั้งแรก: ประมาณ 2–3 ปี

  • เริ่มให้ผลผลิตเต็มที่: ประมาณ 3–4 ปี

🌿 จากการตอนกิ่ง/ติดตา/ต่อกิ่ง

  • เริ่มออกดอกครั้งแรก: ประมาณ 1.5–2 ปี

  • เริ่มให้ผลผลิตเต็มที่: ประมาณ 2–3 ปี

✅ ระยะเวลาตั้งแต่ออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยว:

  • ประมาณ 90–120 วัน (ประมาณ 3–4 เดือน)

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูกทับทิม

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสม:

  • ช่วงปลายฝน – ต้นหนาว (กันยายน – พฤศจิกายน)

  • ช่วงนี้ดินมีความชุ่มชื้นเพียงพอ อากาศเย็น ทำให้รากแข็งแรงและติดดอกง่าย

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย หรือ ดินร่วนซุย ระบายน้ำดี

  • อินทรียวัตถุสูง มีแร่ธาตุเพียงพอ

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • อยู่ในช่วง 6.0 – 7.0

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดิน

  • ขุดหลุมขนาด 50 × 50 × 50 ซม.

  • รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก + ปุ๋ยหมัก

  • ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 3–4 เมตร

💧 การให้น้ำ

  • ช่วงแรกหลังปลูก → ให้น้ำทุกวัน เช้า–เย็น

  • ช่วงออกดอก → ลดการให้น้ำเหลือวันเว้นวัน เพื่อกระตุ้นการติดดอก

  • ช่วงติดผล → ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผลเติบโตเต็มที่

🍀 การใส่ปุ๋ย (ปลอดสารเคมี)

  • ช่วงเริ่มปลูก: ใส่ปุ๋ยคอก + ปุ๋ยหมัก ทุก 15 วัน

  • ช่วงติดดอก: ปุ๋ยสูตร 12-24-12 หรือ 15-30-15

  • ช่วงติดผล: ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เพื่อเพิ่มขนาดและรสชาติ

  • เสริมธาตุรอง: ฉีดพ่นด้วยน้ำหมักชีวภาพ เช่น น้ำหมักปลา หรือน้ำหมักผลไม้

🐛 การป้องกันและกำจัดแมลงและเชื้อราแบบธรรมชาติ

✅ ศัตรูพืชที่พบบ่อย:

  • เพลี้ยแป้ง → ใช้สารสกัดจากสะเดาหรือกระเทียม

  • หนอนเจาะผล → ใช้น้ำส้มควันไม้ฉีดพ่น

  • โรคแอนแทรคโนส → ใช้น้ำหมักชีวภาพจากสมุนไพร เช่น ข่า ตะไคร้

  • แมลงวันทอง → ห่อผลด้วยถุงตาข่าย

6. ช่วงเวลาออกดอกของทับทิมในรอบปี

✅ ทับทิมจะออกดอกในช่วง:

  • กุมภาพันธ์ – เมษายน (ฤดูร้อน)

  • หลังจากออกดอก ใช้เวลาประมาณ 90–120 วัน ในการพัฒนาเป็นผลพร้อมเก็บ

7. วิธีเร่งให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เทคนิคเร่งดอกและเร่งผลผลิต:

  1. งดให้น้ำ → งดน้ำประมาณ 7–10 วัน เพื่อกระตุ้นให้ต้นออกดอกเร็วขึ้น

  2. เพิ่มแสงแดด → ทับทิมชอบแดดจัด ควรให้แสงแดดวันละ 6–8 ชั่วโมง

  3. ตัดแต่งกิ่ง → ตัดแต่งกิ่งหลังเก็บเกี่ยวเพื่อกระตุ้นการแตกยอดใหม่

  4. เพิ่มโพแทสเซียม → เสริมด้วยปุ๋ยสูตร 13-13-21 เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของผล

8. ประเทศที่ไทยส่งออกทับทิมมากที่สุด (เรียงตามปริมาณ)

✅ ประเทศที่นำเข้าทับทิมจากไทยมากที่สุด ได้แก่:

  1. จีน → ตลาดหลักสำหรับทับทิมพันธุ์แดงสยามและพันธุ์อินเดีย

  2. มาเลเซีย → ตลาดที่นิยมทับทิมพันธุ์หวาน

  3. สิงคโปร์ → ตลาดพรีเมียมที่ต้องการทับทิมสีแดงสด

  4. เวียดนาม → นิยมทับทิมพันธุ์แดงสยาม

  5. อินโดนีเซีย → ต้องการทับทิมพันธุ์อินเดียและทับทิมบังลาเทศ

  6. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) → นิยมทับทิมแดงและทับทิมอิสราเอล

  7. ฮ่องกง → ตลาดพรีเมียมที่ต้องการทับทิมขนาดใหญ่

✅ สรุปจุดเด่นของทับทิมไทยที่ทำให้ตลาดต่างประเทศต้องการ

  • รสชาติหวาน ฉ่ำ กรอบ

  • สีแดงสด สวยงาม

  • เปลือกบาง เนื้อมาก เมล็ดเล็ก

  • การขนส่งง่าย ทนทานต่อสภาพอากาศ

  • การผลิตแบบอินทรีย์ (Organic) กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก

13.) เงาะ รวม 14 คลิป 

เงาะ

1. เงาะที่มีในไทยที่มีชื่อเสียง และความนิยมในตลาด

เงาะที่ปลูกในไทยมีหลายสายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่ได้รับความนิยมในตลาดแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ
✅ เงาะพันธุ์หวาน – เนื้อหวาน กรอบ ฉ่ำน้ำ เปลือกบาง
✅ เงาะพันธุ์เปรี้ยว – รสหวานอมเปรี้ยว ทนทานต่อการขนส่ง

พันธุ์เงาะที่นิยมในตลาดไทยและต่างประเทศ

  1. เงาะโรงเรียน → เนื้อหวาน กรอบ ฉ่ำ เปลือกบาง สีแดงเข้ม นิยมในตลาดพรีเมียม

  2. เงาะสีชมพู → เนื้อกรอบ หวาน เปลือกสีชมพูอมแดง นิยมในตลาดในประเทศ

  3. เงาะพันธุ์จันทบุรี 1 → เนื้อหวาน กรอบ เปลือกสีแดงสด เส้นขนยาว ขายดีในตลาดส่งออก

  4. เงาะพันธุ์พันธุ์สีทอง → เนื้อหวาน เปลือกสีทอง ทนทานต่อการขนส่ง นิยมในตลาดต่างประเทศ

  5. เงาะพันธุ์สีทับทิม → เนื้อหวานอมเปรี้ยว เปลือกสีแดงเข้ม เนื้อนุ่ม ขนสั้น

  6. เงาะป่าพื้นเมือง → รสหวานอมเปรี้ยว เปลือกหนา ทนต่อโรคและสภาพอากาศร้อน

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

🌱 จากการเพาะเมล็ด

  • เริ่มออกดอกครั้งแรก: ประมาณ 4–6 ปี

  • เริ่มให้ผลผลิตเต็มที่: ประมาณ 6–8 ปี

🌿 จากการตอนกิ่ง/ติดตา/ต่อกิ่ง

  • เริ่มออกดอกครั้งแรก: ประมาณ 2–3 ปี

  • เริ่มให้ผลผลิตเต็มที่: ประมาณ 3–4 ปี

✅ ระยะเวลาตั้งแต่ออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยว:

  • ประมาณ 110–130 วัน (ประมาณ 3.5–4 เดือน)

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูกเงาะ

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสม:

  • ช่วงต้นฝน – กลางฝน (พฤษภาคม – กรกฎาคม) → ดินมีความชุ่มชื้น ต้นแข็งแรง

  • หลีกเลี่ยงการปลูกในช่วงหน้าแล้งเพราะอาจทำให้ต้นแคระแกร็น

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย หรือ ดินร่วนซุย ระบายน้ำดี

  • มีความชื้นในดินสม่ำเสมอ

  • อินทรียวัตถุสูง

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • อยู่ในช่วง 5.5 – 6.5

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดิน

  • ขุดหลุมขนาด 50 × 50 × 50 ซม.

  • รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก

  • ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 6–8 เมตร

💧 การให้น้ำ

  • ให้น้ำวันละ 1–2 ครั้ง ในช่วงแรกหลังปลูก

  • ช่วงออกดอก → ลดการให้น้ำเหลือวันเว้นวัน เพื่อให้ดอกติดผลดี

  • ช่วงติดผล → ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผลเติบโตและมีรสหวาน

🍀 การใส่ปุ๋ย (ปลอดสารเคมี)

  • ปุ๋ยรองพื้น: ปุ๋ยคอก + ปุ๋ยหมัก

  • ช่วงติดดอก: ปุ๋ยสูตร 12-24-12 เพื่อเสริมฟอสฟอรัส

  • ช่วงติดผล: ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เพื่อเสริมขนาดและรสชาติ

  • เสริมธาตุรอง: ใช้ปุ๋ยน้ำสกัดจากปลา หรือ น้ำหมักชีวภาพ

🐛 การป้องกันและกำจัดแมลงและเชื้อราแบบธรรมชาติ

✅ ศัตรูพืชที่พบบ่อย:

  • เพลี้ยไฟ → ใช้สารสกัดจากสะเดาหรือกระเทียมฉีดพ่น

  • หนอนเจาะผล → ใช้น้ำส้มควันไม้ราดโคนต้น

  • แมลงวันทอง → ใช้ถุงห่อผลเพื่อป้องกันแมลง

  • โรคเชื้อรา → ฉีดพ่นด้วยน้ำหมักชีวภาพจากสมุนไพร เช่น ข่า ตะไคร้ 

  • 6. ประเทศที่ไทยส่งออกเงาะมากที่สุด (เรียงตามปริมาณ)

  • ✅ ประเทศที่นำเข้าเงาะจากไทยมากที่สุด ได้แก่:

  • จีน → เป็นตลาดใหญ่ที่สุดของเงาะไทย

  • มาเลเซีย → นิยมเงาะโรงเรียนและเงาะสีชมพู

  • อินโดนีเซีย → ตลาดใหญ่ในอาเซียน

  • สิงคโปร์ → นิยมเงาะพันธุ์หวาน

  • เวียดนาม → ต้องการเงาะพันธุ์จันทบุรีและเงาะสีทอง

  • ฮ่องกง → นิยมเงาะเนื้อหวานและเงาะพรีเมียม

  • สหรัฐอเมริกา → ต้องการเงาะพันธุ์โรงเรียนในตลาดพรีเมียม

  • 🔎 สรุปจุดเด่นของเงาะไทยที่ทำให้ตลาดต่างประเทศต้องการ

  • ✅ รสชาติหวาน กรอบ ฉ่ำ
    ✅ สีสวย เปลือกบาง เนื้อนุ่ม
    ✅ การขนส่งง่าย ทนทานต่อสภาพอากาศ
    ✅ ปลอดสารเคมีและการเพาะปลูกแบบออร์แกนิกกำลังเป็นที่นิยม

14.) มะละกอ รวม 19 คลิป 

มะละกอ

1. มะละกอที่มีในไทยที่มีชื่อเสียง และความนิยมในตลาด

มะละกอที่ปลูกในไทยมีหลากหลายสายพันธุ์ โดยสามารถจัดเรียงตามความนิยมในตลาดได้ดังนี้:

✅ พันธุ์มะละกอยอดนิยมในไทย

  1. พันธุ์ฮอลแลนด์ → เนื้อสีส้มเข้ม รสหวาน เนื้อแน่น ทนต่อโรคและขนส่งง่าย นิยมส่งออก

  2. พันธุ์แขกดำ → เนื้อสีแดงเข้ม รสหวานจัด เมล็ดน้อย นิยมทานสด

  3. พันธุ์แขกนวล → เนื้อสีเหลืองทอง รสหวานหอม ผลยาว ทนต่อโรค นิยมปลูกเพื่อขายในประเทศ

  4. พันธุ์เรดเลดี้ → เนื้อสีแดงเข้ม รสหวานอมเปรี้ยว ผิวบาง แต่นิยมในตลาดต่างประเทศ

  5. พันธุ์ศรีลังกา → เนื้อสีส้มอมแดง รสหวาน เมล็ดน้อย นิยมปลูกในพื้นที่ภาคใต้

  6. พันธุ์ฟลอริด้า → เนื้อสีเหลืองทอง รสหวานหอม ผลขนาดกลาง นิยมปลูกในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

🌱 จากการเพาะเมล็ด:

  • ระยะเวลาการงอกของเมล็ด → 7–14 วัน

  • เริ่มออกดอกครั้งแรก → ประมาณ 4–6 เดือน

  • เริ่มให้ผลผลิตเต็มที่ → ประมาณ 7–8 เดือน

✅ ระยะเวลาตั้งแต่ออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยว:

  • ประมาณ 3–4 เดือน

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูกมะละกอ

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสม:

  • เดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน (ช่วงต้นฤดูร้อน) → ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของต้นและติดดอกดี

  • หลีกเลี่ยงช่วงฝนตกหนัก → เพราะมะละกอไม่ชอบน้ำขัง

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย หรือ ดินร่วนซุย ระบายน้ำดี

  • อินทรียวัตถุสูง มีแร่ธาตุเพียงพอ

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • อยู่ในช่วง 6.0 – 7.5

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดิน

  • ขุดหลุมขนาด 50 × 50 × 50 ซม.

  • รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก + ปุ๋ยหมัก

  • ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 2–2.5 เมตร

💧 การให้น้ำ

  • ช่วงแรกหลังปลูก → ให้น้ำทุกวัน เช้า–เย็น

  • ช่วงออกดอก → ลดการให้น้ำเหลือวันเว้นวัน เพื่อกระตุ้นการติดดอก

  • ช่วงติดผล → ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผลเติบโตเต็มที่

🍀 การใส่ปุ๋ย (ปลอดสารเคมี)

  • ช่วงเริ่มปลูก: ใส่ปุ๋ยคอก + ปุ๋ยหมัก ทุก 15 วัน

  • ช่วงติดดอก: ปุ๋ยสูตร 12-24-12 หรือ 15-30-15

  • ช่วงติดผล: ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เพื่อเพิ่มขนาดและรสชาติ

  • เสริมธาตุรอง: ฉีดพ่นด้วยน้ำหมักชีวภาพ เช่น น้ำหมักปลา หรือน้ำหมักผลไม้

🐛 การป้องกันและกำจัดแมลงและเชื้อราแบบธรรมชาติ

✅ ศัตรูพืชที่พบบ่อย:

  • เพลี้ยแป้ง → ใช้สารสกัดจากสะเดาหรือกระเทียม

  • หนอนเจาะผล → ใช้น้ำส้มควันไม้ฉีดพ่น

  • โรคใบจุด (Anthracnose) → ใช้น้ำหมักชีวภาพจากสมุนไพร เช่น ข่า ตะไคร้

  • แมลงวันทอง → ห่อผลด้วยถุงตาข่าย

6. ช่วงเวลาออกดอกของมะละกอในรอบปี

✅ มะละกอจะออกดอกในช่วง:

  • เมษายน – มิถุนายน (ฤดูร้อน)

  • หลังจากออกดอก ใช้เวลาประมาณ 90–120 วัน ในการพัฒนาเป็นผลพร้อมเก็บ

7. วิธีเร่งให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เทคนิคเร่งดอกและเร่งผลผลิต:

  1. งดให้น้ำ → งดน้ำประมาณ 7–10 วัน เพื่อกระตุ้นให้ต้นออกดอกเร็วขึ้น

  2. เพิ่มแสงแดด → มะละกอชอบแดดจัด ควรให้แสงแดดวันละ 6–8 ชั่วโมง

  3. ตัดแต่งกิ่ง → ตัดแต่งกิ่งหลังเก็บเกี่ยวเพื่อกระตุ้นการแตกยอดใหม่

  4. เพิ่มโพแทสเซียม → เสริมด้วยปุ๋ยสูตร 13-13-21 เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของผล

8. ประเทศที่ไทยส่งออกมะละกอมากที่สุด (เรียงตามปริมาณ)

✅ ประเทศที่นำเข้ามะละกอจากไทยมากที่สุด ได้แก่:

  1. จีน → นิยมพันธุ์ฮอลแลนด์และพันธุ์เรดเลดี้

  2. มาเลเซีย → นิยมมะละกอหวานและแขกดำ

  3. สิงคโปร์ → ตลาดพรีเมียม นิยมมะละกอสีแดง

  4. เวียดนาม → นิยมมะละกอพันธุ์เรดเลดี้และแขกนวล

  5. อินโดนีเซีย → นิยมพันธุ์ฮอลแลนด์และฟลอริด้า

  6. ฮ่องกง → นิยมมะละกอพันธุ์แดงและพันธุ์หวาน

  7. เกาหลีใต้ → นิยมพันธุ์ศรีลังกาและพันธุ์ฮอลแลนด์

  8. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) → นิยมมะละกอสีแดงเข้ม

✅ สรุปจุดเด่นของมะละกอไทยที่ทำให้ตลาดต่างประเทศต้องการ

  • รสชาติหวาน กรอบ เนื้อแน่น

  • สีสวยสด ขนาดผลสม่ำเสมอ

  • ทนต่อโรคและแมลง ขนส่งง่าย

  • การผลิตแบบอินทรีย์ (Organic) กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก

15.) มะปราง มะยงชิต รวม 26 คลิป 

มะปราง

1. มะปรางที่มีในไทยที่มีชื่อเสียง และความนิยมในตลาด

มะปรางที่นิยมปลูกในไทยมีอยู่หลายสายพันธุ์ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ

🥭 มะปรางหวาน → รสหวาน ทานสด นิยมในตลาดพรีเมียม

  1. มะปรางหวานทองคำ → เนื้อสีเหลืองทอง รสหวานจัด เมล็ดลีบ นิยมในตลาดส่งออก

  2. มะปรางหวานเพชรน้ำผึ้ง → รสหวาน เนื้อละเอียด เปลือกบาง

  3. มะปรางหวานศรีทอง → รสหวานอมเปรี้ยว ผลขนาดกลาง เปลือกบาง

  4. มะปรางหวานศรีชมพู → รสหวานอมเปรี้ยว เนื้อนุ่ม เปลือกสีชมพู

🥭 มะปรางเปรี้ยว → รสเปรี้ยว ทานสด หรือทำแปรรูป

  1. มะปรางเปรี้ยวสุวรรณ → รสเปรี้ยวจัด เปลือกบาง เนื้อกรอบ นิยมทำแปรรูป

  2. มะปรางเปรี้ยวดอกส้ม → รสเปรี้ยว เนื้อกรอบ เปลือกสีส้ม นิยมทำยำและแช่อิ่ม

  3. มะปรางเปรี้ยวสุโขทัย → รสเปรี้ยวอมหวาน เปลือกหนา ทนต่อโรค นิยมปลูกทางภาคเหนือ

✅ จัดอันดับตามความนิยมในตลาด

  1. มะปรางหวานทองคำ → ได้รับความนิยมในตลาดส่งออก

  2. มะปรางหวานเพชรน้ำผึ้ง → รสหวาน ขายได้ราคาสูง

  3. มะปรางเปรี้ยวสุวรรณ → ตลาดแปรรูปและทำขนม

  4. มะปรางหวานศรีทอง → นิยมในตลาดทานสด

  5. มะปรางเปรี้ยวดอกส้ม → นิยมทำยำและแช่อิ่ม

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

🌱 การปลูกจากเมล็ด:

  • งอกในช่วง 15–30 วัน

  • ออกดอกครั้งแรก → ประมาณ 4–5 ปี

  • เริ่มให้ผลผลิตเต็มที่ → ประมาณ 5–7 ปี

🌱 การปลูกจากกิ่งตอน, กิ่งติดตา, กิ่งทาบ:

  • ออกดอกครั้งแรก → ประมาณ 2–3 ปี

  • เริ่มให้ผลผลิตเต็มที่ → ประมาณ 3–4 ปี

✅ ระยะเวลาตั้งแต่ออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยว:

  • ประมาณ 4–5 เดือน

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูกมะปราง

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสม:

  • เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม (ช่วงต้นฤดูฝน) → มีความชื้นในอากาศสูง ต้นเติบโตได้ดี

  • หลีกเลี่ยงช่วงแล้งจัด (มีนาคม – เมษายน) → อาจทำให้ต้นมะปรางติดดอกน้อย

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วน ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุย

  • มีการระบายน้ำดี ไม่ท่วมขัง

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • 5.5 – 7.0 (ค่ากลาง)

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดินและการปลูก

  • ขุดหลุมขนาด 50 × 50 × 50 ซม.

  • รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก + ปุ๋ยหมัก

  • ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 4–6 เมตร

💧 การให้น้ำ

  • ให้น้ำสม่ำเสมอในช่วงปีแรก

  • ช่วงติดดอก → ลดการให้น้ำเพื่อกระตุ้นการออกดอก

  • ช่วงติดผล → ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มขนาดผล

🍀 การใส่ปุ๋ย (ปลอดสารเคมี)

✅ ปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักชีวภาพ

  • ช่วงเริ่มปลูก → ปุ๋ยคอก + ปุ๋ยหมัก ทุก 15 วัน

  • ช่วงติดดอก → ปุ๋ยสูตร 8-24-24 หรือ 15-30-15

  • ช่วงติดผล → ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เสริมแคลเซียมและแมกนีเซียม

🐛 การกำจัดแมลงและเชื้อราแบบธรรมชาติ

✅ ศัตรูพืชที่พบบ่อย:

  • เพลี้ยไฟ → ใช้น้ำหมักสะเดาฉีดพ่น

  • แมลงวันทอง → ใช้ถุงตาข่ายคลุมผล

  • เชื้อราแอนแทรคโนส → ฉีดพ่นด้วยน้ำหมักสมุนไพร (ข่า, ตะไคร้)

6. ช่วงเวลาออกดอกของมะปรางในรอบปี

✅ ช่วงออกดอก:

  • เดือนธันวาคม – มกราคม (ฤดูหนาว) → อุณหภูมิต่ำกระตุ้นการออกดอก

  • หลังออกดอก → ใช้เวลา 4–5 เดือน ในการพัฒนาเป็นผลพร้อมเก็บ

7. วิธีเร่งให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เทคนิคเร่งดอกและเร่งผลผลิต:

  1. ลดการให้น้ำ → งดน้ำประมาณ 10–14 วัน ก่อนออกดอก

  2. เพิ่มปริมาณโพแทสเซียม → ใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 เพื่อเร่งดอก

  3. ตัดแต่งกิ่ง → เปิดช่องให้แสงแดดส่องถึงต้นได้ดี

8. ประเทศที่ไทยส่งออกมะปรางมากที่สุด (เรียงตามปริมาณ)

✅ ประเทศที่นำเข้ามะปรางจากไทยมากที่สุด ได้แก่:

  1. จีน → นิยมมะปรางหวาน

  2. มาเลเซีย → นิยมมะปรางหวานและมะปรางเปรี้ยว

  3. สิงคโปร์ → นิยมมะปรางหวาน

  4. เวียดนาม → นิยมมะปรางเปรี้ยว

  5. อินโดนีเซีย → นิยมมะปรางหวาน

  6. ฮ่องกง → นิยมมะปรางหวาน

✅ สรุปจุดเด่นของมะปรางไทยที่ทำให้ตลาดต่างประเทศต้องการ

✅ รสหวานอมเปรี้ยว เนื้อแน่น เมล็ดเล็ก
✅ สีสันสวยงาม เปลือกบาง
✅ ทนต่อการขนส่งและการเก็บรักษา
✅ การผลิตแบบอินทรีย์ (Organic) เพิ่มมูลค่าในตลาดโลก​ก

16.) แตงโม  รวม 29 คลิป 

แตงโม

1. แตงโมที่มีในไทยที่มีชื่อเสียง และความนิยมในตลาด

แตงโมในไทยมีหลายพันธุ์ โดยสามารถแบ่งตามลักษณะของเนื้อและเปลือกได้ดังนี้:

🍉 แตงโมเนื้อแดง

  1. พันธุ์ศรีเมือง → เนื้อแดงจัด รสหวาน เมล็ดน้อย เปลือกหนา ทนทานต่อการขนส่ง

  2. พันธุ์กินรี → เนื้อแดง รสหวานมาก เมล็ดน้อย เปลือกบาง

  3. พันธุ์จินตหรา → เนื้อแดงเข้ม รสหวาน เปลือกบาง ขายดีในตลาดสด

  4. พันธุ์ตอปิโด → เนื้อแดง รสหวาน รูปทรงยาว เปลือกบาง

🍉 แตงโมเนื้อเหลือง

  1. พันธุ์น้ำผึ้ง → เนื้อเหลือง รสหวาน กลิ่นหอม เมล็ดน้อย

  2. พันธุ์ซันสวีท → เนื้อเหลือง รสหวานจัด รูปทรงกลม ขนาดผลเล็ก

  3. พันธุ์ทองสยาม → เนื้อเหลือง รสหวาน เมล็ดน้อย ขนาดผลใหญ่

🍉 แตงโมไร้เมล็ด

  1. พันธุ์จินตนา → เนื้อแดง ไร้เมล็ด รสหวาน เปลือกบาง

  2. พันธุ์ซันเรย์ → เนื้อเหลือง ไร้เมล็ด รสหวาน รูปทรงกลม

✅ จัดอันดับตามความนิยมในตลาด:

  1. พันธุ์ศรีเมือง → ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดสดและส่งออก

  2. พันธุ์กินรี → เนื้อแดง รสหวาน เมล็ดน้อย เป็นที่นิยมในตลาดพรีเมียม

  3. พันธุ์น้ำผึ้ง → แตงโมเนื้อเหลืองยอดนิยมในไทย

  4. พันธุ์จินตนา → แตงโมไร้เมล็ดยอดนิยมในตลาดส่งออก

  5. พันธุ์ซันเรย์ → แตงโมเนื้อเหลืองไร้เมล็ด ขายดีในตลาดต่างประเทศ

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

✅ แตงโมเป็นพืชอายุสั้น และใช้เวลาออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยว ดังนี้:

วิธีการปลูกระยะเวลาออกดอกระยะเวลาเก็บเกี่ยว

เพาะเมล็ดประมาณ 25–30 วันประมาณ 65–80 วัน หลังปลูก

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูกแตงโม

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสม:

  • พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ → อากาศเย็นและแห้ง แตงโมเติบโตดี น้ำหนักดี

  • หลีกเลี่ยงช่วงหน้าฝน (มิถุนายน – กันยายน) → เสี่ยงต่อเชื้อราและโรคพืช

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วน ดินร่วนปนทราย → ระบายน้ำได้ดี ไม่ท่วมขัง

  • ควรมีอินทรียวัตถุสูง

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • 6.0 – 7.5 (ค่ากลางถึงเป็นด่างเล็กน้อย)

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดินและการปลูก

  • ขุดหลุมลึกประมาณ 30–40 ซม.

  • รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก

  • ระยะปลูกระหว่างต้น 2–3 เมตร

💧 การให้น้ำ

  • ช่วงต้นกล้า → รดน้ำวันละครั้ง (ช่วงเช้า)

  • ช่วงติดดอก → ลดการให้น้ำ เพื่อกระตุ้นการออกดอก

  • ช่วงติดผล → เพิ่มการให้น้ำ วันละ 1–2 ครั้ง

🍀 การใส่ปุ๋ย (ปลอดสารเคมี)

✅ ปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักชีวภาพ

  • ช่วงต้นกล้า → ใส่ปุ๋ยคอก + ปุ๋ยหมักทุก 10 วัน

  • ช่วงติดดอก → ใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 หรือ 15-30-15

  • ช่วงติดผล → ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เสริมแคลเซียมและแมกนีเซียม

🐛 การกำจัดแมลงและเชื้อราแบบธรรมชาติ

✅ ศัตรูพืชที่พบบ่อย:

  • เพลี้ยไฟ → ใช้น้ำหมักสะเดาฉีดพ่น

  • หนอนเจาะผล → ใช้ถุงตาข่ายคลุมผล

  • เชื้อราโรคราน้ำค้าง → ฉีดพ่นด้วยน้ำสกัดชีวภาพ (ข่า, ตะไคร้)

6. ช่วงเวลาออกดอกของแตงโมในรอบปี

✅ ช่วงออกดอก:

  • เดือนมกราคม – มีนาคม → ช่วงอากาศเย็นและแห้ง

  • ออกดอกหลังปลูกประมาณ 25–30 วัน

  • ติดผลพร้อมเก็บในช่วง 65–80 วัน หลังปลูก

7. วิธีเร่งให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เทคนิคเร่งดอกและเร่งผลผลิต:

  1. ลดการให้น้ำ → งดน้ำประมาณ 5–7 วัน ก่อนออกดอก

  2. เสริมปุ๋ยโพแทสเซียม → ใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 หรือ 15-30-15

  3. ตัดแต่งกิ่ง → เปิดช่องให้แสงแดดส่องถึงต้นได้ดี

8. ประเทศที่ไทยส่งออกแตงโมมากที่สุด (เรียงตามปริมาณ)

✅ ประเทศที่นำเข้าแตงโมจากไทยมากที่สุด ได้แก่:

  1. จีน → แตงโมเนื้อแดงและไร้เมล็ด เป็นที่นิยมสูง

  2. ญี่ปุ่น → นิยมแตงโมเนื้อเหลืองและไร้เมล็ด

  3. เกาหลีใต้ → นิยมแตงโมไร้เมล็ด

  4. สิงคโปร์ → นิยมแตงโมเนื้อแดง

  5. ฮ่องกง → นิยมแตงโมเนื้อแดงและไร้เมล็ด

  6. เวียดนาม → นิยมแตงโมเนื้อแดง

✅ สรุปจุดเด่นของแตงโมไทยในตลาดต่างประเทศ

✅ รสชาติหวาน เนื้อแน่น สีสด
✅ ทนต่อการขนส่งและการเก็บรักษา
✅ การผลิตแบบอินทรีย์ (Organic) เพิ่มมูลค่าในตลาดโลก

ฝรั่ง

17.) ฝรั่ง  รวม 2 คลิป 

1. ฝรั่งที่มีในไทยที่มีชื่อเสียง และความนิยมในตลาด

ฝรั่งในไทยมีหลากหลายพันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์มีลักษณะเด่นและรสชาติแตกต่างกันไป ดังนี้:

🍏 ฝรั่งพันธุ์เนื้อขาว

  1. พันธุ์กิมจู → เนื้อแน่น หวาน กรอบ มีกลิ่นหอม ขนาดใหญ่

  2. พันธุ์แป้นสีทอง → เนื้อกรอบ หวาน เปลือกบาง สีเขียวอ่อน

  3. พันธุ์แป้นจัมโบ้ → ผลใหญ่ เนื้อแน่น กรอบ รสหวานอมเปรี้ยว

  4. พันธุ์เวียดนาม → เนื้อกรอบ รสหวานอมเปรี้ยว ขนาดกลาง

🍏 ฝรั่งพันธุ์เนื้อสีชมพู (พันธุ์หวาน)

  1. พันธุ์ปุ้ยฝรั่ง (ปุ้ยเพชร) → เนื้อสีชมพู หวาน กรอบ เมล็ดน้อย

  2. พันธุ์ชมพูศรีราชา → เนื้อชมพูอ่อน รสหวานนุ่ม กลิ่นหอม

🍏 ฝรั่งพันธุ์ไร้เมล็ด

  1. พันธุ์ไร้เมล็ดศรีเทพ → เนื้อกรอบ รสหวาน ไม่มีเมล็ด ขนาดใหญ่

  2. พันธุ์ไร้เมล็ดเวียดนาม → เนื้อแน่น กรอบ รสหวานน้อย

✅ จัดอันดับตามความนิยมในตลาด:

  1. พันธุ์กิมจู → ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาด

  2. พันธุ์แป้นสีทอง → ขายดีในตลาดสดและตลาดส่งออก

  3. พันธุ์ปุ้ยฝรั่ง → ตลาดพรีเมียมในไทยและต่างประเทศ

  4. พันธุ์เวียดนาม → นิยมในตลาดท้องถิ่น

  5. พันธุ์ไร้เมล็ดศรีเทพ → ส่งออกสูงสุด

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

✅ ฝรั่งเป็นพืชอายุสั้น ออกดอกเร็ว ใช้เวลาแตกต่างกันตามวิธีปลูก ดังนี้:

วิธีการปลูกระยะเวลาออกดอกระยะเวลาเก็บเกี่ยว

เพาะเมล็ดประมาณ 1.5 – 2 ปีประมาณ 3 ปี หลังปลูก

กิ่งตอน/ติดตาประมาณ 6–12 เดือนประมาณ 1 ปี หลังปลูก

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูกฝรั่ง

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสม:

  • ช่วงต้นฤดูฝน (พฤษภาคม – กรกฎาคม) → ต้นกล้าเติบโตได้ดี ออกดอกง่าย

  • หลีกเลี่ยงช่วงหน้าฝนหนัก (กันยายน – ตุลาคม) → เสี่ยงต่อเชื้อราและโรคโคนเน่า

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วน ดินร่วนปนทราย → ระบายน้ำได้ดี ไม่ท่วมขัง

  • ควรมีอินทรียวัตถุสูง

  • หน้าดินลึก ประมาณ 30–50 ซม.

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • 6.0 – 7.5 (ค่ากลางถึงเป็นด่างเล็กน้อย)

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดินและการปลูก

  • ขุดหลุมลึก 30–50 ซม.

  • รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก

  • ระยะปลูกระหว่างต้น 2–4 เมตร

💧 การให้น้ำ

  • ช่วงต้นกล้า → รดน้ำวันละครั้ง (ช่วงเช้า)

  • ช่วงติดดอก → ลดการให้น้ำ เพื่อกระตุ้นการออกดอก

  • ช่วงติดผล → ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ วันละ 1 ครั้ง

🍀 การใส่ปุ๋ย (ปลอดสารเคมี)

✅ ปุ๋ยอินทรีย์และน้ำหมักชีวภาพ

  • ช่วงต้นกล้า → ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักทุก 15 วัน

  • ช่วงติดดอก → ใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 เสริมแคลเซียม

  • ช่วงติดผล → ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เพื่อเพิ่มขนาดและรสชาติ

🐛 การกำจัดแมลงและเชื้อราแบบธรรมชาติ

✅ ศัตรูพืชที่พบบ่อย:

  • เพลี้ยแป้ง → ใช้น้ำหมักสะเดาฉีดพ่น

  • หนอนเจาะผล → ใช้ถุงตาข่ายห่อผล

  • เชื้อรา (โรคราน้ำค้าง) → ฉีดพ่นด้วยน้ำสกัดชีวภาพ (ข่า, ตะไคร้)

6. ช่วงเวลาออกดอกของฝรั่งในรอบปี

✅ ช่วงออกดอก:

  • เดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม → ช่วงอากาศแห้งและอุ่น

  • ออกดอกหลังปลูกประมาณ 6–12 เดือน

7. วิธีเร่งให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เทคนิคเร่งดอกและเร่งผลผลิต:

  1. ลดการให้น้ำ → งดน้ำประมาณ 5–7 วัน ก่อนออกดอก

  2. เสริมปุ๋ยโพแทสเซียม → ใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24 หรือ 15-30-15

  3. ตัดแต่งกิ่ง → เปิดช่องให้แสงแดดส่องถึงต้นได้ดี

8. ประเทศที่ไทยส่งออกฝรั่งมากที่สุด (เรียงตามปริมาณ)

✅ ประเทศที่นำเข้าฝรั่งจากไทยมากที่สุด ได้แก่:

  1. จีน → นิยมฝรั่งพันธุ์กิมจู และพันธุ์แป้นสีทอง

  2. ฮ่องกง → นิยมฝรั่งเนื้อขาวและพันธุ์ไร้เมล็ด

  3. สิงคโปร์ → นิยมฝรั่งพันธุ์ปุ้ยฝรั่ง

  4. เวียดนาม → นิยมฝรั่งพันธุ์แป้นสีทอง

  5. มาเลเซีย → นิยมฝรั่งพันธุ์เวียดนาม

  6. ญี่ปุ่น → นิยมฝรั่งพันธุ์ปุ้ยฝรั่งและพันธุ์ไร้เมล็ด

✅ สรุปจุดเด่นของฝรั่งไทยในตลาดต่างประเทศ

✅ รสชาติหวาน กรอบ เนื้อแน่น
✅ ทนต่อการขนส่งและการเก็บรักษา
✅ การผลิตแบบอินทรีย์ (Organic) เพิ่มมูลค่าในตลาดโลก

18.) มะพร้าว  รวม 4 คลิป 

มะพร้าว

1. มะพร้าวที่มีในไทยที่มีชื่อเสียง และความนิยมในตลาด

มะพร้าวในไทยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ มะพร้าวน้ำหอม และ มะพร้าวแกง โดยมีพันธุ์ยอดนิยมดังนี้:

🥥 มะพร้าวน้ำหอม (นิยมบริโภคสด น้ำมีกลิ่นหอม รสชาติหวาน)

  1. พันธุ์มะพร้าวน้ำหอมสามพราน → รสหวาน กลิ่นหอมแรง เปลือกบาง เนื้อนุ่ม

  2. พันธุ์มะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว → หอมหวาน เนื้อบาง เปลือกบาง รสชาติละมุน

  3. พันธุ์มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี → หอมหวาน เนื้อหนา น้ำเยอะ รสชาติกลมกล่อม

🥥 มะพร้าวแกง (นิยมใช้กะทิและทำอาหาร)

  1. พันธุ์กะทิ (พันธุ์ชุมพร) → น้ำกะทิเข้มข้น หอมมัน เนื้อหนา

  2. พันธุ์มะพร้าวแกงทับสะแก → เนื้อหนา กะทิหอมมัน ให้ผลผลิตสูง

  3. พันธุ์มะพร้าวแกงสมุย → เนื้อขาวละเอียด หอมมัน รสชาติหวาน

✅ จัดอันดับตามความนิยมในตลาด:

  1. มะพร้าวน้ำหอมสามพราน → ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาดส่งออก

  2. มะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว → นิยมบริโภคสดในไทยและต่างประเทศ

  3. มะพร้าวกะทิชุมพร → ใช้ทำกะทิ ส่งขายในตลาดพรีเมียม

  4. มะพร้าวน้ำหอมราชบุรี → นิยมบริโภคสด รสหวานมาก

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

วิธีการปลูกอายุเริ่มออกดอกอายุเริ่มเก็บเกี่ยว

เพาะเมล็ดประมาณ 3–4 ปีประมาณ 4–5 ปี

ปลูกจากต้นกล้า/ตอนกิ่งประมาณ 2–3 ปีประมาณ 3 ปี

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูกมะพร้าว

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสม:

  • ช่วงต้นฤดูฝน (พฤษภาคม – กรกฎาคม) → ดินชุ่มชื้น ต้นตั้งตัวได้ง่าย

  • หลีกเลี่ยงช่วงฤดูฝนหนักและฤดูแล้ง → เพื่อป้องกันปัญหารากเน่าและขาดน้ำ

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วน ดินร่วนปนทราย หรือดินเหนียวปนทราย

  • ดินควรมีอินทรียวัตถุสูง ระบายน้ำได้ดี

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • ค่า pH 5.5 – 7.5

  • ดินควรมี ความเค็มต่ำ และมี แร่ธาตุโพแทสเซียมสูง

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดินและการปลูก

  • ขุดหลุมขนาด 50 × 50 × 50 ซม.

  • ผสมดินกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก

  • ระยะปลูกประมาณ 5–6 เมตร ระหว่างต้น

💧 การให้น้ำ

  • รดน้ำ สัปดาห์ละ 2–3 ครั้ง ในช่วงหน้าแล้ง

  • หลีกเลี่ยงน้ำท่วมขัง

  • ใช้ระบบน้ำหยดเพื่อประหยัดน้ำและเพิ่มผลผลิต

🍀 การใส่ปุ๋ย (ปลอดสารเคมี)

✅ สูตรปุ๋ยอินทรีย์:

  • ช่วงต้นกล้า → ใส่ปุ๋ยคอก + น้ำหมักชีวภาพทุก 2 สัปดาห์

  • ช่วงออกดอก → ใช้ปุ๋ยอินทรีย์สูตร 8-24-24 หรือ 15-30-15

  • ช่วงติดผล → ใช้ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เสริมแคลเซียมและแมกนีเซียม

🐛 การป้องกันแมลงและโรค

✅ ศัตรูพืชที่พบบ่อย:

  • ด้วงแรดมะพร้าว → ใช้เชื้อราเขียว (Metarhizium) ควบคุม

  • หนอนหัวดำมะพร้าว → ใช้แตนเบียน หรือพ่นน้ำหมักสะเดา

  • โรคโคนเน่า → ปรับสภาพดินให้ระบายน้ำดี และใช้ปูนขาวฆ่าเชื้อ

6. ช่วงเวลาออกดอกของมะพร้าวในรอบปี

✅ ช่วงออกดอก:

  • ออกดอกได้ตลอดปี (ประมาณทุก 2–3 เดือน)

  • ติดผลและสามารถเก็บเกี่ยวได้ต่อเนื่อง

7. วิธีเร่งให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เทคนิคเร่งดอกและผลผลิต:

  1. เสริมโพแทสเซียมและแมกนีเซียม → เพิ่มความหวานและปริมาณน้ำ

  2. เพิ่มปุ๋ยอินทรีย์ (ปุ๋ยหมัก + น้ำหมักปลา) → กระตุ้นการแตกดอก

  3. ตัดแต่งใบ → เปิดทรงพุ่มเพื่อรับแสงแดด

  4. ลดน้ำก่อนเก็บเกี่ยว 7–10 วัน → เพิ่มความหวานในผล

8. ประเทศที่ไทยส่งออกมะพร้าวมากที่สุด (เรียงตามปริมาณ)

✅ ประเทศที่นำเข้ามะพร้าวจากไทยมากที่สุด ได้แก่:

  1. จีน → นำเข้ามะพร้าวน้ำหอมและมะพร้าวกะทิสูงสุด

  2. เวียดนาม → นิยมมะพร้าวน้ำหอมและมะพร้าวแกง

  3. ญี่ปุ่น → นำเข้ามะพร้าวน้ำหอมในกลุ่มตลาดพรีเมียม

  4. เกาหลีใต้ → นิยมมะพร้าวน้ำหอมและมะพร้าวอ่อน

  5. สิงคโปร์ → นิยมมะพร้าวน้ำหอมและมะพร้าวแกง

✅ สรุปจุดเด่นของมะพร้าวไทยในตลาดต่างประเทศ

✅ รสชาติหอมหวานเฉพาะตัว
✅ เนื้อกรอบ น้ำหอม รสชาติกลมกล่อม
✅ ผลผลิตสม่ำเสมอ สามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดปี
✅ มีระบบ GAP และ Organic รองรับในตลาดโลก

แอปเปิ้ล

19.) แอปเปิ้ล รวม 1 คลิป 

เรื่องแอปเปิ้ลในไทย 🍎🍏
แอปเปิ้ล (Apple) เป็นผลไม้เมืองหนาวที่เติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็น ทำให้การปลูกแอปเปิ้ลในไทยค่อนข้างมีข้อจำกัด แต่มีการพัฒนาสายพันธุ์บางชนิดให้สามารถปลูกในพื้นที่อากาศร้อนหรือกึ่งร้อนอย่างไทยได้ โดยเฉพาะในพื้นที่สูง เช่น ภาคเหนือ (เชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน) และพื้นที่ที่มีอุณหภูมิเย็นในช่วงฤดูหนาว

มาดูรายละเอียดทีละข้อกันเลยครับ! 👇😎

1. พันธุ์แอปเปิ้ลที่มีในไทยที่มีชื่อเสียง และความนิยมในตลาด

แอปเปิ้ลที่นิยมปลูกและมีชื่อเสียงในไทย ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ที่ปรับตัวกับอากาศร้อนหรือกึ่งร้อนได้ดี ดังนี้:

🍎 พันธุ์แอปเปิ้ลที่นิยมปลูกในไทย

  1. พันธุ์แอปเปิ้ล อานา (Anna) →

    • ติดผลเร็ว ให้ผลขนาดปานกลาง

    • รสหวานอมเปรี้ยว เนื้อกรอบ

    • ทนร้อนและเหมาะกับสภาพอากาศในไทย

  2. พันธุ์แอปเปิ้ล ดอร์เซตโกลเด้น (Dorsett Golden) →

    • ติดผลเร็ว รสหวานอมเปรี้ยว

    • ทนต่อสภาพอากาศร้อน

  3. พันธุ์แอปเปิ้ล ไทยเบอร์ 7 →

    • ปลูกได้ในพื้นที่สูงและมีอากาศเย็น

    • รสชาติหวาน เปลือกสีแดงอมเหลือง

  4. พันธุ์แอปเปิ้ล ฟูจิ (Fuji) →

    • ปลูกในพื้นที่เย็น เช่น ภาคเหนือ

    • รสชาติหวาน เนื้อกรอบ

  5. พันธุ์แอปเปิ้ล กาล่า (Gala) →

    • ปลูกได้ในสภาพอากาศเย็นปานกลาง

    • รสหวาน กลิ่นหอม

✅ จัดอันดับตามความนิยมในตลาดไทย

  1. แอปเปิ้ลฟูจิ → รสชาติหวาน กรอบ ตลาดต่างประเทศนิยม

  2. แอปเปิ้ลอานา → เหมาะกับสภาพอากาศไทย ติดผลเร็ว

  3. แอปเปิ้ลดอร์เซตโกลเด้น → ให้ผลผลิตเร็ว ทนร้อน

  4. แอปเปิ้ลไทยเบอร์ 7 → ผลผลิตสูงในภาคเหนือ

  5. แอปเปิ้ลกาล่า → รสหวาน ติดตลาดในกลุ่มพรีเมียม

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

วิธีปลูกอายุเริ่มออกดอกอายุเริ่มเก็บเกี่ยว

เพาะเมล็ดประมาณ 2-3 ปีประมาณ 4-5 ปี

ปลูกจากต้นกล้า/ต่อกิ่ง/ตอนกิ่งประมาณ 1-2 ปีประมาณ 3 ปี

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูกแอปเปิ้ล

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสม:

  • ฤดูหนาว (พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์) → อากาศเย็นช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต

  • ควรปลูกในพื้นที่สูง เช่น ภาคเหนือ หรือพื้นที่ที่มีอุณหภูมิกลางวันไม่เกิน 25°C

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนซุย ระบายน้ำดี

  • อินทรียวัตถุสูง

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • ค่า pH 6.0 – 6.8

✅ สภาพอากาศที่เหมาะสม:

  • อุณหภูมิกลางวันประมาณ 20°C – 25°C

  • อุณหภูมิกลางคืนประมาณ 10°C – 15°C

  • ปริมาณน้ำฝนปานกลาง (800 – 1,200 มม./ปี)

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดินและการปลูก

  • ขุดหลุมปลูกขนาด 50 × 50 × 50 ซม.

  • ผสมดินกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักก่อนปลูก

  • ระยะปลูกประมาณ 3 เมตร × 3 เมตร

💧 การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละ 1 ครั้ง

  • ช่วงติดดอก → ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ

🍀 การใส่ปุ๋ย (อินทรีย์)

✅ สูตรปุ๋ยอินทรีย์:

  • ช่วงเติบโต → ปุ๋ยหมัก + น้ำหมักปลา

  • ช่วงติดดอก → ปุ๋ยอินทรีย์สูตร 8-24-24

  • ช่วงผลแก่ → ปุ๋ยสูตร 13-13-21

🐛 การป้องกันแมลงและโรค

✅ ศัตรูพืชที่พบบ่อย:

  • หนอนเจาะผล → ใช้กับดักฟีโรโมน

  • เพลี้ยไฟและไรแดง → ใช้สารชีวภาพ (น้ำหมักสะเดา)

  • ราแป้งและโรคใบจุด → พ่นน้ำหมักชีวภาพจากใบสะเดา

6. ช่วงออกดอกของแอปเปิ้ลในรอบปี

✅ ช่วงออกดอก:

  • ฤดูหนาว (พฤศจิกายน – มกราคม) → อุณหภูมิเย็นกระตุ้นการออกดอก

7. วิธีเร่งให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เทคนิคเร่งดอกและผลผลิต:

  1. ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง → เพิ่มการรับแสง

  2. เพิ่มโพแทสเซียม (ปุ๋ยอินทรีย์สูตร 8-24-24)

  3. ลดการให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 2 สัปดาห์ → เพิ่มความหวาน

8. แอปเปิ้ลจากต่างประเทศที่สามารถปลูกในไทยได้

✅ สายพันธุ์ที่ทนร้อนได้ดีและปลูกได้ในไทย:

  • Anna → ทนร้อนและเติบโตดี

  • Dorsett Golden → ติดผลเร็วในสภาพอากาศร้อน

  • Fuji → ปลูกได้ในที่สูงหรืออากาศเย็น

9. ประเทศที่ไทยส่งออกแอปเปิ้ลมากที่สุด (เรียงตามปริมาณ)

ไทยยังไม่ได้เป็นผู้ส่งออกแอปเปิ้ลรายใหญ่ แต่มีการส่งออกในตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น:

  1. สิงคโปร์

  2. มาเลเซีย

  3. เวียดนาม

  4. จีน

20.) ลองกอง รวม 14 คลิป 

ลองกอง

เรื่องลองกอง ผลไม้ไทย 🍇🌳

ลองกองเป็นผลไม้ในตระกูลเดียวกับลางสาด มีรสชาติหวานหอม เนื้อฉ่ำ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ นิยมปลูกกันมากในภาคใต้และภาคตะวันออกของไทย เช่น นราธิวาส ยะลา ปัตตานี ชุมพร และจันทบุรี ลองกองมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดทั้งในและต่างประเทศ

1. พันธุ์ลองกองที่มีในไทย และความนิยมในตลาด

ลองกองในไทยมีอยู่หลายพันธุ์ แต่พันธุ์ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมในตลาด มีดังนี้:

🍇 พันธุ์ลองกองที่นิยมปลูกในไทย

  1. ลองกองตันหยงมัส (พันธุ์ตันหยงมัส)

    • รสชาติหวาน หอม กลิ่นหอมเด่น

    • เนื้อหนา ฉ่ำ เมล็ดเล็ก

    • เปลือกบาง

  2. ลองกองตันหยง 3 (พันธุ์ตันหยง 3)

    • รสชาติหวานอมเปรี้ยว

    • เนื้อแน่น ไม่คายน้ำ

    • ทนต่อโรคและแมลง

  3. ลองกองปาลา (พันธุ์ปาลา)

    • รสชาติหวานหอม

    • เมล็ดเล็ก เนื้อฉ่ำ

    • เปลือกบาง

  4. ลองกองเบตง (พันธุ์เบตง)

    • เปลือกบาง เนื้อหวาน

    • เมล็ดน้อย เนื้อแน่น

    • ได้รับความนิยมในภาคใต้

  5. ลองกองพันธุ์พื้นเมือง

    • รสหวานอมเปรี้ยว

    • ผลขนาดปานกลาง

    • เนื้อฉ่ำ มีเมล็ดเล็ก

✅ จัดอันดับตามความนิยมในตลาดไทย

  1. ลองกองตันหยงมัส → รสชาติหวาน หอม เมล็ดเล็ก

  2. ลองกองปาลา → หวานฉ่ำ เมล็ดน้อย

  3. ลองกองตันหยง 3 → หวานอมเปรี้ยว ทนโรคดี

  4. ลองกองเบตง → เปลือกบาง เนื้อหนา

  5. ลองกองพื้นเมือง → รสหวานอมเปรี้ยว ตลาดท้องถิ่นนิยม

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

วิธีปลูกอายุเริ่มออกดอกอายุเริ่มเก็บเกี่ยว

เพาะเมล็ดประมาณ 5-7 ปีประมาณ 7-8 ปี

ต่อกิ่ง/ตอนกิ่ง/ติดตาประมาณ 3-4 ปีประมาณ 4-5 ปี

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูกลองกอง

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสม:

  • ฤดูฝน (พฤษภาคม – กรกฎาคม) → มีความชื้นสูง ช่วยในการเจริญเติบโตของราก

  • หลีกเลี่ยงการปลูกในฤดูแล้งหรือฤดูร้อนที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี

  • มีอินทรียวัตถุสูง

  • ควรปลูกในที่มีความชื้นสูง

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • ค่า pH 5.5 – 6.5

✅ สภาพอากาศที่เหมาะสม:

  • อุณหภูมิระหว่าง 25°C – 32°C

  • ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,500 – 2,500 มม./ปี

  • ชอบแสงแดดแบบรำไร

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดินและการปลูก

  • ขุดหลุมปลูกขนาด 50 × 50 × 50 ซม.

  • ผสมดินกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักก่อนปลูก

  • ระยะปลูกประมาณ 4 เมตร × 4 เมตร

💧 การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ช่วงเช้าหรือเย็น

  • ช่วงออกดอกและติดผล → รดน้ำสม่ำเสมอ

🍀 การใส่ปุ๋ย (อินทรีย์)

✅ สูตรปุ๋ยอินทรีย์:

  • ช่วงเติบโต → ปุ๋ยหมัก + ปุ๋ยคอก

  • ช่วงออกดอก → ปุ๋ยอินทรีย์สูตร 12-24-12

  • ช่วงผลแก่ → ปุ๋ยอินทรีย์สูตร 13-13-21

🐛 การป้องกันแมลงและโรค

✅ ศัตรูพืชที่พบบ่อย:

  • เพลี้ยไฟ → ใช้น้ำหมักสมุนไพร (สะเดา + ข่า + ตะไคร้)

  • หนอนเจาะผล → ห่อผลด้วยถุงตาข่าย

  • โรครากเน่าและโคนเน่า → ปรับสภาพดินให้ระบายน้ำดี

6. ช่วงออกดอกของลองกองในรอบปี

✅ ช่วงออกดอก:

  • เริ่มออกดอกช่วง กุมภาพันธ์ – มีนาคม

  • ติดผลช่วง พฤษภาคม – มิถุนายน

  • เก็บเกี่ยวผลผลิตช่วง สิงหาคม – กันยายน

7. วิธีเร่งให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เทคนิคเร่งดอกและผลผลิต:

  1. กระตุ้นการออกดอกด้วยปุ๋ยอินทรีย์สูตร 8-24-24

  2. ลดการให้น้ำก่อนออกดอกประมาณ 1-2 สัปดาห์

  3. ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง เพิ่มการระบายอากาศ

8. ประเทศที่ไทยส่งออกลองกองมากที่สุด (เรียงตามปริมาณ)

✅ ตลาดส่งออกหลักของลองกองไทย:

  1. จีน → ตลาดใหญ่สุดของลองกองไทย

  2. มาเลเซีย → ตลาดใหญ่อันดับสอง

  3. สิงคโปร์ → ตลาดพรีเมียม

  4. เวียดนาม → ตลาดที่กำลังเติบโต

  5. ฮ่องกง → ตลาดพรีเมียม

🔥 สรุปสั้น ๆ:

  • พันธุ์ที่นิยม: ตันหยงมัส ได้รับความนิยมสูงสุด

  • อายุเก็บเกี่ยวเร็วสุด: ปลูกจากการต่อกิ่งประมาณ 4 ปี

  • ช่วงออกดอก: กุมภาพันธ์ – มีนาคม

  • ตลาดส่งออกหลัก: จีน เป็นผู้นำเข้าอันดับหนึ่ง

มะไฟ

21.) มะไฟรวม 41 คลิป 

เรื่องมะไฟ ผลไม้ไทย 🍋🌳

มะไฟเป็นผลไม้ท้องถิ่นของไทย มีรสหวานอมเปรี้ยว เนื้อฉ่ำ ขึ้นชื่อในเรื่องของรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ นิยมรับประทานสดและใช้ในการทำของหวาน หรือแปรรูปต่าง ๆ มะไฟปลูกมากใน ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ เช่น นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี ชลบุรี ตราด และยะลา

1. พันธุ์มะไฟที่มีในไทย และความนิยมในตลาด

มะไฟในไทยมี 3 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. มะไฟหวาน → รสชาติหวานหอม เป็นที่นิยมมากที่สุด

  2. มะไฟเปรี้ยว → รสชาติเปรี้ยวจัด ใช้ทำอาหารหรือแปรรูป

  3. มะไฟกะล่อน → รสชาติหวานอมเปรี้ยว เปลือกบาง ปอกง่าย

🍋 พันธุ์มะไฟที่นิยมปลูกในไทย

พันธุ์มะไฟลักษณะเด่นความนิยมในตลาด

มะไฟทองสุขรสหวานจัด เปลือกบาง เมล็ดเล็ก★★★★★ (นิยมมาก)

มะไฟน้ำผึ้งหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอม เปลือกบาง★★★★☆

มะไฟเปรี้ยวพันธุ์พื้นเมืองเปรี้ยวจัด เมล็ดเล็ก เปลือกหนา★★★☆☆

มะไฟกะล่อนหวานอมเปรี้ยว เนื้อนุ่ม เปลือกบาง★★★★☆

มะไฟป่ารสเปรี้ยวจัด เนื้อบาง เมล็ดใหญ่★★☆☆☆

✅ ความนิยมในตลาด:

  1. มะไฟทองสุข

  2. มะไฟน้ำผึ้ง

  3. มะไฟกะล่อน

  4. มะไฟเปรี้ยวพันธุ์พื้นเมือง

  5. มะไฟป่า

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

วิธีปลูกอายุเริ่มออกดอกอายุเริ่มเก็บเกี่ยว

เพาะเมล็ดประมาณ 5-7 ปีประมาณ 7-8 ปี

ต่อกิ่ง/ตอนกิ่ง/ติดตาประมาณ 3-4 ปีประมาณ 4-5 ปี

✅ ข้อแนะนำ:

  • หากต้องการให้ได้ผลเร็ว ควรใช้วิธีการ ตอนกิ่ง หรือ ติดตา

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูกมะไฟ

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสม:

  • ฤดูฝน → พฤษภาคม – กรกฎาคม

  • ควรหลีกเลี่ยงการปลูกในฤดูแล้งหรือฤดูหนาว เพราะต้นมะไฟต้องการความชื้นสูงในการเจริญเติบโต

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียว ระบายน้ำดี

  • มีอินทรียวัตถุสูง

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • ค่า pH 5.5 – 6.5

✅ สภาพอากาศที่เหมาะสม:

  • อุณหภูมิระหว่าง 25°C – 35°C

  • ต้องการแสงแดดจัดแต่มีร่มเงาบางส่วน

  • ความชื้นในอากาศสูง

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดินและการปลูก

  • ขุดหลุมปลูกขนาด 50 × 50 × 50 ซม.

  • รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก

  • เว้นระยะห่าง 4 – 5 เมตร

💧 การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ช่วงเช้าหรือเย็น

  • ช่วงติดผล → รดน้ำวันเว้นวัน

  • ช่วงออกดอก → งดให้น้ำ 1 – 2 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นการติดผล

🍀 การใส่ปุ๋ย (อินทรีย์)

✅ สูตรปุ๋ยอินทรีย์:

  • ช่วงเติบโต → ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก

  • ช่วงออกดอก → ปุ๋ยอินทรีย์สูตร 12-24-12

  • ช่วงผลแก่ → ปุ๋ยอินทรีย์สูตร 13-13-21

🐛 การป้องกันแมลงและโรค

✅ ศัตรูพืชที่พบบ่อย:

  • เพลี้ยไฟ → ใช้น้ำหมักสมุนไพร (สะเดา + ข่า + ตะไคร้)

  • หนอนเจาะผล → ห่อผลด้วยถุงตาข่าย

  • โรครากเน่าและโคนเน่า → ปรับสภาพดินให้ระบายน้ำดี

6. ช่วงออกดอกของมะไฟในรอบปี

✅ ช่วงออกดอก:

  • เริ่มออกดอกช่วง กุมภาพันธ์ – มีนาคม

  • ติดผลช่วง พฤษภาคม – มิถุนายน

  • เก็บเกี่ยวผลผลิตช่วง มิถุนายน – สิงหาคม

7. วิธีเร่งให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เทคนิคเร่งดอกและผลผลิต:

  1. กระตุ้นการออกดอกด้วยปุ๋ยอินทรีย์สูตร 8-24-24

  2. งดให้น้ำก่อนออกดอกประมาณ 1-2 สัปดาห์

  3. ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง เพิ่มการระบายอากาศ

  4. คลุมโคนต้นด้วยหญ้าแห้งหรือฟางข้าวเพื่อรักษาความชื้น

8. ประเทศที่ไทยส่งออกมะไฟมากที่สุด (เรียงตามปริมาณ)

✅ ตลาดส่งออกหลักของมะไฟไทย:

  1. จีน → ตลาดใหญ่สุดของมะไฟไทย

  2. มาเลเซีย → นิยมมะไฟหวาน

  3. สิงคโปร์ → ตลาดพรีเมียม

  4. เวียดนาม → ตลาดที่กำลังเติบโต

  5. ฮ่องกง → นิยมมะไฟพันธุ์หวาน

🔥 สรุปสั้น ๆ:

  • พันธุ์ที่นิยม: มะไฟทองสุข ได้รับความนิยมสูงสุด

  • อายุเก็บเกี่ยวเร็วสุด: ปลูกจากการต่อกิ่งประมาณ 4 ปี

  • ช่วงออกดอก: กุมภาพันธ์ – มีนาคม

  • ตลาดส่งออกหลัก: จีน เป็นผู้นำเข้าอันดับหนึ่ง

ลูกพรุน

22.) ลูกพรุน รวม 5 คลิป 

พลัม

23.) พลัม รวม 1 คลิป 

รื่องลูกพรุน (Prune) ในไทย 🍑✨

ลูกพรุน (Prune) คือ ผลแห้งของ ลูกพลัม (Plum) ซึ่งนำไปตากแห้งหรืออบแห้งจนมีเนื้อเหนียวและหวาน ในไทยยังไม่มีการปลูกลูกพรุนอย่างแพร่หลาย เนื่องจาก ลูกพลัม ต้องการสภาพอากาศเย็นในการเจริญเติบโต จึงไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย

👉 พื้นที่ที่เหมาะสมในการปลูกลูกพรุนในไทย คือ ภาคเหนือ และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บนพื้นที่สูง เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และเพชรบูรณ์

อย่างไรก็ตาม มีการทดลองปลูกลูกพลัมเพื่อนำไปแปรรูปเป็นลูกพรุนบ้างแล้วในบางพื้นที่ แต่ยังไม่มีปริมาณการผลิตในเชิงพาณิชย์ที่มากนัก

1. พันธุ์ลูกพรุนที่มีในไทย และความนิยมในตลาด

ลูกพรุนในไทยจริง ๆ แล้วไม่ได้ผลิตในปริมาณมาก ส่วนใหญ่เป็นลูกพรุนที่ นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น
✅ สหรัฐอเมริกา (แคลิฟอร์เนีย)
✅ ชิลี
✅ ออสเตรเลีย

🍑 พันธุ์ลูกพลัมที่สามารถนำมาแปรรูปเป็นลูกพรุนได้

  1. พันธุ์ Stanley → รสชาติหวาน เนื้อเหนียว สีม่วงเข้ม

  2. พันธุ์ Agen → เนื้อหวาน กลิ่นหอม เมล็ดเล็ก

  3. พันธุ์ Italian → รสหวานอมเปรี้ยว ขนาดผลใหญ่

  4. พันธุ์ President → รสหวาน เนื้อแน่น ผิวมัน

✅ ความนิยมในตลาด (ถ้านำมาแปรรูปในไทย):

  1. พันธุ์ Stanley

  2. พันธุ์ Agen

  3. พันธุ์ Italian

  4. พันธุ์ President

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

วิธีปลูกอายุเริ่มออกดอกอายุเริ่มเก็บเกี่ยว

เพาะเมล็ดประมาณ 3-5 ปีประมาณ 5-7 ปี

ต่อกิ่ง/ติดตาประมาณ 2-3 ปีประมาณ 3-4 ปี

ตอนกิ่งประมาณ 2-3 ปีประมาณ 3-4 ปี

✅ ข้อแนะนำ:

  • ควรปลูกโดยวิธี ต่อกิ่ง หรือ ติดตา เพื่อให้ได้ผลเร็ว

  • หากปลูกจากเมล็ด อาจใช้เวลานานกว่าจะติดผล

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูกลูกพลัมเพื่อทำลูกพรุน

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสม:

  • ฤดูหนาว → พฤศจิกายน – มกราคม

  • ลูกพลัมต้องการอุณหภูมิที่เย็นในช่วงออกดอก

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียว ระบายน้ำดี

  • มีอินทรียวัตถุสูง

  • หน้าดินลึกประมาณ 50-70 ซม.

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • ค่า pH ประมาณ 6.0 – 7.5

✅ สภาพอากาศที่เหมาะสม:

  • อุณหภูมิระหว่าง 15°C – 25°C

  • ต้องการอากาศเย็นในช่วงออกดอก

  • ต้องการแสงแดดอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดินและการปลูก

  • ขุดหลุมปลูกขนาด 50 × 50 × 50 ซม.

  • รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก

  • เว้นระยะห่าง 3 – 4 เมตร

💧 การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ในช่วงที่ปลูกใหม่

  • เมื่อเริ่มติดผล → รดน้ำวันเว้นวัน

  • หยุดให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยว 7-10 วัน เพื่อให้รสชาติหวานขึ้น

🍀 การใส่ปุ๋ย (อินทรีย์)

✅ สูตรปุ๋ยอินทรีย์:

  • ช่วงเจริญเติบโต → ปุ๋ยอินทรีย์สูตร 15-15-15

  • ช่วงออกดอก → ปุ๋ยอินทรีย์สูตร 8-24-24

  • ช่วงติดผล → ปุ๋ยอินทรีย์สูตร 13-13-21

🐛 การป้องกันแมลงและโรค

✅ ศัตรูพืชที่พบบ่อย:

  • เพลี้ยไฟ → ใช้น้ำหมักสมุนไพร (สะเดา + ข่า + ตะไคร้)

  • หนอนเจาะผล → ห่อผลด้วยถุงตาข่าย

  • โรครากเน่าและโคนเน่า → ปรับสภาพดินให้ระบายน้ำดี

  • เชื้อราในช่วงหน้าฝน → ใช้สารชีวภาพ เช่น น้ำส้มควันไม้

6. ช่วงออกดอกของลูกพลัม (สำหรับทำลูกพรุน)

✅ ช่วงออกดอก:

  • กุมภาพันธ์ – มีนาคม
    ✅ ช่วงติดผลและเก็บเกี่ยว:

  • พฤษภาคม – มิถุนายน

7. วิธีเร่งให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เทคนิคเร่งดอกและผลผลิต:

  1. ใช้ปุ๋ยอินทรีย์สูตร 8-24-24 ก่อนช่วงออกดอก

  2. ตัดแต่งกิ่งให้โปร่งเพื่อเพิ่มแสงแดดและการระบายอากาศ

  3. หยุดให้น้ำ 1 – 2 สัปดาห์ก่อนออกดอก

8. ประเทศที่ไทยส่งออกลูกพรุน (แห้ง) มากที่สุด

ลูกพรุนในไทยส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศมากกว่าส่งออก แต่ในอนาคตหากสามารถพัฒนาการปลูกได้ ก็อาจมีโอกาสส่งออกได้เช่นกัน

✅ ตลาดนำเข้าหลักในไทย:

  1. สหรัฐอเมริกา (แคลิฟอร์เนีย)

  2. ชิลี

  3. ออสเตรเลีย

✅ ตลาดส่งออกหลัก (ในอนาคต):

  • จีน → ตลาดใหญ่สำหรับผลไม้อบแห้ง

  • ญี่ปุ่น → นิยมบริโภคพรุนเพื่อสุขภาพ

  • เกาหลีใต้ → ความนิยมในพรุนเพื่อสุขภาพสูงขึ้น

ข้าวโพด

24.) ข้าวโพด รวม 11 คลิป 

เรื่องข้าวโพด (Corn) ในไทย 🌽

ข้าวโพด (Corn) เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายทั้งในรูปแบบ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ ข้าวโพดหวาน โดยมีการปลูกในแทบทุกภาคของประเทศ เนื่องจากข้าวโพดสามารถเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น

1. พันธุ์ข้าวโพดที่มีชื่อเสียงในไทย และความนิยมในตลาด

ข้าวโพดในไทยมีหลายพันธุ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่

🌽 1. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

✅ ปลูกมากที่สุดในไทย (70-80% ของพื้นที่ปลูกข้าวโพดทั้งหมด)
✅ ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์
✅ พันธุ์ยอดนิยมในตลาด:

  1. พันธุ์สุวรรณ 1 → ให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคดี

  2. พันธุ์สุวรรณ 2 → ต้นแข็งแรง ทนต่อสภาพอากาศร้อน

  3. พันธุ์นครสวรรค์ 1 → ทนแล้ง ให้ผลผลิตดี

🌽 2. ข้าวโพดหวาน (สำหรับบริโภคสด)

✅ นิยมปลูกเพื่อการบริโภคสด หรือแปรรูป (เช่น ข้าวโพดต้ม ข้าวโพดปิ้ง)
✅ พันธุ์ยอดนิยมในตลาด:

  1. พันธุ์ไฮบริกกาฬสินธุ์ 2 → รสหวานมาก เนื้อนุ่ม

  2. พันธุ์สุวรรณ 3 → หวานกรอบ สีเหลืองสวย

  3. พันธุ์ราชินีทับทิมสยาม → สีม่วงแดง รสหวาน

🌽 3. ข้าวโพดข้าวเหนียว

✅ รสชาติหวานมัน เนื้อเหนียว นุ่ม
✅ พันธุ์ยอดนิยมในตลาด:

  1. พันธุ์ข้าวเหนียวสุวรรณ 1 → เมล็ดสีขาว เนื้อนุ่ม

  2. พันธุ์ข้าวเหนียวเทียนหอม → สีขาวขุ่น หอม

  3. พันธุ์ข้าวเหนียวดำเชียงใหม่ → เมล็ดสีม่วงดำ เหนียวนุ่ม

🌟 ความนิยมในตลาด (เรียงตามประเภท):

  1. ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ → มีความต้องการสูงที่สุด

  2. ข้าวโพดหวาน → เป็นที่นิยมในตลาดบริโภคสด

  3. ข้าวโพดข้าวเหนียว → เป็นที่นิยมในตลาดเฉพาะกลุ่ม

2. อายุของการออกดอก ตั้งแต่การปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

ประเภทข้าวโพดอายุการออกดอก (วัน)อายุเก็บเกี่ยว (วัน)

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ประมาณ 45-50 วันประมาณ 90-100 วัน

ข้าวโพดหวานประมาณ 45-50 วันประมาณ 70-80 วัน

ข้าวโพดข้าวเหนียวประมาณ 40-45 วันประมาณ 65-75 วัน

✅ ข้อแนะนำ:

  • ข้าวโพดหวานและข้าวเหนียว → ควรเก็บเกี่ยวทันทีที่ครบกำหนด

  • ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ → รอให้แห้งสนิทในฝักก่อนเก็บ

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูก

✅ ข้าวโพดปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือ:

  • ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์:
    → ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม - มิถุนายน)
    → ปลายฤดูฝน (สิงหาคม - ตุลาคม)

  • ข้าวโพดหวาน/ข้าวเหนียว:
    → พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์ (อากาศเย็น รสชาติหวานดี)

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียว

  • ระบายน้ำได้ดี

  • มีอินทรียวัตถุสูง

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • ค่า pH ประมาณ 5.5 - 7.0

✅ อุณหภูมิที่เหมาะสม:

  • อุณหภูมิที่เหมาะสมในการปลูก: 20°C - 32°C

  • ข้าวโพดชอบแดดจัดและต้องการแสงแดดวันละ 6-8 ชั่วโมง

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดินและปลูก

  • ขุดหลุมปลูกขนาด 30 x 30 x 30 ซม.

  • เว้นระยะห่างระหว่างต้น 25-30 ซม.

  • เว้นระยะห่างระหว่างแถว 75-80 ซม.

💧 การให้น้ำ

✅ รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ในช่วงแรก
✅ เมื่อเริ่มออกดอก → ให้น้ำวันเว้นวัน
✅ หยุดให้น้ำ 5-7 วัน ก่อนเก็บเกี่ยว

🍀 การใส่ปุ๋ย (อินทรีย์)

✅ ปุ๋ยคอก (ขี้วัว/ขี้ไก่) → ช่วยบำรุงดิน
✅ น้ำหมักชีวภาพจากพืช เช่น หัวปลี หรือกากน้ำตาล
✅ ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 12-24-12

🐛 การป้องกันแมลงและโรค

✅ หนอนเจาะฝัก → ใช้สารชีวภาพ (เช่น น้ำหมักสมุนไพร)
✅ เพลี้ยไฟ → ใช้สารชีวภาพ เช่น น้ำส้มควันไม้
✅ โรคราน้ำค้าง → หมั่นตัดแต่งใบและระบายอากาศให้ดี

6. เดือนไหนที่เป็นช่วงออกดอก

✅ ช่วงออกดอก: 45-50 วัน หลังปลูก
✅ ข้าวโพดหวานและข้าวเหนียว → ออกดอก มกราคม - กุมภาพันธ์
✅ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ → ออกดอก กรกฎาคม - สิงหาคม

7. วิธีเร่งให้เก็บเกี่ยวก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ ปรับสูตรปุ๋ยเน้น โพแทสเซียม (K)
✅ ลดการให้น้ำหลังจากติดฝัก
✅ ตัดแต่งใบให้โปร่ง

8. ประเทศที่ไทยส่งออกข้าวโพดมากที่สุด

✅ ตลาดส่งออกหลักของไทย:

  1. ญี่ปุ่น → นิยมข้าวโพดหวานและข้าวโพดแปรรูป

  2. จีน → นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จำนวนมาก

  3. เกาหลีใต้ → นิยมข้าวโพดหวานในกระป๋อง

  4. มาเลเซีย → นำเข้าข้าวโพดหวานสดและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

✅ สรุปสั้น ๆ:

  • พันธุ์ยอดนิยม: สุวรรณ 1 (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์), ไฮบริกกาฬสินธุ์ 2 (ข้าวโพดหวาน)

  • ช่วงปลูกดีที่สุด: พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์

  • ตลาดส่งออกหลัก: จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้

เมลอน

25.) เมลอน รวม 4 คลิป 

เรื่องเมลอน (Melon) ในไทย 🍈

เมลอนเป็นผลไม้ตระกูลแตงที่มีรสชาติหวานฉ่ำ มีกลิ่นหอม และเนื้อสัมผัสนุ่ม มีความต้องการสูงทั้งในตลาดไทยและตลาดต่างประเทศ เมลอนที่ปลูกในไทยมีการพัฒนาสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีเมลอนหลายสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในตลาด

1. พันธุ์เมลอนที่มีชื่อเสียงในไทย และความนิยมในตลาด

ในไทยมีเมลอนสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยม ดังนี้

ลำดับพันธุ์เมลอนลักษณะเด่นดินที่เหมาะสมความนิยมในตลาด

1️⃣พันธุ์ฮันนี่ดิว (Honey Dew)รสชาติหวาน หอม เนื้อฉ่ำ เปลือกเขียวอ่อนดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี⭐⭐⭐⭐⭐

2️⃣พันธุ์แคนตาลูป (Cantaloupe)รสชาติหวานอมเปรี้ยว กลิ่นหอม เนื้อสีส้มดินร่วนปนทราย มีค่า pH 6.0-6.5⭐⭐⭐⭐⭐

3️⃣พันธุ์กรีนเน็ต (Green Net)รสหวาน เปลือกมีลายตาข่าย เนื้อสีเขียวอ่อนดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี⭐⭐⭐⭐

4️⃣พันธุ์เยลโลว์เมลอน (Yellow Melon)รสชาติหวาน เปลือกสีเหลืองสด เนื้อสีขาวครีมดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี⭐⭐⭐

5️⃣พันธุ์ออร์เรนจ์เน็ต (Orange Net)รสชาติหวาน เนื้อสีส้ม เปลือกมีลายตาข่ายชัดเจนดินร่วนปนทราย มีความชื้นพอเหมาะ⭐⭐⭐

2. อายุของการออกดอก ตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

วิธีปลูกอายุออกดอก (วัน)อายุเก็บเกี่ยว (วัน)

เพาะเมล็ดประมาณ 30-35 วันประมาณ 65-75 วัน

ปลูกด้วยการตอนกิ่งประมาณ 25-30 วันประมาณ 60-70 วัน

✅ เมลอนจะออกดอกเมื่ออายุประมาณ 30-35 วัน หลังปลูก
✅ สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 60-75 วัน หลังปลูก

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูก

✅ ช่วงที่เหมาะสม: พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ (อากาศเย็น)
✅ หลีกเลี่ยงการปลูกในฤดูฝนเพราะมีความชื้นสูง อาจทำให้ผลเน่าได้

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี
✅ ค่า pH ที่เหมาะสม: 5.8 – 7.0
✅ ดินต้องมีอินทรียวัตถุสูง
✅ มีการระบายน้ำที่ดี ไม่ให้มีน้ำขัง

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดิน

✅ ขุดดินลึกประมาณ 30 เซนติเมตร
✅ รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกผสมปุ๋ยหมัก
✅ ระยะปลูกระหว่างต้น 50-60 เซนติเมตร

💧 การให้น้ำ

✅ ให้น้ำวันละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น
✅ เมื่อติดผลแล้ว ลดการให้น้ำเพื่อให้รสชาติหวานขึ้น

🍀 การใส่ปุ๋ย (อินทรีย์)

✅ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยคอก เพื่อบำรุงต้นและดอก
✅ เมื่อติดผล → ใส่ปุ๋ยสูตร 12-24-12 เพื่อบำรุงผล
✅ ช่วงติดผล → ใส่ปุ๋ยหมักเพื่อเพิ่มความหวาน

🐛 การป้องกันและกำจัดแมลงและเชื้อรา (ไม่ใช้สารเคมี)

✅ แมลงศัตรูพืช

  • เพลี้ยไฟ → ใช้น้ำส้มควันไม้

  • หนอนเจาะผล → ห่อผลด้วยถุงตาข่าย

✅ โรคเชื้อรา

  • ใบจุด → ใช้น้ำหมักจากกระเทียมและพริกขี้หนู

  • รากเน่า → ใช้น้ำหมักข่าและตะไคร้

6. เดือนไหนที่เป็นช่วงออกดอก

✅ ช่วงออกดอก: ปลายเดือนธันวาคม – มกราคม
✅ ช่วงเก็บเกี่ยว: กุมภาพันธ์ – มีนาคม

7. วิธีทำให้เก็บผลก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เร่งการออกดอกและติดผล

  • ลดน้ำในช่วงติดผลเพื่อเพิ่มความหวาน

  • ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง เพื่อให้แสงแดดส่องถึง

  • ใช้ปุ๋ยชีวภาพและน้ำหมักเพื่อเร่งการเจริญเติบโต

✅ บังคับให้เก็บผลก่อนฤดู

  • ควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนให้อยู่ที่ 25-28 องศาเซลเซียส

  • ลดปริมาณน้ำก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 5-7 วัน

8. ประเทศที่ไทยส่งออกเมลอนมากที่สุด

✅ ประเทศที่ส่งออกเมลอนไทยมากที่สุด (เรียงตามปริมาณ):

  1. ญี่ปุ่น → นิยมเมลอนพันธุ์แคนตาลูป และฮันนี่ดิว

  2. เกาหลีใต้ → นิยมพันธุ์แคนตาลูป และกรีนเน็ต

  3. จีน → นิยมพันธุ์เยลโลว์เมลอน

  4. สิงคโปร์ → นิยมพันธุ์ออร์เรนจ์เน็ต

  5. ไต้หวัน → นิยมพันธุ์แคนตาลูป

✅ ปริมาณการส่งออก:

  • ญี่ปุ่น → ประมาณ 40% ของผลผลิตส่งออก

  • เกาหลีใต้ → ประมาณ 25% ของผลผลิตส่งออก

  • จีน → ประมาณ 20% ของผลผลิตส่งออก

✅ สรุปสั้น ๆ:

  • พันธุ์ยอดนิยม: แคนตาลูป และ ฮันนี่ดิว

  • ช่วงปลูกดีที่สุด: พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์

  • ตลาดส่งออกหลัก: ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน

  • เทคนิคปลูก: ควบคุมอุณหภูมิ, ลดน้ำก่อนเก็บเกี่ยว, ห่อผลเพื่อป้องกันแมลง

ส้มโอ

26.) ส้มโอ รวม 23 คลิป 

เรื่องส้มโอ (Pomelo) ในไทย 🍊

ส้มโอเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงของไทย มีรสชาติหลากหลาย ทั้งหวานอมเปรี้ยว หวานจัด และขมเล็กน้อย เป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมในตลาดไทยและตลาดต่างประเทศ ส้มโอไทยขึ้นชื่อเรื่องรสชาติและคุณภาพ ทำให้มีศักยภาพในการส่งออกสูง

1. พันธุ์ส้มโอที่มีชื่อเสียงในไทย และความนิยมในตลาด

ส้มโอในไทยมีหลายสายพันธุ์ แต่ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมในตลาด มีดังนี้

ลำดับพันธุ์ส้มโอแหล่งปลูกหลักลักษณะเด่นความนิยมในตลาด

1️⃣พันธุ์ขาวแตงกวานครปฐม, นครศรีธรรมราชเปลือกบาง น้ำหนักดี รสหวานอมเปรี้ยว⭐⭐⭐⭐⭐

2️⃣พันธุ์ขาวน้ำผึ้งนครปฐม, สุพรรณบุรีเปลือกบาง รสหวาน หอมฉ่ำ⭐⭐⭐⭐

3️⃣พันธุ์ทองดีนครศรีธรรมราช, ชัยนาทเปลือกหนาปานกลาง รสหวานอมเปรี้ยว เนื้อนุ่ม⭐⭐⭐⭐

4️⃣พันธุ์ขาวใหญ่ปทุมธานี, นครศรีธรรมราชเปลือกหนา รสหวาน อมเปรี้ยวเล็กน้อย⭐⭐⭐

5️⃣พันธุ์ขาวพวงปทุมธานี, นครศรีธรรมราชเปลือกบาง รสหวานกรอบ⭐⭐⭐

🌱 ดินที่เหมาะกับการปลูกส้มโอแต่ละพันธุ์

✅ ดินร่วนซุยหรือดินร่วนปนทราย
✅ มีความชื้นพอเหมาะ ระบายน้ำได้ดี
✅ ดินต้องมีอินทรียวัตถุสูง

2. อายุของการออกดอก ตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว

วิธีปลูกอายุออกดอก (ปี)อายุเก็บเกี่ยว (ปี)

เพาะเมล็ดประมาณ 5-7 ปีประมาณ 7-10 ปี

ตอนกิ่ง/ติดตา/ต่อกิ่งประมาณ 2-3 ปีประมาณ 3-4 ปี

✅ ถ้าปลูกจากกิ่งตอนหรือติดตา → ออกผลได้เร็วกว่า
✅ ถ้าปลูกจากเมล็ด → ต้นแข็งแรงกว่า แต่ใช้เวลานานกว่า

3. เดือนไหนของปีที่เหมาะแก่การปลูก

✅ ฤดูฝน → ปลูกช่วง พฤษภาคม - มิถุนายน
✅ ช่วงต้นฝน → มีความชื้นสูง เหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นอ่อน

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินร่วนปนทราย หรือ ดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี
✅ ดินมีอินทรียวัตถุสูง เช่น ใบไม้ผุ ขี้วัว ขี้ไก่ ฯลฯ
✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • pH 5.5 - 6.5 (เป็นกรดอ่อน ๆ)

✅ ระดับน้ำใต้ดิน

  • ควรอยู่ลึกประมาณ 50-100 เซนติเมตร

5. เทคนิคในการปลูกและบำรุงรักษา

🌱 การเตรียมดินและปลูก

✅ ขุดหลุมขนาด 50 x 50 x 50 เซนติเมตร
✅ รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกผสมปุ๋ยหมัก
✅ เว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 4 x 4 เมตร

💧 การให้น้ำ

✅ ให้น้ำวันละ 1-2 ครั้ง ในช่วง 3 เดือนแรก
✅ หลังจากนั้นให้น้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
✅ งดให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 10 วัน เพื่อเพิ่มความหวาน

🍀 การใส่ปุ๋ย (อินทรีย์)

✅ ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ทุกๆ 2-3 เดือน
✅ ใส่ปุ๋ยชีวภาพ หรือปุ๋ยน้ำหมัก เพื่อบำรุงดอกและผล

🐛 การป้องกันและกำจัดแมลงและเชื้อรา (ไม่ใช้สารเคมี)

✅ แมลงศัตรูพืช → ใช้น้ำส้มควันไม้ หรือสารชีวภาพ
✅ หนอนเจาะผล → ห่อผลด้วยถุงตาข่าย
✅ เชื้อราในดิน → โรยปูนขาวก่อนปลูก

6. เดือนไหนที่เป็นช่วงออกดอก

✅ ออกดอกช่วง มกราคม - มีนาคม
✅ ติดผลช่วง เมษายน - มิถุนายน
✅ เก็บเกี่ยวได้ช่วง กรกฎาคม - ตุลาคม

7. วิธีทำให้เก็บผลก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

✅ เร่งการออกดอกและติดผล

  • ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง

  • ให้น้ำสม่ำเสมอในช่วงติดผล

  • ให้ปุ๋ยสูตรเร่งดอก เช่น 12-24-12

✅ บังคับให้เก็บผลก่อนฤดู

  • ลดการให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 10-14 วัน

  • ห่อผลเพื่อป้องกันแมลงและเพิ่มคุณภาพผิว

8. ประเทศที่ไทยส่งออกส้มโอมากที่สุด

✅ ประเทศที่ส่งออกส้มโอไทยมากที่สุด (เรียงตามปริมาณ):

  1. จีน → ส้มโอพันธุ์ขาวแตงกวา และขาวน้ำผึ้ง

  2. ฮ่องกง → นิยมพันธุ์ขาวแตงกวา และทองดี

  3. ญี่ปุ่น → นิยมพันธุ์ขาวน้ำผึ้ง

  4. สหรัฐอเมริกา → นิยมพันธุ์ขาวแตงกวา

  5. สิงคโปร์ → นิยมพันธุ์ขาวพวง

✅ ปริมาณการส่งออก

  • จีน → ประมาณ 60% ของผลผลิตส่งออกทั้งหมด

  • ฮ่องกง → ประมาณ 15% ของผลผลิตส่งออกทั้งหมด

  • ญี่ปุ่น → ประมาณ 10% ของผลผลิตส่งออกทั้งหมด

✅ สรุปสั้น ๆ:

  • พันธุ์ยอดนิยม: ขาวแตงกวา และ ขาวน้ำผึ้ง

  • ช่วงปลูกดีที่สุด: พฤษภาคม - มิถุนายน

  • ตลาดส่งออกหลัก: จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น

  • เทคนิคปลูก: ใช้ปุ๋ยอินทรีย์, ห่อผล, ลดน้ำก่อนเก็บเกี่ยว , ห่อผลเพื่อป้องกันแมลง

สตรอเบอร์รี่

27.) สตรอว์เบอร์รี รวม 30 คลิป 

สตรอว์เบอร์รี เป็นผลไม้ที่มีศักยภาพสูงในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอากาศเย็น เช่น ทางภาคเหนือของประเทศ รายละเอียดเกี่ยวกับการปลูกและดูแลมีดังนี้:

🌸 1. พันธุ์สตรอว์เบอร์รีที่มีชื่อเสียงในไทย

พันธุ์สตรอว์เบอร์รีในไทยมีหลายพันธุ์ที่นิยมปลูก เรียงตามความนิยมของตลาดได้ดังนี้:

  1. พันธุ์พระราชทาน 80 – เป็นพันธุ์ที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากผลใหญ่ หวาน หอม

  2. พันธุ์พระราชทาน 50 – ทนต่อโรค ผลดก ขนาดผลปานกลาง รสหวานอมเปรี้ยว

  3. พันธุ์พระราชทาน 72 – ผลขนาดใหญ่ รสหวานอมเปรี้ยว มีความทนทานสูง

  4. พันธุ์พระราชทาน 16 – ทนต่อโรค ผลขนาดเล็ก แต่รสชาติหวานหอม

  5. พันธุ์จากต่างประเทศ (เช่น พันธุ์ Albion, Sweet Charlie, Chandler) – ให้ผลผลิตดีและมีรสชาติหวาน

✅ ดินที่เหมาะสม

  • ดินร่วนปนทราย มีอินทรียวัตถุสูง

  • ระบายน้ำดี ไม่ท่วมขัง

  • ดินมีความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 5.5 - 6.5

✅ สภาพอากาศที่เหมาะสม

  • อุณหภูมิระหว่าง 15 - 25°C

  • ต้องการแสงแดดประมาณ 6 - 8 ชั่วโมง/วัน

  • พื้นที่ที่มีอากาศเย็น เช่น เชียงใหม่ เชียงราย เพชรบูรณ์

🌼 2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • จากเพาะเมล็ด – ประมาณ 8 - 12 เดือน

  • จากการต่อกิ่ง/การติดตา – ประมาณ 3 - 4 เดือน

  • ระยะเวลาเก็บเกี่ยวหลังออกดอกประมาณ 30 - 40 วัน

🍂 3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • เหมาะสมที่สุดในช่วง ตุลาคม - พฤศจิกายน เพื่อเก็บเกี่ยวในช่วงต้นปี

🌱 4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

  • ดินร่วนปนทราย

  • ค่า pH ประมาณ 5.5 - 6.5

  • ต้องมีการระบายน้ำที่ดี

🌾 5. เทคนิคในการปลูกและดูแล

✅ การบำรุงรักษา

  • ปลูกแบบแถวเดี่ยวหรือแถวคู่

  • คลุมดินด้วยฟางข้าวหรือพลาสติกดำ เพื่อลดการเติบโตของวัชพืช

✅ การให้ปุ๋ย (อินทรีย์)

  • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักทุกๆ 15 วัน

  • ใช้ปุ๋ยอินทรีย์สูตร 15-15-15 เสริมแคลเซียมและแมกนีเซียม

✅ การรดน้ำ

  • รดน้ำวันละ 1 - 2 ครั้ง โดยใช้ระบบน้ำหยด

✅ การกำจัดแมลงและเชื้อรา

  • ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น น้ำหมักสมุนไพร หรือ สารชีวภาพ

  • ปลูกพืชสมุนไพร เช่น โหระพา ตะไคร้ รอบแปลง เพื่อป้องกันแมลงศัตรูพืช

🌸 6. ช่วงออกดอก

  • ช่วงที่อากาศเย็น ประมาณ พฤศจิกายน - กุมภาพันธ์

🍓 7. วิธีเร่งการเก็บเกี่ยวก่อนฤดูกาล

  • ให้แสงเสริมด้วยหลอดไฟ LED สีแดง 6 - 8 ชั่วโมงต่อวัน

  • ใช้ฮอร์โมนพืชจากธรรมชาติ เช่น น้ำมะพร้าว หรือ น้ำหมักผลไม้

🌍 8. ประเทศที่ไทยส่งออกสตรอว์เบอร์รี

เรียงตามปริมาณการส่งออก:

  1. ญี่ปุ่น – ความต้องการสูง รสชาติหวาน

  2. จีน – ตลาดใหญ่ มีกำลังซื้อสูง

  3. เกาหลีใต้ – ความนิยมสูงในตลาดขนมและของหวาน

  4. สิงคโปร์ – ตลาดระดับพรีเมียม

  5. ฮ่องกง – นิยมสตรอว์เบอร์รีสดและแปรรูป

แก้วม้งกร

28.) แก้วมังกรรวม 14 คลิป 

🌵 แก้วมังกรในไทย

  1. พันธุ์แก้วมังกรที่มีในไทยและความนิยมในตลาด
    แก้วมังกรในไทยมี 3 พันธุ์หลักที่ได้รับความนิยม ได้แก่:

    • พันธุ์เนื้อขาว (Hylocereus undatus) – เปลือกสีแดง เนื้อขาว รสหวานอมเปรี้ยว ได้รับความนิยมมากในไทยและตลาดต่างประเทศ

    • พันธุ์เนื้อแดง (Hylocereus costaricensis) – เปลือกสีแดง เนื้อแดงเข้ม รสหวาน หอม กลิ่นชัดเจน นิยมในตลาดพรีเมียม

    • พันธุ์เนื้อเหลือง (Selenicereus megalanthus) – เปลือกสีเหลือง เนื้อขาว มีเมล็ดสีดำ รสหวาน นิยมในตลาดต่างประเทศ เช่น จีนและยุโรป

  2. อายุของการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

    • ปลูกจากเมล็ด: ใช้เวลา 18–24 เดือน จึงจะเริ่มออกดอกและติดผล

    • ปลูกจากการปักชำ (นิยมใช้มาก): ใช้เวลา 6–12 เดือน จึงจะออกดอกและติดผล

    • เมื่อออกดอกแล้ว จะใช้เวลาประมาณ 30–40 วัน ผลจะสุกพร้อมเก็บเกี่ยว

  3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

    • เหมาะสมที่สุดในช่วงต้นฤดูฝน (ประมาณ พฤษภาคม – กรกฎาคม)

    • สามารถปลูกได้ตลอดปีในพื้นที่ที่มีน้ำเพียงพอและแดดจัด

  4. ดินและค่า pH ที่เหมาะสม

    • ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี

    • ค่า pH อยู่ที่ 5.5–7.0

    • ดินควรมีอินทรียวัตถุสูง เช่น ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก

  5. เทคนิคการปลูกและดูแลแบบอินทรีย์
    ✅ การเตรียมดิน:

    • ขุดหลุมลึกประมาณ 30–50 ซม. ผสมดินกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
      ✅ การใส่ปุ๋ย:

    • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยมูลวัว มูลไก่ และน้ำหมักชีวภาพ ทุกๆ 2 สัปดาห์
      ✅ การให้น้ำ:

    • ให้น้ำวันเว้นวันในช่วงแล้ง แต่ไม่ควรให้น้ำขัง
      ✅ การกำจัดศัตรูพืช:

    • เพลี้ยไฟ: ใช้สารสกัดจากสะเดา หรือน้ำส้มควันไม้

    • เชื้อรา: ใช้น้ำหมักจุลินทรีย์ EM หรือไตรโคเดอร์มา

  6. ช่วงออกดอก

    • ออกดอกมากในช่วง เมษายน – ตุลาคม

    • บางพื้นที่ที่มีการดูแลดี อาจออกดอกได้ตลอดปี

  7. การเร่งการออกดอกและเก็บเกี่ยวก่อนฤดู

    • กระตุ้นด้วย การให้ปุ๋ยโพแทสเซียมสูง (เช่น 0-0-50)

    • รดน้ำให้ชุ่มในช่วงแห้งแล้ง เพื่อกระตุ้นให้ต้นออกดอกเร็วขึ้น

  8. ประเทศที่ไทยส่งออกไป (เรียงตามปริมาณ)

    1. จีน – ตลาดใหญ่ที่สุด

    2. เวียดนาม – ส่งออกในปริมาณมาก

    3. ฮ่องกง

    4. สิงคโปร์

    5. มาเลเซีย

    6. สหรัฐอเมริกา – ตลาดพรีเมียม

    7. ยุโรป (เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์)

🍀 สรุป: แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่ปลูกง่ายในไทย หากดูแลเรื่องดิน น้ำ และแสงแดดอย่างเหมาะสม จะให้ผลผลิตที่มีคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดสูง 🥰

มะขามเทศ

29.) มะขามเทศ รวม 20 คลิป 

1. พันธุ์มะขามเทศที่มีในไทยและความนิยมในตลาด

มะขามเทศในไทยแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ตามขนาดและรสชาติ:

  • พันธุ์ฝักใหญ่ (รสหวาน) → เป็นที่นิยมมากในตลาดเพราะรับประทานสดง่าย รสหวาน ไม่ติดเปรี้ยว

    • ✅ มะขามเทศพันธุ์ฝักใหญ่ศรีสะเกษ

    • ✅ มะขามเทศพันธุ์หวานเพชรบูรณ์

    • ✅ มะขามเทศพันธุ์บ้านแพ้ว

  • พันธุ์ฝักเล็ก (รสเปรี้ยว) → นิยมนำไปทำเป็นอาหารหรือแปรรูป เช่น มะขามเทศดอง

    • ✅ มะขามเทศเปรี้ยวลพบุรี

    • ✅ มะขามเทศเปรี้ยวปราจีนบุรี

2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

วิธีปลูกอายุเริ่มออกดอกเก็บเกี่ยวได้เมื่อไร

เพาะเมล็ด3–5 ปี5–6 เดือนหลังออกดอก

ต่อกิ่ง / ติดตา1.5–2 ปี5–6 เดือนหลังออกดอก

ตอนกิ่ง2 ปี5–6 เดือนหลังออกดอก

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • ช่วง ปลายฤดูฝน → เดือน กันยายน - ตุลาคม จะช่วยให้ต้นเติบโตดีจากความชื้นในดิน

  • หลีกเลี่ยงช่วงฤดูแล้งและฝนตกหนักเกินไป

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

  • ดินที่เหมาะสม: ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี

  • ค่า pH: 5.5 – 7.0

  • สภาพอากาศ: อากาศร้อนชื้น อุณหภูมิระหว่าง 25–35°C

5. เทคนิคในการปลูกและดูแล

✅ ปลูกและบำรุง:

  • เตรียมดินโดยผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักก่อนปลูก

  • ปลูกในหลุมลึกประมาณ 30–50 ซม. เว้นระยะห่างต้นละ 3–5 เมตร

  • ให้ปุ๋ยอินทรีย์ทุก 2–3 เดือน เช่น ปุ๋ยมูลไก่ มูลวัว

  • พรวนดินรอบโคนต้นทุก 3 เดือน

✅ ให้น้ำ:

  • ให้น้ำวันละ 1–2 ครั้งในช่วงเช้าและเย็น

  • ช่วงติดผลให้น้ำสม่ำเสมอเพื่อให้ผลโตและหวาน

✅ การป้องกันและกำจัดแมลงและโรค:

  • ศัตรูสำคัญ:

    • เพลี้ยแป้ง, หนอนเจาะฝัก → ใช้น้ำหมักชีวภาพ (เช่น น้ำหมักสะเดา หรือน้ำส้มควันไม้)

    • เชื้อรา → ใช้สารชีวภาพ เช่น ไตรโคเดอร์มา ฉีดพ่นสม่ำเสมอ

6. ช่วงออกดอก

  • ออกดอกในช่วง เดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม

  • ติดผลและเก็บเกี่ยวในช่วง เดือนเมษายน – พฤษภาคม

7. วิธีเร่งการออกดอกและติดผลก่อนฤดู

  • ใช้ ปุ๋ยอินทรีย์สูตรเร่งดอก (เช่น ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยน้ำหมักปลา)

  • งดให้น้ำก่อนออกดอกประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นการออกดอก

  • พ่นน้ำหมักจากสะเดาหรือหางไหลแดงช่วยกระตุ้นการออกดอก

8. ประเทศที่ไทยส่งออกมะขามเทศ

ประเทศผู้นำเข้าปริมาณส่งออก (ตัน/ปี)หมายเหตุ

จีนสูงสุดส่งออกในรูปผลสดและแปรรูป

เวียดนามสูงส่งออกในรูปผลสด

มาเลเซียปานกลางส่งออกในรูปผลสดและแปรรูป

สิงคโปร์ปานกลางส่งออกในรูปผลสดและแปรรูป

ญี่ปุ่นต่ำส่งออกในรูปผลแปรรูป เช่น มะขามเทศดอง

มะขามหวาน

30.) มะขามหวาน รวม 22 คลิป 

1. พันธุ์มะขามหวานที่มีชื่อเสียงในไทย

มะขามหวานในไทยมีหลายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่ได้รับความนิยมในตลาด ได้แก่:
✅ พันธุ์สีทอง – ฝักใหญ่ เปลือกบาง เนื้อหวานแน่น รสชาติดี เป็นที่นิยมมากที่สุดในตลาด
✅ พันธุ์ศรีชมภู – ฝักยาว เปลือกบาง เนื้อเยอะ หวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคที่ชอบรสหวานปนเปรี้ยว
✅ พันธุ์ประกายทอง – ฝักขนาดกลาง เปลือกหนากว่าเล็กน้อย รสหวานอมเปรี้ยว นิยมปลูกในภาคอีสาน
✅ พันธุ์เพชรโพธิ์งาม – ฝักสั้น เนื้อเยอะ รสหวานละมุน เปลือกบาง
✅ พันธุ์อินทผลัมหวาน – ฝักยาวมาก เนื้อหนา รสหวานจัด เป็นพันธุ์ส่งออก

2. อายุของการออกดอกและเก็บเกี่ยว

  • การเพาะเมล็ด:

    • เริ่มออกดอกเมื่อมีอายุ 5-6 ปี

    • เก็บเกี่ยวผลได้เมื่ออายุประมาณ 7-8 ปี

  • การต่อกิ่ง/การตอน/การติดตา:

    • เริ่มออกดอกหลังปลูกประมาณ 2-3 ปี

    • เก็บเกี่ยวผลได้ในปีที่ 3-4

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

✅ ช่วงต้นฤดูฝน (เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม) เหมาะสำหรับการปลูกเพราะดินมีความชื้นสูงและมีน้ำเพียงพอ

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนเหนียว ระบายน้ำได้ดี

  • ค่า pH ที่เหมาะสม: 5.5 – 6.5

  • ดินต้องมีธาตุอาหารเพียงพอ เช่น ไนโตรเจน (N), ฟอสฟอรัส (P), และโพแทสเซียม (K)

5. เทคนิคการปลูกและดูแล (แบบไม่ใช้สารเคมี)

✅ การเตรียมดิน:

  • ไถพรวนดินให้ลึกประมาณ 30-40 ซม.

  • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองก้นหลุมก่อนปลูก

  • เว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 6-8 เมตร

✅ การบำรุง:

  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมัก ทุก 3 เดือน

  • หลังติดผล ควรเสริมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักที่มี โพแทสเซียมสูง

✅ การให้น้ำ:

  • รดน้ำสม่ำเสมอในช่วง 3 เดือนแรก หลังจากนั้นให้น้ำ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

  • หยุดให้น้ำเมื่อเริ่มติดผล เพื่อให้รสชาติหวานเข้มข้น

✅ การจัดการแมลงและโรค:

  • แมลงศัตรูสำคัญ:

    • หนอนเจาะฝัก – ใช้สารสกัดสะเดาหรือบอระเพ็ดพ่น

    • เพลี้ยไฟ – ใช้น้ำหมักชีวภาพหรือสารสกัดพริกขี้หนูและกระเทียม

  • โรคสำคัญ:

    • โรครากเน่าโคนเน่า – ใช้ไตรโคเดอร์มาในดินเพื่อป้องกัน

    • โรคแอนแทรคโนส – ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง ลดความชื้นในต้น

6. ช่วงเวลาออกดอกและติดผล

✅ ออกดอกช่วง เดือนมีนาคม – พฤษภาคม
✅ ติดผลช่วง เดือนสิงหาคม – ตุลาคม

7. การกระตุ้นให้ออกผลก่อนฤดู

  • งดให้น้ำประมาณ 1 เดือน ก่อนช่วงออกดอก

  • เมื่อต้นเริ่มแตกใบใหม่ ให้รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ

  • ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มี ฟอสฟอรัสสูง เพื่อกระตุ้นการออกดอก

8. ประเทศที่ไทยส่งออกมะขามหวาน

✅ จีน – ผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุด
✅ ฮ่องกง
✅ ไต้หวัน
✅ เวียดนาม
✅ มาเลเซีย
✅ สิงคโปร์
✅ สหรัฐอเมริกา – ส่งออกในรูปแบบแปรรูป เช่น มะขามแช่อิ่ม มะขามเปียก

มะขามแดง

31.) มะขามแดง รวม 20 คลิป 

มะขามแดงเป็นสายพันธุ์ของมะขามที่มีเนื้อในสีแดง แตกต่างจากมะขามทั่วไปที่มีเนื้อสีน้ำตาล มะขามแดงมีสรรพคุณทางสมุนไพรและกำลังได้รับความสนใจจากเกษตรกรไทย

naewna.com

1. พันธุ์มะขามแดงที่มีชื่อเสียงในไทยและความนิยมในตลาด

ข้อมูลเกี่ยวกับพันธุ์มะขามแดงที่มีชื่อเสียงในไทยยังมีจำกัด อย่างไรก็ตาม มีการกล่าวถึง "มะขามแดงสยาม" ซึ่งเป็นสายพันธุ์มะขามเปรี้ยวที่มีเนื้อสีแดงสดและกำลังได้รับความสนใจจากเกษตรกร

facebook.com

เนื่องจากมะขามแดงยังเป็นพืชที่ไม่แพร่หลายในตลาดทั่วไป การจัดอันดับความนิยมของพันธุ์ต่าง ๆ จึงยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน

2. อายุการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

  • การปลูกจากเมล็ด: มะขามที่ปลูกจากเมล็ดจะใช้เวลาประมาณ 5-6 ปีในการเริ่มออกดอกและติดผล

  • การปลูกจากการตอนกิ่งหรือการติดตา: จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปีในการเริ่มออกดอกและติดผล

หลังจากออกดอก มะขามจะใช้เวลาประมาณ 8-10 เดือนในการพัฒนาผลจนสุกพร้อมเก็บเกี่ยว

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

การปลูกมะขามควรเริ่มในช่วงต้นฤดูฝน เพื่อให้ต้นกล้าได้รับน้ำเพียงพอและเจริญเติบโตได้ดี

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

มะขามเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5.5-6.5

5. เทคนิคการปลูก บำรุง การกำจัดแมลงและเชื้อราโดยไม่ใช้สารเคมี

  • การปลูกและบำรุง: ควรปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดเพียงพอ หลีกเลี่ยงพื้นที่น้ำขัง การใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดิน

  • การกำจัดแมลงและเชื้อราโดยไม่ใช้สารเคมี: ใช้วิธีการปลูกพืชหมุนเวียน การใช้สารสกัดจากพืช เช่น น้ำส้มควันไม้ หรือสารสกัดสะเดา เพื่อป้องกันและกำจัดแมลงและเชื้อรา

6. ช่วงเวลาการออกดอก

มะขามมักออกดอกในช่วงปลายฤดูแล้งถึงต้นฤดูฝน (ประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม)

7. วิธีการทำให้เก็บผลก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

การควบคุมปริมาณน้ำและการตัดแต่งกิ่งสามารถกระตุ้นการออกดอกนอกฤดูได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ต้องทำด้วยความระมัดระวังและควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

8. ประเทศที่ไทยส่งออกมะขาม เรียงตามปริมาณการส่งออก

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคม – ตุลาคม 2566 ไทยส่งออกมะขามไปยังตลาดสหรัฐฯ เป็นมูลค่าประมาณ 36.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดมะขามไทยในสหรัฐฯ ทั้งหมด

ditp.go.th

ดินที่เหมาะสมสำหรับแต่ละพันธุ์ควรมีลักษณะดังนี้:

  • ดินร่วนซุย หรือดินร่วนปนทราย

  • ระบายน้ำได้ดี มีความชื้นพอเหมาะ

  • ค่า pH ประมาณ 6.0–7.0

2.) อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูก

  • เพาะเมล็ด → ใช้เวลาออกดอกประมาณ 5–6 ปี

  • ต่อกิ่ง/การตอน/การติดตา → ใช้เวลาออกดอกประมาณ 2–3 ปี

3.) ช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การปลูก

  • ควรปลูกในช่วง ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม - มิถุนายน)

  • หลีกเลี่ยงการปลูกในช่วงฤดูแล้งเพราะดินจะแห้งและต้นอ่อนอาจขาดน้ำ

4.) คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

  • ดินร่วนซุยหรือดินร่วนปนทราย

  • ระบายน้ำได้ดี ไม่ควรมีน้ำขัง

  • ค่า pH ที่เหมาะสม 6.0–7.0

  • อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 25–35°C

5.) เทคนิคการปลูกและบำรุง

✅ การปลูก

  • ขุดหลุมลึกประมาณ 50x50 ซม.

  • รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก (เช่น มูลวัวหรือมูลไก่)

  • ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 4–5 เมตร

✅ การบำรุง

  • ให้น้ำสม่ำเสมอในช่วงเช้าและเย็น วันละ 1 ครั้ง

  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยมูลไส้เดือน ปุ๋ยคอก ทุกๆ 2 เดือน

  • ให้ปุ๋ยหมักที่มีฟอสฟอรัสสูงเพื่อส่งเสริมการออกดอก

✅ การกำจัดแมลงและเชื้อราโดยไม่ใช้สารเคมี

  • ใช้น้ำหมักชีวภาพ (เช่น น้ำหมักจากสะเดา, ตะไคร้หอม) ฉีดพ่นสัปดาห์ละครั้ง

  • ตัดแต่งกิ่งที่มีโรคและแมลงทำลายทันที

  • ปลูกต้นโหระพาหรือกระเพรารอบๆ เพื่อป้องกันแมลง

6.) ช่วงเวลาการออกดอก

  • มะขามแดงจะออกดอกในช่วง เดือนมกราคม - มีนาคม

  • ใช้เวลาประมาณ 4–5 เดือน ตั้งแต่ติดผลจนถึงเก็บเกี่ยว

7.) วิธีทำให้เก็บผลก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

  • การให้น้ำและปุ๋ยอินทรีย์อย่างสม่ำเสมอ

  • ตัดแต่งกิ่งหลังจากเก็บเกี่ยวเพื่อกระตุ้นการออกดอกเร็วขึ้น

  • คลุมโคนต้นด้วยฟางหรือหญ้าแห้งเพื่อรักษาความชื้น

8.) ประเทศที่ไทยส่งออกมะขามแดง (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

  1. จีน – ตลาดใหญ่อันดับหนึ่ง มีความต้องการมะขามแดงหวานสูง

  2. เวียดนาม – นิยมมะขามแดงรสหวานอมเปรี้ยว

  3. ญี่ปุ่น – เน้นมะขามแดงเปลือกบาง รสหวาน

  4. มาเลเซีย – นิยมมะขามแดงเนื้อแน่น รสหวาน

  5. สหรัฐอเมริกา – มีตลาดเฉพาะสำหรับมะขามแดงพรีเมียม

32.) กระเจี๊ยบแดง รวม 20 คลิป 

กระเจี๊ยบแดง

กระเจี๊ยบแดง (Hibiscus sabdariffa) เป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ทั้งในด้านการบริโภคและสรรพคุณทางยา ต่อไปนี้คือข้อมูลที่เกี่ยวข้อง:

1. พันธุ์กระเจี๊ยบแดงที่มีชื่อเสียงในไทยและความนิยมในตลาด

  • พันธุ์ซูดาน: เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกในประเทศไทย มีลักษณะกลีบเลี้ยงยาวและหนา

    agriman.doae.go.th

  • พันธุ์กลีบยาว: อีกหนึ่งพันธุ์ที่ได้รับความนิยม มีลักษณะกลีบเลี้ยงยาวและหนาเช่นกัน

    agriman.doae.go.th

  • พันธุ์กำแพงแสน ม่วงจัมโบ้: พัฒนาขึ้นโดยศูนย์วิจัยและพัฒนาพืชผักเขตร้อน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีลำต้นแข็งแรง กลีบเลี้ยงหนา ยาวและใหญ่ ให้ผลผลิตสูง ใช้เวลาปลูกประมาณ 130-150 วัน ก็เก็บขายได้

    facebook.com

2. อายุการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

  • การปลูกโดยเพาะเมล็ด: กระเจี๊ยบแดงจะเริ่มออกดอกเมื่อมีอายุประมาณ 60-70 วันหลังปลูก และสามารถเก็บเกี่ยวกลีบเลี้ยงได้เมื่ออายุประมาณ 120-150 วัน

    facebook.com

  • การขยายพันธุ์โดยวิธีอื่น ๆ: เนื่องจากกระเจี๊ยบแดงเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุสั้น การขยายพันธุ์มักทำโดยการเพาะเมล็ดเป็นหลัก การขยายพันธุ์ด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การตอนหรือติดตา ไม่เป็นที่นิยม

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน เพื่อให้ต้นกระเจี๊ยบได้รับน้ำเพียงพอและเจริญเติบโตได้ดี

opsmoac.go.th

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

กระเจี๊ยบแดงเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ค่า pH ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5.5-6.5

picturethisai.com

5. เทคนิคการปลูก บำรุง การกำจัดแมลงและเชื้อราโดยไม่ใช้สารเคมี

  • การเตรียมดิน: ไถดะเพื่อเปิดหน้าดิน ทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ แล้วไถแปรเกลี่ยดินให้เรียบ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ 0.5-1 ตันต่อไร่พร้อมการพรวนดิน

    opsmoac.go.th

  • การปลูก: หว่านเมล็ดลงในแปลงปลูกหรือหยอดเมล็ดลงหลุม ลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 50 เซนติเมตร

  • การบำรุงรักษา: ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเจริญเติบโต หมั่นกำจัดวัชพืชและพรวนดินเพื่อเพิ่มการระบายอากาศ

  • การป้องกันและกำจัดแมลงและเชื้อราโดยไม่ใช้สารเคมี: ใช้วิธีการปลูกพืชหมุนเวียน การใช้สารสกัดจากพืช เช่น น้ำส้มควันไม้ หรือสารสกัดสะเดา เพื่อป้องกันและกำจัดแมลงและเชื้อรา

6. ช่วงเวลาการออกดอก

กระเจี๊ยบแดงจะเริ่มออกดอกเมื่อมีอายุประมาณ 60-70 วันหลังปลูก

7. วิธีการทำให้เก็บผลก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

การควบคุมปริมาณน้ำและการตัดแต่งกิ่งสามารถกระตุ้นการออกดอกนอกฤดูได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้ต้องทำด้วยความระมัดระวังและควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

8. ประเทศที่ไทยส่งออกกระเจี๊ยบแดง เรียงตามปริมาณการส่งออก

ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่ไทยส่งออกกระเจี๊ยบแดงและปริมาณการส่งออกในแต่ละประเทศยังมีจำกัด อย่างไรก็ตาม กระเจี๊ยบแดงเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากสรรพคุณทางยาและการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

✅ เดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม (ฤดูร้อน) – อัตราการงอกสูง โตเร็ว
✅ ปลูกได้ตลอดปี ในพื้นที่ที่มีระบบน้ำเพียงพอ

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ค่า pH – อยู่ในช่วง 6.0–7.5
✅ ดินควรมีความร่วนซุย มีธาตุอาหารครบถ้วน และระบายน้ำได้ดี

5. เทคนิคการปลูกและการบำรุงรักษา

✅ การเตรียมดิน

  • ไถพรวนดินให้ลึก 30–40 ซม.

  • ผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกในอัตรา 1,500–2,000 กก./ไร่

✅ การปลูก

  • หยอดเมล็ดลงในหลุม ลึกประมาณ 1.5–2 ซม.

  • ระยะห่าง ระหว่างต้น 50 ซม. และ ระหว่างแถว 80 ซม.

✅ การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละครั้งในช่วงแรก หลังจากตั้งต้นแล้วให้น้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

  • หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป เพราะทำให้รากเน่า

✅ การใส่ปุ๋ย (ไม่ใช้สารเคมี)

  • ใช้ ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก เดือนละ 1 ครั้ง

  • สูตรปุ๋ยอินทรีย์ที่เหมาะสม:

    • ระยะต้นกล้า → ปุ๋ยหมัก + ขี้วัว + ขี้ไก่

    • ระยะออกดอก → ปุ๋ยคอก + ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ

✅ การป้องกันแมลงและโรค (ไม่ใช้สารเคมี)

  • ใช้น้ำส้มควันไม้ หรือสารชีวภาพป้องกันเพลี้ยและหนอน

  • ใช้บิวเวอเรียหรือเมตาไรเซียมกำจัดแมลงศัตรูพืช

  • ปลูกพืชสมุนไพร เช่น ตะไคร้ หรือโหระพา เพื่อไล่แมลง

6. ช่วงเวลาออกดอกและเก็บเกี่ยว

✅ ออกดอกช่วง เดือนเมษายน - มิถุนายน
✅ เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วง เดือนกรกฎาคม - สิงหาคม

7. วิธีเร่งให้ผลผลิตสุกก่อนฤดู

✅ รดน้ำสม่ำเสมอและเสริมธาตุอาหารทางใบ เช่น น้ำหมักชีวภาพ
✅ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีโพแทสเซียมสูง เพื่อกระตุ้นการออกดอกและติดผล

8. ประเทศที่ไทยส่งออกกระเจี๊ยบแดง

เรียงตามปริมาณการส่งออก

  1. เยอรมนี – ส่งออกในรูปแบบชาและกระเจี๊ยบแห้ง

  2. สหรัฐอเมริกา – ส่งออกในรูปแบบชาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

  3. ญี่ปุ่น – ส่งออกในรูปแบบกระเจี๊ยบแห้งและเครื่องดื่ม

  4. จีน – ส่งออกในรูปแบบวัตถุดิบสมุนไพรและชา

  5. ออสเตรเลีย – ส่งออกในรูปแบบกระเจี๊ยบแห้งและน้ำกระเจี๊ยบ

สับปะรด

33.) สับปะรด รวม 20 คลิป 

🍍 ข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกสับปะรดในไทย

1. พันธุ์สับปะรดที่นิยมในไทย

สับปะรดในไทยมีหลายสายพันธุ์ โดยพันธุ์ที่ได้รับความนิยมและมีศักยภาพในตลาด ได้แก่:

ลำดับพันธุ์ลักษณะเด่นความนิยมในตลาด

1สับปะรดภูเก็ตเนื้อหวาน กรอบ มีกลิ่นหอม รสชาติเปรี้ยวหวานกำลังดีสูงมาก (นิยมบริโภคสด)

2สับปะรดศรีราชาเนื้อสีเหลืองเข้ม หวาน กรอบ รสชาติหวานนำสูงมาก (นิยมบริโภคสด)

3สับปะรดหนามแดงเนื้อสีเหลืองอ่อน หวาน กรอบ เปลือกหนาสีแดงสวยปานกลาง (นิยมแปรรูป)

4สับปะรดปัตตาเวีย (สับปะรดโรงงาน)เนื้อสีเหลืองทอง รสหวานอมเปรี้ยว ทนต่อโรคสูงมาก (นิยมส่งออกและแปรรูป)

5สับปะรดอินทรีย์ปลูกแบบธรรมชาติ ไม่มีสารเคมี รสหวาน หอมกำลังเติบโตในตลาดสุขภาพ

➡️ ดินที่เหมาะสมสำหรับพันธุ์สับปะรด

  • ดินร่วนปนทราย (ดินที่ระบายน้ำดี ไม่ท่วมขัง)

  • ค่า pH ที่เหมาะสม: 4.5 - 5.5

  • ควรมีอินทรียวัตถุสูงและสามารถถ่ายเทอากาศได้ดี

2. อายุของการออกดอกและการเก็บเกี่ยว

วิธีปลูกระยะเวลาจนออกดอกระยะเวลาจนเก็บเกี่ยว

ปลูกจากเมล็ด12 - 18 เดือน18 - 24 เดือน

หน่อหรือต้นพันธุ์10 - 12 เดือน16 - 18 เดือน

3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • ช่วงต้นฝน: เดือน พฤษภาคม - กรกฎาคม จะทำให้ต้นเจริญเติบโตดี

  • ปลูกในพื้นที่ชลประทาน สามารถปลูกได้ตลอดปี

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินร่วนปนทราย (ระบายน้ำได้ดี)
✅ ค่า pH ที่เหมาะสม: 4.5 - 5.5
✅ ปริมาณอินทรียวัตถุในดินสูง
✅ ดินต้องมีโพแทสเซียมและแคลเซียมเพียงพอ

5. เทคนิคการปลูกและการดูแล

🌿 การเตรียมดิน

  • ไถพรวนดินและใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองพื้นก่อนปลูก

  • ขุดหลุมลึกประมาณ 10 - 15 ซม. เว้นระยะ 30 - 50 ซม. ระหว่างต้น

🌾 การบำรุงรักษา

  • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักทุก 30 - 45 วัน

  • เสริมด้วยปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยขี้ไก่ ขี้วัว

🚰 การให้น้ำ

  • รดน้ำสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง หรือทุกวันในช่วงแล้ง

  • ระวังอย่าให้น้ำขัง

🐛 การจัดการแมลงและเชื้อราแบบธรรมชาติ

  • ใช้ น้ำส้มควันไม้ ผสมน้ำฉีดพ่น

  • ใช้ ใบสะเดา หรือ น้ำมันหอมระเหย ในการกำจัดเพลี้ยและแมลง

  • ปลูกพืชสมุนไพร (เช่น ตะไคร้, โหระพา) รอบแปลงช่วยไล่แมลง

6. ช่วงออกดอก

  • ออกดอกในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายน

  • ช่วงอากาศร้อนและแดดจัดจะช่วยให้สับปะรดมีรสหวานจัด

7. วิธีเร่งการออกดอกและการเก็บเกี่ยวก่อนฤดู

✅ ใช้ แคลเซียมคาร์ไบด์ โรยบริเวณโคนต้นช่วงเช้ามืดเพื่อกระตุ้นการออกดอก
✅ ฉีดพ่น ฮอร์โมนเร่งดอก (เช่น เอทธีฟอน) เพื่อกระตุ้นการออกดอก
✅ คลุมต้นด้วยพลาสติกสีดำเพื่อลดการสูญเสียน้ำ

8. ประเทศที่ไทยส่งออกสับปะรด (เรียงตามปริมาณการส่งออก)

ลำดับประเทศปลายทางประเภทสับปะรดที่นิยม

1สหรัฐอเมริกาสับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดเข้มข้น

2ญี่ปุ่นสับปะรดสดและแปรรูป

3จีนสับปะรดสดและแปรรูป

4เกาหลีใต้สับปะรดสด

5สหภาพยุโรป (EU)สับปะรดสดและแปรรูป

6ออสเตรเลียสับปะรดสด

สับปะรดเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย มีหลายพันธุ์ที่ปลูกและจำหน่ายในตลาด ต่อไปนี้คือข้อมูลที่เกี่ยวข้อง:

1. พันธุ์สับปะรดที่มีชื่อเสียงในไทยและความนิยมของตลาดผู้บริโภค

  • พันธุ์ปัตตาเวีย: เป็นพันธุ์ที่ปลูกมากที่สุดในประเทศไทย โดยมากกว่าร้อยละ 80 ของการปลูกทั้งหมด ส่วนมากปลูกเพื่อส่งโรงงาน พื้นที่การปลูกส่วนมากอยู่ในเขตภาคตะวันออก

    clinictech.ops.go.th

  • พันธุ์ภูเก็ต: เป็นสับปะรดที่มีชื่อเสียงในจังหวัดภูเก็ต มีรสชาติหวาน เนื้อกรอบ

    thaipbs.or.th

  • พันธุ์ตราดสีทอง: มีลักษณะผลสีทอง รสชาติหวาน กลิ่นหอม

    thaipbs.or.th

  • พันธุ์เพชรบุรี 2: นำสายพันธุ์เข้ามาจากฮาวาย ผลใหญ่มาก น้ำหนักผล 2-4 กิโลกรัม อายุการบังคับดอกนานกว่าทุกสายพันธุ์ ใบไม่มีหนาม เนื้อสีขาว อ่อนนุ่ม ฉ่ำน้ำ รสชาติหวานมาก

    thaipbs.or.th

2. อายุของการออกดอกตั้งแต่การปลูกจนกว่าจะสุกพร้อมเก็บ

สับปะรดจะเริ่มออกดอกเมื่อมีอายุประมาณ 12-14 เดือนหลังปลูก และสามารถเก็บเกี่ยวผลได้เมื่ออายุประมาณ 16-18 เดือน ขึ้นอยู่กับพันธุ์และสภาพแวดล้อม

3. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูก

สับปะรดสามารถปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงต้นฤดูฝน เพื่อให้ต้นได้รับน้ำเพียงพอและเจริญเติบโตได้ดี

4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

สับปะรดชอบดินที่มีลักษณะเป็นกรด โดยมีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ประมาณ 4.5-5.5

CMU IR

5. เทคนิคในการปลูก บำรุง การกำจัดแมลงและเชื้อราโดยไม่ใช้สารเคมี

  • การเตรียมดิน: ควรไถดินให้ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อให้เมล็ดเจริญเติบโตได้ดีขึ้น

    agriplantgrowth.com

  • การปลูก: ควรปลูกในพื้นที่ราบหรือที่ดอนที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 600 เมตร ความลาดเอียงประมาณ 1-3 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ควรเกิน 5-10 เปอร์เซ็นต์ และไม่มีน้ำท่วมขัง

    esc.doae.go.th

  • การบำรุงรักษา: ควรเพิ่มอินทรียวัตถุในดินเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน

    lib.doa.go.th

  • การป้องกันและกำจัดแมลงและเชื้อราโดยไม่ใช้สารเคมี: ควรใช้วิธีการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน เช่น การใช้สารสกัดจากพืชสมุนไพร การปลูกพืชหมุนเวียน และการรักษาความสะอาดในแปลงปลูก

6. ช่วงเวลาการออกดอก

สับปะรดจะเริ่มออกดอกเมื่อมีอายุประมาณ 12-14 เดือนหลังปลูก

7. วิธีการทำให้เก็บผลก่อนฤดูจำหน่ายในตลาด

การบังคับสับปะรดให้ออกดอกก่อนฤดูสามารถทำได้โดยการใช้สารเคมี เช่น เอทิลีน หรือคาร์ไบด์ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนดำเนินการ

8. ประเทศที่ไทยส่งออกสับปะรด เรียงตามปริมาณการส่งออก

ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่ไทยส่งออกสับปะรดและปริมาณการส่งออกในแต่ละประเทศยังมีจำกัด อย่างไรก็ตาม ไทยเป็นผู้ส่งออกสับปะรดรายใหญ่ของโลก โดยมีตลาดหลักในประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป

34.) แตงไทย รวม 19 คลิป 

แตงไทย

แตงไทย เป็นผลไม้พื้นบ้านของไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีกลิ่นหอม รสหวานเย็น นิยมนำมารับประทานสด หรือใช้ในของหวาน เช่น ลอยแก้ว นอกจากนี้ยังเป็นพืชที่ปลูกง่าย โตเร็ว และให้ผลผลิตเร็ว

🌱 1. แตงไทยที่มีในไทยที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมในตลาด

พันธุ์แตงไทยที่นิยมปลูกและได้รับความนิยมในตลาด มีดังนี้ (เรียงตามความนิยม):

  1. พันธุ์ขาวหอม – เนื้อหวาน หอม รสชาติดี ทนโรคและแมลง

  2. พันธุ์เหลืองทอง – เนื้อสีเหลือง รสชาติหวานเย็น กลิ่นหอมอ่อน

  3. พันธุ์เขียวมรกต – เนื้อสีเขียว รสชาติหวานเย็น มีกลิ่นหอม

  4. พันธุ์แตงไทยแตงกวา – คล้ายแตงกวาแต่เนื้อหวานหอม

  5. พันธุ์พื้นบ้าน (แตงไทยพื้นบ้าน) – มีหลายสายพันธุ์ รสหวาน กลิ่นหอม นิยมปลูกในท้องถิ่น

🌸 2. อายุของการออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยว

  • ระยะเวลาเพาะเมล็ด → ออกดอก → เก็บเกี่ยว ประมาณ 45–60 วัน หลังปลูก

  • เมื่อเริ่มออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยวใช้เวลาประมาณ 15–20 วัน

📅 3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

  • ฤดูปลูกที่เหมาะสม: เดือน พฤศจิกายน – มีนาคม (ฤดูหนาวและต้นฤดูร้อน)

  • แตงไทยชอบอากาศเย็นในช่วงการเจริญเติบโต และอากาศร้อนในช่วงออกดอกและติดผล

🌍 4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนซุย

  • มีการระบายน้ำดี ไม่แฉะ

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • อยู่ในช่วง 6.0–7.0 (ค่ากรด-ด่างที่เหมาะสม)

🌾 5. เทคนิคการปลูก บำรุง และป้องกันแมลงโดยไม่ใช้สารเคมี

🪴 การเตรียมดิน

  • ไถดินลึกประมาณ 20–30 ซม.

  • ตากดินไว้ 7–14 วัน เพื่อลดเชื้อโรคในดิน

  • รองพื้นด้วยปุ๋ยคอก เช่น มูลวัว มูลไก่ ในอัตรา 1 ตัน/ไร่

🌼 การปลูก

  • หยอดเมล็ดลึกประมาณ 2–3 ซม. ห่างกันต้นละ 50 ซม.

  • คลุมแปลงด้วยฟางข้าวหรือหญ้าแห้งเพื่อลดการระเหยของน้ำ

💧 การให้น้ำ

  • รดน้ำวันละ 1–2 ครั้ง เช้า-เย็น

  • หลังจากติดผลแล้ว ให้ลดการให้น้ำเพื่อเพิ่มความหวานของผล

🌿 การบำรุงรักษา

  • ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยมูลไก่ ปุ๋ยมูลวัว หรือปุ๋ยหมัก ทุก 10–14 วัน

  • เติมน้ำหมักชีวภาพจาก ผลไม้หรือสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ใบสะเดา เพื่อช่วยบำรุงต้นและใบ

🐛 การป้องกันแมลงและเชื้อรา

✅ ศัตรูพืชที่สำคัญ:

  • เพลี้ยไฟ → ใช้สารสกัดสะเดา หรือพ่นน้ำหมักชีวภาพจากกระเทียมและพริก

  • หนอนเจาะผล → เก็บทำลายทันทีเมื่อพบ

  • เชื้อรา → หมั่นตัดแต่งใบให้โปร่ง และฉีดพ่นน้ำสกัดจาก น้ำหมักสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ใบสะเดา

🌼 6. ช่วงเวลาออกดอก

  • แตงไทยจะเริ่มออกดอกหลังปลูกประมาณ 30–35 วัน

  • ช่วงเวลาออกดอกและติดผลมากที่สุดคือช่วงเดือน กุมภาพันธ์ – เมษายน

🍈 7. เทคนิคการกระตุ้นให้เก็บผลก่อนฤดูจำหน่าย

✅ วิธีเร่งผลผลิต:

  1. ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น ขี้เถ้า

  2. ลดการให้น้ำในช่วงติดผล เพื่อเพิ่มความหวาน

  3. คลุมแปลงด้วยฟางหรือพลาสติกเพื่อเก็บความชื้นและลดการเติบโตของวัชพืช

🚢 8. ประเทศที่ไทยส่งออกแตงไทย เรียงตามปริมาณการส่งออก

  1. จีน – ตลาดใหญ่สำหรับผลไม้ไทย รวมถึงแตงไทย

  2. เวียดนาม – นิยมแตงไทยในรูปแบบสด

  3. ญี่ปุ่น – ต้องการแตงไทยคุณภาพสูงและปลอดสารเคมี

  4. เกาหลีใต้ – นิยมแตงไทยในรูปแบบของหวาน

  5. มาเลเซีย – นำเข้าผลสดและแตงไทยแปรรูป

✅ สรุป

แตงไทยเป็นพืชที่ปลูกง่าย โตเร็ว ให้ผลผลิตในเวลาอันสั้น เหมาะสำหรับปลูกในฤดูหนาวและต้นฤดูร้อน เพื่อให้ผลแตงไทยมีคุณภาพดี ควรเน้นการบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ ควบคุมแมลงศัตรูพืชด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ การดูแลแตงไทยอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ 🍈😄

ลางสาด

35.) ลางสาด รวม 26 คลิป 

ลางสาด เป็นผลไม้ในวงศ์เดียวกับลองกองและมะไฟ มีลักษณะผลเป็นพวง เปลือกบาง สีเหลืองนวล เนื้อในมีสีขาว รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว นิยมบริโภคสด และสามารถแปรรูปได้ เช่น ทำลางสาดลอยแก้ว น้ำลางสาด หรือแช่อิ่ม

🌱 1. พันธุ์ลางสาดที่มีชื่อเสียงและนิยมในตลาด

พันธุ์ลางสาดในไทยมีหลายสายพันธุ์ แต่ที่ได้รับความนิยมในตลาดมากที่สุด ได้แก่:

  1. ลางสาดนครศรีธรรมราช – เนื้อแน่น รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย เปลือกบาง เมล็ดเล็ก

  2. ลางสาดพัทลุง – รสหวานอมเปรี้ยว มีเนื้อนุ่ม เปลือกบาง

  3. ลางสาดสุราษฎร์ธานี – รสหวานอมเปรี้ยว เปลือกหนาปานกลาง ทนต่อโรคและแมลง

  4. ลางสาดสงขลา – รสหวานอมเปรี้ยว เนื้อแน่น เปลือกบาง ขึ้นชื่อเรื่องกลิ่นหอม

  5. ลางสาดชุมพร – เปลือกบาง รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย นิยมในท้องถิ่น

👉 พันธุ์ที่นิยมมากที่สุดในตลาด: ลางสาดนครศรีธรรมราช → ลางสาดพัทลุง → ลางสาดสุราษฎร์ธานี

🌸 2. อายุของการออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยว

  • การเพาะเมล็ด: ต้นลางสาดจะเริ่มออกดอกเมื่อมีอายุ 5–7 ปี

  • การขยายพันธุ์โดยตอนกิ่งหรือทาบกิ่ง: จะออกดอกได้เร็วกว่า โดยใช้เวลาเพียง 3–4 ปี

  • ระยะเวลาตั้งแต่ออกดอกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 90–110 วัน

📅 3. ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูก

✅ ช่วงเวลาที่เหมาะสม:

  • ช่วงต้นฤดูฝน (พฤษภาคม – กรกฎาคม)

  • หากปลูกในช่วงนี้ ต้นลางสาดจะได้รับน้ำธรรมชาติอย่างเพียงพอและตั้งตัวได้ดี

🌍 4. คุณภาพดินและค่า pH ที่เหมาะสม

✅ ดินที่เหมาะสม:

  • ดินร่วน ดินร่วนปนทราย หรือดินเหนียวปนทราย

  • ดินต้องมีการระบายน้ำดี ไม่แฉะ

  • มีอินทรียวัตถุสูง

✅ ค่า pH ที่เหมาะสม:

  • อยู่ในช่วง 5.5–6.5 (ค่อนข้างเป็นกรดเล็กน้อย)

🌾 5. เทคนิคการปลูก บำรุง และป้องกันแมลงโดยไม่ใช้สารเคมี

🪴 การเตรียมดิน

  • ขุดหลุมปลูกขนาด 50 x 50 x 50 ซม.

  • รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก เช่น มูลวัว มูลไก่ ประมาณ 3–5 กิโลกรัม/หลุม

  • ผสมดินปลูกกับแกลบดำและปุ๋ยหมักในอัตราส่วน 3 : 1 : 1

🌼 การปลูก

  • วางต้นกล้าลงในหลุมปลูก

  • กลบดินให้แน่นพอประมาณ

  • คลุมโคนด้วยฟางข้าวหรือหญ้าแห้ง

💧 การให้น้ำ

✅ ช่วงต้นกล้า:

  • รดน้ำวันละ 1–2 ครั้ง เช้า-เย็น ในช่วง 1–2 เดือนแรก

✅ ช่วงติดผล:

  • ควรให้น้ำสม่ำเสมอ 2–3 วัน/ครั้ง

  • หยุดให้น้ำก่อนเก็บเกี่ยวประมาณ 10 วัน เพื่อเพิ่มรสหวานของผล

🌿 การบำรุงรักษา

✅ ปุ๋ยอินทรีย์

  • ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักทุก 2 เดือน ในอัตรา 3–5 กิโลกรัม/ต้น

  • ให้ปุ๋ยเสริมโพแทสเซียม เช่น ขี้เถ้า หรือ ปุ๋ยอินทรีย์น้ำหมักจากกล้วย เพื่อช่วยให้ผลหวานและเนื้อแน่น

🐛 การป้องกันแมลงและเชื้อราโดยไม่ใช้สารเคมี

✅ แมลงศัตรูที่สำคัญ:

  1. เพลี้ยไฟ – ใช้น้ำหมักสะเดา + ตะไคร้หอม พ่นทุก 7 วัน

  2. หนอนเจาะผล – เก็บผลที่เสียหายออกทันที

  3. แมลงวันทอง – ใช้กับดักฟีโรโมนหรือใช้ถุงห่อผล

✅ โรคที่สำคัญ:

  • โรครากเน่า โคนเน่า – หลีกเลี่ยงการให้น้ำขังในดิน

  • โรคแอนแทรคโนส – พ่นน้ำหมักสมุนไพร (เช่น น้ำหมักกระเทียม + พริก) ทุก 7 วัน

🌼 6. ช่วงเวลาออกดอก

  • ลางสาดจะออกดอกในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ – มีนาคม

  • ดอกจะบานและเริ่มติดผลในช่วง มีนาคม – เมษายน

🍈 7. เทคนิคการกระตุ้นให้เก็บผลก่อนฤดูจำหน่าย

✅ วิธีเร่งผลผลิต:

  1. ลดน้ำ ในช่วงก่อนออกดอกประมาณ 2–3 สัปดาห์

  2. ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูง เช่น ขี้เถ้าและปุ๋ยคอก

  3. พ่นฮอร์โมนไข่ หรือ น้ำหมักปลา เพื่อช่วยเร่งการออกดอก

🚢 8. ประเทศที่ไทยส่งออกลางสาด เรียงตามปริมาณการส่งออก

  1. จีน – ตลาดใหญ่สุดสำหรับผลไม้ไทย รวมถึงลางสาด

  2. มาเลเซีย – นิยมรับประทานผลสด

  3. เวียดนาม – ส่งออกทั้งผลสดและแปรรูป

  4. สิงคโปร์ – ส่งออกผลสดและผลิตภัณฑ์แปรรูป

  5. ญี่ปุ่น – นิยมลางสาดคุณภาพสูง ปลอดสารเคมี

✅ สรุป

ลางสาดเป็นผลไม้ที่ปลูกง่าย ดูแลไม่ยาก ให้ผลผลิตหลังจากปลูกประมาณ 5–7 ปี หากขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่งหรือติดตา จะช่วยให้ติดผลเร็วขึ้น การดูแลด้วยปุ๋ยอินทรีย์และการควบคุมโรคและแมลงด้วยวิธีธรรมชาติ จะช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพดี เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ 🍈😊

แองเคอ 1

© 2024 by The SUN Academy (TSA). Powered and secured by Wix

bottom of page